อุณหภูมิโลกเฉลี่ยเพิ่มขึ้นปีละราว ๆ 0.6-0.9 องศาเซลเซียสและถ้าหากลองสังเกตช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เราเองเผชิญกับอากาศที่ร้อนขึ้นเรื่อย ๆ รวมถึงฝุ่นละอองในอากาศที่มหาศาล จนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า 

ปรากฎการณ์นี้กำลังเตือนว่าสุขภาพโลกใบนี้กำลังอ่อนแอลงจนทำให้เกิด เมกะเทรนด์ ในโลกธุรกิจนั้นคือ Net Zero Emissionที่บริษัทระดับโลกมากมายต่างมีเป้าหมายดำเนินธุรกิจ ไปสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์

บริษัทที่จริงจังกับเรื่องนี้ครบทุกมิติ เป็นบริษัทแรกในประเทศไทยก็คือ Central Group โดยมีการดำเนินการผ่าน 3 บริษัทใหญ่ในเครือ 

1. บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) : ผู้นำธุรกิจค้าปลีกในเมืองไทย หรือเรียกสั้น ๆ ว่า CRC โดยที่ผ่านมาบริษัทมีโครงการต่าง ๆ มากมาย เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 

อย่างที่โดดเด่นก็คือโครงการ Say No to Plastic Bags โดยเป็นค้าปลีกแห่งแรกที่งดแจกถุงพลาสติกตั้งแต่ปี 2019, การใช้รถบรรทุกพลังงานไฟฟ้า (EV Truck) ขนส่งสินค้า เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก, โครงการ Samui Zero Waste Model ที่ลดขยะอินทรีย์ 41.7 ตัน ผ่านการแปรรูปด้วยเครื่องหมักย่อยสลายทางชีวภาพเป็นปุ๋ยและก๊าซชีวภาพ

2. บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) : ผู้พัฒนาและบริหารศูนย์การค้า อาคารสำนักงาน โรงแรม และโครงการที่พักอาศัยรายใหญ่ของประเทศไทยหรือ CPN ก็จริงจังกับเรื่องนี้มานานก่อนที่จะเกิดกระแส Net Zero 

โดยมีการติดตั้ง สถานีคัดแยกขยะ ในศูนย์การค้าเป็นแห่งแรก และมีการผลักดันให้คัดแยกได้กว่า 20,000 ตัน/ ปี, ผลิตพลังงานสะอาดด้วยตนเองกว่า 28 ล้านยูนิต/ ปี, ติดตั้ง EV Charger Station มากที่สุดในกลุ่มศูนย์การค้า รวมกว่า 495 ช่องจอด และมีการรีไซเคิลน้ำได้มากกว่า 500 ล้านลิตร/ ปี

CPN ยังร่วมกับพันธมิตรมากมายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจตัวเอง ทั้งเทศบาล เกษตรกร และโครงการ ไม่เทรวม ของกทม. โดยเมื่อปีที่ผ่านมาลดการนำขยะอินทรีย์ไปฝังกลบ ได้ 6,000 ตัน จนถึงรวบรวมขยะรีไซเคิล พร้อมแปลงเป็น “เชื้อเพลิงขยะ” ได้ 18,182 ตัน

3.บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จํากัด (มหาชน) : ผู้นำธุรกิจโรงแรมและอุตสาหกรรมร้านอาหารในประเทศไทย หรือ CENTEL ก็มีการขับเคลื่อนเรื่องนโยบายทางด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มข้น เช่น

สร้างความตระหนักรู้และการมีส่วนร่วมของแขกเรื่องการจัดการขยะด้วยถังขยะรูปปลา “POP Fish” ที่ ย่อมาจาก “Plastic Only Please” เพื่อลดขยะในทะเลและรีไซเคิลขยะพลาสติก, โครงการ Food Surplus Donation ที่จัดการและส่งต่ออาหารส่วนเกินจากโรงแรมที่ยังมีสภาพดีให้กับผู้ที่ต้องการ โดยส่งต่อไปแล้วกว่า 312,782 มื้อ,Going Greener Programme รณรงค์ให้แขกมีส่วนร่วมในการช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อม ผ่านการใช้ผ้าปูที่นอนและผ้าเช็ดตัวซ้ำระหว่างเข้าพัก โดยลดการใช้น้ำได้เฉลี่ย 8 ลิตร /ห้องพัก

ส่วนภารกิจที่ทาง Central Group จะ Move on ต่อไปข้างหน้าพร้อมกับวาง Timeline อย่างชัดเจน

– ภายในปี 2024 ติดตั้ง Solar Rooftop ให้ครบ 100% ของศูนย์การค้าในเครือ
– ภายในปี 2030 ใช้ Eco-friendly Packaging 100% ในกลุ่มธุรกิจค้าปลีก และโรงแรม
– ภายในปี 2030 ปลูกป่า 50,000 ไร่ 
– ภายในปี 2030 ลดปริมาณขยะสู่หลุมฝังกลบ ให้ได้สูงสุดร้อยละ 50 ของปริมาณขยะทั้งหมด

ภารกิจทั้งหมดที่ถูกตั้งเป้าหมายไว้ และต้องทำให้สำเร็จก็เพื่อเป้าหมายเดียว คือสร้าง Central Group ให้เป็นอาณาจักร Net Zero ภายในปี 2050

Source : https://www.marketthink.co/43237

“กรุงเทพธุรกิจ” ร่วมกับ “บีไอจี” ผู้นำนวัตกรรมก๊าซอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อสภาพภูมิอากาศ (Climate Technology Company) จัดเวทีสัมมนา Climate Tech Forum : Infinite Innovation…Connecting Business to Net Zero เมื่อวันที่ 28 มิ.ย.2566

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร บรรยายพิเศษหัวข้อ “นวัตกรรมเปลี่ยนกรุง” ว่า  การนำเอาเทคโนโลยีนำทางคงยากเพราะคนกรุงเทพฯ มีกว่า 10 ล้านคน แต่หานำนวัตกรรมมาใช้ก็ทำได้ เพราะนวัตกรรมเป็นไอเดีย แต่ต้องปรับความคิดให้มีมูลค่าหรือเปลี่ยนให้เป็น Value ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีมาก เพียงแค่ขอให้ปรับชีวิตคน และเพิ่มคุณค่าให้กับคนในเมืองได้ อย่าไปยึดติดกับอินโนเวชัน ที่เป็นเทคโนโลยี

รวมทั้งที่ผ่านมาพบว่ามีเทคโนโลยีหลายอย่างที่ไม่ได้มาจากอินโนเวชัน และหากพูดถึงความยั่งยืน คือ การไม่เบียดเบียนทรัพยากรของคนรุ่นใหม่ในอนาคตเพื่อตอบโจทย์ปัจจุบัน

“อย่าไปตอบสนองความต้องการในปัจจุบันโดยใช้ทรัพยากรในอนาคตของคนรุ่นใหม่ ซึ่งปัจจุบันปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมาแล้ว เห็นได้ชัดจากปรากฏการณ์เอลนีโญ”

'ชัชชาติ' ชี้ นวัตกรรมเปลี่ยน กทม. สู่ Net Zero

สำหรับสัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของกรุงเทพฯ มาจาก  3 ส่วน คือ

1.การใช้พลังงาน  คิดเป็น 58.9%

2.การขนส่ง คิดเป็น 28.9%

3.น้ำเสียและมูลฝอย คิดเป็น 12.3%  

ทั้งนี้ เป้าหมายของ กทม.ที่วางไว้คือ ต้องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นรูปธรรม ตั้งเป้าให้การปล่อยสุทธิเป็นศูนย์ (Net zero)ให้ได้ราว 19% ภายในปี 2573 แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยหากเป็นบริษัทขนาดใหญ่ก็ทำได้ไม่ยากนัก เพราะมีเทคโนโลยี มีเงินทุน

ขณะที่กลุ่มเอสเอ็มอีไม่มีเงินลงทุน และก็ไม่สนใจ  เพราะเอสเอ็มอีสนใจเพียงว่าธุรกิจของเขาจะรอดไหมในเศรษฐกิจแบบนี้ ดังนั้นจึงบอกว่าเอาแค่ลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 3% ต่อปี ก็น่าเพียงพอแล้ว ซึ่งเป้าหมายตรงนี้ทำได้แน่

'ชัชชาติ' ชี้ นวัตกรรมเปลี่ยน กทม. สู่ Net Zero

ทั้งนี้การทำ Net zero ของ กทม.ได้กำหนดแผนการทำ 3 เรื่อง CRO คือ Calculate Reduce Offset  ประกอบด้วย

1.Calculate คำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ในหน่วยงานของ กทม. โดยร่วมกับองค์การบริหารจัดการลดก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) และเริ่มใน 3 เขตก่อน คือ เขตดินแดง เขตบางขุนเทียน เขตประเวศ

2.Reduce ลด ก๊าซเรือนกระจกคือ ทำให้เมืองเดินได้ ปรับโครงสร้าง เพื่อสนับสนุนการใช้รถโดยสารสาธารณะ โดยไม่ต้องใช้รถยนต์ ใช้รถไฟฟ้า หรือปั่นจักรยาน ทำทางเท้าเพิ่ม

สำหรับสิ่งเหล่านี้ไม่ต้องใช้เทคโนโลยีแค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมประชาชน การส่งเสริมอุปกรณ์ประหยัดพลังงาน เช่น การติดตั้งหลอดไฟแอลอีดี LED ประมาณ 100,000 ดวง ซึ่งลดการใช้พลังงานไฟฟ้าลงและการขจัดน้ำเสีย โดยการเติมออกซิเจนลงไป

รวมถึงการแยกขยะที่ภายใน 1 ปี สามารถลดขยะได้ 300-700 ตันต่อตัน การส่งเสริมการขนส่ง และคมนาคมสะอาด เช่น การเปลี่ยนเป็นยานพาหนะต่างๆ ให้เป็นระบบไฟฟ้า EV หรืออย่างน้อยเป็น hybrid การเพิ่มการติดตั้งที่ชาร์จ EV หรือจุดแลกแบตเตอรี่ ในพื้นที่ของ กทม.การปรับผังเมืองให้ เป็นต้น

3.Offset การส่งเสริมโครงการที่เก็บกักหรือดูดซับก๊าซเรือนกระจกที่เหลืออยู่ ผ่านการส่งเสริมโครงการที่เก็บกัก หรือดูดซับก๊าซเรือนกระจกโดยวิธีทางธรรมชาติ เช่น การเพิ่มพื้นที่สีเขียว  ซึ่ง กทม.มีนโยบายปลูกต้นไม้  1 ล้านต้นปลูกไปแล้ว 420,000 ต้น เพิ่มสวนใกล้บ้าน 

คนกรุงเทพฯ 10 ล้านคนไม่สามารถใช้เทคโนโลยีได้ทุกคน แต่นวัตกรรมสามารถเปลี่ยนเมือง ตอบโจทย์ได้แก้ปัญหา  Climate Change ได้ และนวัตกรรมไม่จำเป็นต้องเป็นเทคโนโลยีทันสมัย แต่จะเป็นคำตอบที่ช่วยเพิ่ม Value ให้กับคน โดยเอาคนเป็นที่ตั้งเทคโนโลยีเป็นส่วนประกอบ ต้องมีความสนับสนุนกันทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาควิชาการ ประชาชน และเอกชน ” ชัชชาติ กล่าว

Source : กรุงเทพธุรกิจ

ปัญหาพลาสติกทั่วโลกสะท้อนให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของขยะพลาสติกที่ยังคงเป็นปัญหาหลักและส่งผลกระทบต่อระบบของโลกกลุ่มเซ็นทรัลซึ่งมีเป้าหมายในการมุ่งสู่ Net Zero ในปี 2050 มีการดำเนินงานผ่านนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นการลดขยะ หยิบสิ่งที่รีไซเคิลได้มาใช้ประโยชน์ เปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด และสร้างความยั่งยืนให้ครบทุกมิติสิ่งแวดล้อม สังคม ธรรมาภิบาล

ด้วยแนวคิดของ พิชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการบริหาร กลุ่มเซ็นทรัล ที่ว่า “หากป่ากลับมา สัตว์ป่าจะกลับมา” และเป็นที่มาของการริเริ่มโครงการใหญ่ๆ มากมาย อาทิ โครงการปลูกป่าใน จ.เชียงใหม่ จ.เชียงราย จ.น่าน ซึ่งเป็นพื้นที่ต้นน้ำ พร้อมสร้างแรงกระตุ้นให้มีการลงมือปฏิบัติ ผ่านการดำเนินโครงการต่างๆ ร่วมกับบริษัทในเครือ และภาคีเครือข่าย ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน เดินหน้ายกระดับความตระหนักเพื่อลดมลพิษทางสิ่งแวดล้อมมาอย่างต่อเนื่อง

‘กลุ่มเซ็นทรัล’ ลงมือทำทุกมิติสิ่งแวดล้อม ปรับ-เปลี่ยน เพื่อโลกที่ยั่งยืน

ความสำเร็จดังกล่าว ขยายผลสู่การพัฒนาโครงการด้านสิ่งแวดล้อมภายในเครือทั้งในส่วนของรีเทล ศูนย์การค้า และโรงแรม ไม่ว่าจะเป็นการลดขยะ แก้ปัญหาขยะพลาสติก การรีไซเคิล รวมถึงการจัดการขยะอาหารนำไปทำปุ๋ย ขณะเดียวกัน ช่วงโควิด-19 มีการจัดการลังกระดาษโดยเปลี่ยนเป็นเตียงผู้ป่วย เปลี่ยนพลาสติกเป็นชุด PPE

และหลังจากโควิด-19 เกิดโครงการ Upcycling เปลี่ยนพลาสติกให้เป็นของมีมูลค่า มีการนำขวดพลาสติกมารีไซเคิลเป็นเสื้อกันหนาว และผ้าห่ม เพื่อส่งต่อให้แก่ผู้ประสบภัยหนาวในถิ่นทุรกันดาร ผ่านโครงการขวดเปล่าไม่สูญเปล่า และยังมีโครงการต่างๆ อีกมากมาย อาทิ ร้าน GOOD GOODS (กู๊ด กู๊ดส์)ภายใต้วิสาหกิจเพื่อสังคม เซ็นทรัล ทำได้ร่วมกับดีไซเนอร์นำวัตถุดิบที่ได้มาออกแบบเป็นกระเป๋าดีไซน์ทันสมัย เพื่อลดปริมาณและเพิ่มมูลค่าให้ขยะพลาสติกได้มากที่สุด เป็นต้น

‘กลุ่มเซ็นทรัล’ ลงมือทำทุกมิติสิ่งแวดล้อม ปรับ-เปลี่ยน เพื่อโลกที่ยั่งยืน

CRC เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

สำหรับบริษัทเซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ตั้งเป้ามุ่งสู่ Green & Sustainable retail มีแนวทางปฏิบัติในการแก้ปัญหาการเพิ่มขึ้นของขยะพลาสติก โดยเน้น 3 ประเด็นสำคัญคือ ‘การลดขยะ’ โดยเฉพาะพลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้ง ถัดมา คือ ‘การใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม’ ส่งเสริมให้ทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค มีความเข้าใจและมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม สุดท้าย ‘การรวบรวมส่งรีไซเคิล’ ผลิตสินค้ากระเป๋าผ้า ผ้าห่ม เสื้อกั๊ก และการลดขยะอาหารโดยลดราคาก่อนหมดอายุ บริจาคให้กลุ่มเปราะบาง หรือรวบรวมทำปุ๋ยและก๊าซชีวภาพ พร้อมเดินหน้าสู่ Net zero ในปี 2050 ผ่านกลยุทธ์ ReNEW ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หันมาใช้พลังงานสะอาด การขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยลดการใช้ทรัพยากร การบริหารจัดการของเสีย การส่งเสริมสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการฟื้นฟูพื้นที่สีเขียว 50,000 ไร่ ภายในปี 2030

‘กลุ่มเซ็นทรัล’ ลงมือทำทุกมิติสิ่งแวดล้อม ปรับ-เปลี่ยน เพื่อโลกที่ยั่งยืน

เซ็นทรัลพัฒนา ลดขยะฝังกลบ 50%

ด้าน บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาธุรกิจศูนย์การค้าเซ็นทรัล ที่พักอาศัย อาคารสำนักงาน และโรงแรมทั่วประเทศ มุ่งพัฒนาโครงการควบคู่ไปกับการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน มีเป้าหมายการลดปริมาณขยะที่ส่งไปหลุมฝังกลบให้เป็นศูนย์ ตั้งเป้า ปี 2023 ลดขยะฝังกลบให้ได้ 35% ของปริมาณขยะทั้งหมดที่ขนออกจากองค์กร และลดลงให้ได้ 50% ภายในปี 2025 รวมถึงเล็งใช้พลังงานทดแทน 100% อาทิ ติดโซลาร์เซลล์ที่หลังคาทุกสาขา และมองหาเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อลดการใช้ฟอสซิล อีกทั้ง มีการกำหนดเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกที่สอดคล้องกับเป้าหมายของข้อตกลงปารีส มุ่งสู่การจำกัดอุณหภูมิฯ ไว้ให้ไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส โดยอยู่ระหว่างศึกษาในเรื่องของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งทางตรงและทางอ้อม

‘กลุ่มเซ็นทรัล’ ลงมือทำทุกมิติสิ่งแวดล้อม ปรับ-เปลี่ยน เพื่อโลกที่ยั่งยืน

โรงแรมยั่งยืน สิ่งแวดล้อมยั่งยืน

สำหรับบริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จํากัด (มหาชน) มีการวางแนวนโยบายการจัดการขยะอย่างเป็นระบบ กำหนดแนวปฏิบัติให้กับทุกโรงแรม เพื่อให้มีการคัดแยกขยะก่อนนำขยะกำพร้าส่งไปยังหลุมฝังกลบตามหลักการลดขยะจากต้นทาง อีกทั้ง มีการบันทึกข้อมูลขยะโดยแบ่งเป็น 4 ประเภทหลัก คือ 1. ขยะรีไซเคิล 2. ขยะอินทรีย์ 3. ขยะทั่วไป และ 4. ขยะอันตราย

เป้าหมายระยะแรก 10 ปี (ปี 2020-2029) คือ มุ่งลดการใช้พลังงาน ลดการใช้น้ำ ลดปริมาณขยะไปสู่หลุมฝังกลบ และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 20% เทียบจากปีฐาน 2019 เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาด บำบัดน้ำเสียเพื่อใช้รดน้ำต้นไม้ ลดการนำขยะไปยังหลุมฝังกลบ คัดแยกขยะอย่างเป็นระบบ เปลี่ยนขยะอินทรีย์เป็นสารปรับปรุงดินและได้ก๊าซชีวภาพสำหรับปรุงอาหารในโรงแรม ตั้งเป้าเพิ่มพื้นที่สีเขียวด้วยการปลูกป่าอย่างน้อย 100,000 ต้น ภายในปี 2029

‘กลุ่มเซ็นทรัล’ ลงมือทำทุกมิติสิ่งแวดล้อม ปรับ-เปลี่ยน เพื่อโลกที่ยั่งยืน

Love the Earth เปลี่ยนไลฟ์สไตล์เพื่อโลก

เนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก (World Environment Day) กลุ่มเซ็นทรัล ร่วมกับ โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Environment Programme: UNEP) ชวนเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ภายใต้แคมเปญ “Love the Earth” (เลิฟ ดิ เอิร์ธ) ในธีม Beat Plastic Pollution ลดมลพิษทางสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากพลาสติก สู่เป้าหมาย NetZero ปี 2050 ส่งเสริมด้านความยั่งยืนผ่านกิจกรรม World Environment Day ในรูปแบบ Carbon Neutral ตั้งแต่การ Reuse วัสดุภายในงาน นำกลับมาใช้ซ้ำ หรือนำไป Recycle อย่างถูกวิธี รวมถึงการคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมที่เกิดขึ้นทั้งหมด และจะทำการชดเชยปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เท่ากับศูนย์

‘กลุ่มเซ็นทรัล’ ลงมือทำทุกมิติสิ่งแวดล้อม ปรับ-เปลี่ยน เพื่อโลกที่ยั่งยืน

Source : กรุงเทพธุรกิจ

“ไฮโดรเจน” กำลังเป็นกระแสพลังงานทางเลือกใหม่ ซึ่งทั่วโลกอยู่ระหว่างการพัฒนาเพื่อให้เกิดการใช้งานเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน และเริ่มมีการนำมาใช้ในภาคการขนส่งของไทย ซึ่งภาครัฐจำเป็นต้องมีมาตรการส่งเสริมเพื่อขับเคลื่อนไทยสู่เป้าหมาย Net Zero

นายปิยบุตร จารุเพ็ญ กรรมการผู้จัดการ บีไอจี กล่าวในงานสัมมนา “ไฮโดรเจน : พลังงานทางเลือกแห่งอนาคต ตอบโจทย์สภาวะโลกร้อน?” จัดโดย คณะกรรมาธิการการพลังงาน วุฒิสภา เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. 66 ว่า บีไอจี มี Air Products เป็นบริษัทแม่ในสหรัฐ ที่ดำเนินธุรกิจเป็นผู้นำการพัฒนาเทคโนโลยีเกี่ยวกับไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำและปราศจากคาร์บอนของโลก

ทั้งนี้ บีไอจีได้ดำเนินธุรกิจ ไฮโดรเจน ในไทยมากว่า 35 ปี โดยสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมหลัก เช่น โรงกลั่น ปิโตรเคมี น้ำตาล และกระจก ซึ่งตอบโจทย์ความต้องการของบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ ต่างมุ่งไปที่การดูแลสังคมว่าจะทำอย่างไรให้สังคมและโลกดีขึ้น โดยบีไอจีเห็นว่าการใช้ไฮโดรเจนภาคขนส่งเป็นสิ่งสำคัญจึงร่วมมือกับ กลุ่ม ปตท. และ โตโยต้า พัฒนาและผลักดันการใช้พลังงานไฮโดรเจนในภาคขนส่ง

การใช้ไฮโดรเจนให้เป็นรูปธรรมจำเป็นมากที่ภาครัฐต้องสนับสนุน โดยภาคเอกชนมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย ส่วนประชาชนต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับไฮโดรเจน รวมทั้งการที่จะไปสู่เป้าหมาย Net Zero ที่ไทยประกาศไว้ปี 2565 ได้นั้นการใช้ไฮโดรเจนจะมีส่วนสำคัญ เพราะเป็นเชื้อเพลิงที่ทั่วโลกยอมรับว่าถ้าไม่ผลักดันไฮโดรเจนอาจจะไปไม่ถึงเป้าหมาย อีกทั้งการลงทุนก่อสร้างต้องใช้เวลา 4-5 ปี เพื่อไทยจะพึ่งตัวเองให้ได้และลดการนำเข้า จึงต้องเริ่มอย่างรวดเร็ว เพราะหากเสียเวลาเพียง 2-3 ปี จะช้าไปอีก ถ้าทุกภาคส่วนเห็นด้วยก็จะไปด้วยกันได้ทันที

“ขณะนี้ภาครัฐนำ ไฮโดรเจน เข้าไปในแผนพลังงานชาติ แต่เป็นเพียงส่วนหนึ่ง จึงต้องเริ่มทำให้เป็นแผนพลังงานก่อน และจะมีแผนและยุทธศาสตร์อย่างไรให้ไทยบรรลุเจตนารมณ์ตามนโยบาย 30@30 และมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ในอนาคต ซึ่งในไทยใช้ไฮโดรเจนอยู่แต่เป็นรูปแบบภาคีเครือข่าย และการจะบรรจุในแผนพลังงานชาติจะต้องสอดรับกับภาคีเครือข่ายด้วย”

'ไฮโดรเจน' พลังงานสะอาดทางเลือกใหม่ เร่งไทยสู่เป้าหมาย Net Zero

นอกจากไฮโดรเจนจะใช้ในภาคอุตสาหกรรมและภาคขนส่งแล้วยังใช้ในภาคพลังงานเพื่อผลิตไฟฟ้าได้ด้วย จากปัจจุบันใช้ก๊าซธรรมชาติมาเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งการผลิตไฟฟ้าไม่ต้องการปล่อยคาร์บอน และต่างประเทศเริ่มนำไฮโดรเจนมาเป็นเชื้อเพลิงที่ให้ความร้อนสูงกว่าและไม่ปล่อยคาร์บอน โดยจะเห็นว่า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ. ศึกษาการนำไฮโดรเจนมาผลิตไฟฟ้าเช่นกัน

นายปิยบุตร กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันกรีนไฮโดรเจนยังมีราคาแพง และการจะลดต้นทุนต้องมีปริมาณการใช้จำนวนมากขึ้น ซึ่งหลายภาคส่วนเริ่มที่จะอยากใช้แล้ว ดังนั้น สิ่งที่ภาครัฐจะช่วยกระตุ้นการใช้งานอย่างแพร่หลายได้คือ 1) การออกกฏระเบียบเพิ่มไฮโดรเจนเป็นพลังงาน และ 2) การออกมาตรการจูงใจ ปัจจุบันภาครัฐมีมาตรการด้านภาษีเฉพาะผู้ลงทุนกรีนไฮโดรเจน แต่เมื่อต้นทุนยังสูงก็ยังไม่มีผู้ผลิตลงทุน ดังนั้น ภาครัฐต้องทำให้เกิดความต้องการในการใช้ก่อน เหมือนมาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้า (EV)

“แนวโน้มการเติบโตของการใช้ ไฮโดรเจน นั้น หากรัฐเข้ามาสนับสนุนอย่างจริงจังจะช่วยให้เกิดขึ้นเร็ว เพราะเทรนด์ไฮโดรเจนจะมาเรื่อยๆ โดยปัจจัยภาษีคาร์บอน อุตสาหกรรมจะต้องคิดแล้วว่า มีกี่ทางเลือกที่จะทำให้คาร์บอนลดลง ซึ่งไฮโดรเจนก็จะเป็นหนึ่งทางเลือกที่ยั่งยืน” นายปิยบุตร กล่าว

การจัดงานสัมมนาครั้งนี้จะช่วยให้เกิดประโยชน์ในด้านความเข้าใจอย่างไรบ้าง 

  1. การสนับสนุนของภาครัฐ ถือเป็นการส่งสัญญาณที่ดีว่าภาครัฐ โดยคณะกรรมาธิการการพลังงาน วุฒิสภา เข้ามาผลักดันสนับสนุนจะเป็นแรงผลักที่ดี
  2. การให้ความรู้ข้อเท็จจริงของไฮโดรเจน เพื่อที่สังคมจะได้ไม่เกิดข้อสงสัย เพราะหลายคนบอกว่าไฮโดรเจนอันตราย ซึ่งข้อเท็จจริงแล้วทุกเชื้อเพลิงอันตรายหมด แต่จะจัดการอย่างไรให้ปลอดภัยแล้วใช้ประโยชน์จากตรงนั้น การเผยแพร่ข้อเท็จจริงสำคัญ รวมถึงแนวทางมาตรฐานเทคโนโลยีไฮโดรเจนในไทยเป็นอย่างไร อิงตามมาตรฐานประเทศไทยหรือไม่ ทั้งในด้านการผลิต ขนส่ง และการใช้งาน
  3. การสร้างความร่วมมือ บีไอจี ผลิตไฮโดรเจนกว่า 35 ปี แต่หากโตโยต้าไม่มีรถเข้ามาก็ไม่เกิดการใช้งาน หรือหาก ปตท. ไม่อำนวยความสะดวกนำเข้าไปอยู่ในสถานีก็ไม่เกิด จะเห็นว่า 3 ปาร์ตี้มาร่วมมือกันจึงเกิด Ecosystem ในอีกหลายปาร์ตี้ เพราะไฮโดรเจนทำคนเดียวไม่ได้ ซึ่งอนาคตภาครัฐจะเข้ามาอย่างไรถือเป็นอีกพาร์ทเนอร์ไลฟ์ของธุรกิจไฮโดรเจน

ส่วนแนวคิดของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ที่จะมีโครงการนำร่องพื้นที่ใช้จริง เช่น การสร้างไฮโดรเจน วัลเลย์ ในพื้นที่ใช้งานอย่างแพร่หลาย อาทิ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เพื่อเป็นต้นแบบกระบวนการจัดหา กำกับ ใช้ ทดสอบ จะแสดงผลจริงนั้นมองว่าเป็นเรื่องดีเพราะจะเป็นคลัสเตอร์ของการใช้งานที่ดีที่มีทั้งผู้ผลิต ผู้ใช้ ซึ่งจะช่วยทั้งกระตุ้นเศรษฐกิจ และลดการปล่อยคาร์บอน และไม่ต้องกังวลการปล่อยคาร์บอน

'ไฮโดรเจน' พลังงานสะอาดทางเลือกใหม่ เร่งไทยสู่เป้าหมาย Net Zero

Source : กรุงเทพธุรกิจ

กลุ่ม ปตท. จัดงาน PTT Group Tech & Innovation Day ต่อยอดเทคโนโลยีสร้างสรรค์สังคมและสิ่งแวดล้อม ขับเคลื่อนทุกชีวิตด้วย “นวัตกรรมนำอนาคต” ระหว่างวันที่ 28 ก.พ.–3 มี.ค. ณ ปตท. สำนักงานใหญ่

นายบุรณิน รัตนสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กลุ่ม ปตท. จัดงาน PTT Group Tech & Innovation Day ระหว่างวันที่ 28 กุมภาพันธ์ – 3 มีนาคม 2566   ณ ปตท. สำนักงานใหญ่ ถนนวิภาวดีรังสิต  ภายใต้แนวคิด “Beyond Tomorrow: นวัตกรรม นำอนาคต” เพื่อเป็นการแสดงศักยภาพด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม ทิศทางกลยุทธ์ การดำเนินงาน และการลงทุนด้านนวัตกรรมของกลุ่ม ปตท. ตลอดจนสร้างการรับรู้ทิศทางของเทคโนโลยีในอนาคต

และหาโอกาสความร่วมมือทางธุรกิจใหม่ พร้อมทั้งผลักดันการสร้างนวัตกรรมด้านพลังงานและเทคโนโลยีต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นในประเทศไทย เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ตามวิสัยทัศน์ Powering Life with Future Energy and Beyond ของกลุ่ม ปตท.

“วันนี้โลกอยู่ใยช่วงการเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยี และไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ซึ่งสอดคล้องนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งส่งเสริมธุรกิจให้นำนวัตกรรมมาใช้ โดย ปตท.ก็ได้มีการส่งเสริม Future Energy พลังงานอนาคต Future Mobility การขับเคลื่อน ยานยนต์แห่งอนาคต Health ผ่านธุรกิจLife Science ทั้งยา อุปกรณ์ทางการแพทย์ เทคโนโลยีการรักษา และการป้องกันโรค AI และ Robotic โลจิสติกส์ และดีคาร์บอนและInnovation Ecosystem ซึ่งการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ไม่เพียงทำให้ ปตท. เข้มแข็งแต่ยังทำให้ประเทเราพัฒนามากขึ้น นำไปสู่การหลุดพ้นจากกับดักการมีรายได้ปานกลาง”

ทั้งนี้ ปตท. มีความเชี่ยวชาญ โดยมีแกนหลักคือ สถาบันนวัตกรรม ปตท. ผ่านความร่วมมือทั้งจากในกลุ่ม ปตท. และจากเครือข่ายพันธมิตรชั้นนำภายนอก จนเกิดเป็นกลุ่มงานนวัตกรรมและธุรกิจใหม่ 7 ด้านมาร่วมจัดแสดง ประกอบด้วย Future Energy, Future Mobility, Life Science, AI, Robotics & Digitalization, Logistics & Infrastructure, Decarbonization และ Innovation Ecosystem

นอกจากจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจของกลุ่ม ปตท. พร้อมรับทุกกระแสการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น และขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มั่นคงให้กับประเทศไทยแล้ว ยังช่วยสนับสนุนให้กลุ่ม ปตท. บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2040 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี 2050 ซึ่งเร็วกว่าเป้าหมายของประเทศ พร้อมจุดพลังจากเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อสร้างคุณค่าต่อสังคม ชุมชน สิ่งแวดล้อม และยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับคนไทยในทุกมิติได้อย่างยั่งยืนต่อไป

สำหรับภายในงานนี้ แบ่งพื้นที่จัดแสดง 3 ส่วน ประกอบด้วย  1. นิทรรศการแสดงผลงานทางด้านเทคโนโลยีนวัตกรรม จาก กลุ่ม ปตท. อาทิ E-Bus รุ่นใหม่จาก ARUN PLUS, Hydrogen Refueling Station พร้อมรถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง 1 ใน 2 คันของประเทศไทย, นวัตกรรมยกระดับคุณภาพชีวิตด้วย Life Science จาก Innobic, Smart Farming Drone จาก Varuna, Virtual Art Exhibition ด้วยเทคโนโลยี AR / VR จาก Mekha V, โอกาสทางธุรกิจใหม่ด้านไฮโดรเจน และ เชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน (SAF) ของ ปตท., เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS) ของ ปตท.สผ., การสร้างการเติบโตผ่าน Flagship Venture ของ Thaioil, นวัตกรรมผ้า Melt Blown ของ IRPC, Advanced Material Solutions (3D Printing Technology) จาก GC, Wind Energy Technology จาก GPSC, นวัตกรรม Mobility Lifestyle จาก OR, นำเสนอ Digital Industrial Solution ในบทบาทของ Enabler ให้กับกลุ่ม ปตท. โดย PTT Digital และสินค้านวัตกรรมที่พร้อมให้ช้อป ชิมจากกลุ่ม ปตท.

2. Tech Talk เวทีแลกเปลี่ยนประสบการณ์ แนวคิด มุมมอง และเทรนด์เทคโนโลยี นวัตกรรมที่น่าจับตาจากภาครัฐที่ขับเคลื่อนนโยบายและผู้นำด้านนวัตกรรมกว่า 38 ท่าน ใน 23 หัวข้อ อาทิ Technology Foresight to the Edge of Tomorrow, Trend in Pharmaceutical Industry, Role of Intellectual Property for Innovation Ecosystem, Hydrogen Technology, Nuclear Fusion Technology, Opportunity to Enhance the Future by Life Science ฯ

3. Pitching Desk พื้นที่นำเสนอนวัตกรรมและธุรกิจใหม่ของกลุ่ม ปตท. กว่า 30 แบรนด์ อาทิ ARUN PLUS, HORIZON PLUS, EVme, Swap & Go, MEKHA V, T-ECOSYS, GML, NRPT, ORZON, VARUNA, InnoSpace, MORE ฯ ที่พร้อมให้นักลงทุนและผู้สนใจได้ร่วมพูดคุย ต่อยอดและขยายโอกาสการเติบโตสู่ธุรกิจที่ไกลกว่าพลังงานไปด้วยกัน งานนี้ ปตท. เปิดกว้างให้พันธมิตรและร่วมงาน PTT Group Tech & Innovation Day  เข้าชมงานได้ครบทุกกิจกรรม

Source : กรุงเทพธุรกิจ