ช่วงนี้มีแต่คนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าค่าไฟแพงมาก บางคนค่าไฟขึ้นจากเดิมเกือบเท่าตัว เรียกได้ว่า ทำงานหาเงินมาเพื่อจ่ายค่าไฟกันเลยทีเดียว วันนี้ทีมงานก็ได้ทำการหาข้อมูลเรื่องของค่าไฟแพงมา ซึ่งมาจากการให้ความรู้จากกูรูหลายท่าน รวมถึงการไฟฟ้าก็มีการเผยแพร่ข้อมูลความรู้เรื่องค่าไฟแพงออกมาเช่นกัน โดยเราได้ทำการสรุปและรวบรวมเอาไว้ในบทความนี้เรียบร้อยแล้ว

หน้าร้อน ทำไมค่าไฟแพง?

เป็นคำถามแรกที่ทุกคนต้องถามเมื่อเห็นบิลค่าไฟในช่วงหน้าร้อน เมื่อก่อนอาจจะดูเป็นเรื่องปกติ แต่ตอนนี้ทุกหน้าร้อนมันขึ้นตลอดจนสงสัยว่า หน้าร้อน ทำไมค่าไฟแพง ก็มาดูสาเหตุที่มีการวิเคราะห์กันออกมาได้ดังนี้

1.รูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนไป

ตั้งแต่เกิดโควิทขึ้น ทำให้รูปแบบการทำงานของเราเปลี่ยนไป มีการทำงานแบบ Work from home มากขึ้น ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เราต้องจ่ายค่าไฟเพิ่มขึ้นนั่นเอง เพราะหลายคนที่ทำงานแบบ Work from home ก็จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น คอมพิวเตอร์ เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ สำหรับทำงานที่บ้าน แน่นอนว่าต้องใช้ไฟมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ บางคนทำงานไปก็เปิดแอร์ไปด้วย เพราะเคยชินกับการทำงานในห้องแอร์ที่ออฟฟิศนั่นเอง และถ้าบ้านไหนมีคนที่เปลี่ยนมาทำงานแบบ Work from home มากขึ้นกว่า 1 คน เราก็จะเสียค่าไฟเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติ

2.อากาศที่ร้อน ส่งผลให้เครื่องใช้ไฟฟ้ายิ่งกินไฟมากขึ้น

สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภท ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ พวกนี้ ในหน้าร้อนจะกินไฟมากขึ้นกว่าปกติ เพราะว่าจะต้องทำงานหนักกว่าเดิม เพื่อที่จะสามารถใช้ความเย็นได้เท่าเดิมนั่นเอง โดยปกติแล้ว ถ้าไม่ใช้หน้าร้อน การทำงานที่จะปรับความเย็นให้ได้ตามที่ผู้ใช้กำหนดนั่น ก็จะใช้ระยะเวลาไม่นานสักเท่าไหร่ เพราะอากาศมันไม่ได้ร้อน แต่ถ้าอากาศร้อนก็จะต้องใช้เวลาในการทำความเย็นมากขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าในกลุ่มนี้กินไฟมากขึ้น

โดยทางกระทรวงพลังงานได้มีการเผยแพร่ข้อมูล ในการทดสอบเปิดแอร์ขนาด 12,000 BTU ที่ 26 °C ในอากาศที่ร้อนต่างๆ กันได้ผลออกมาดังนี้

อุณหภูมิภายนอก 35°C

  • เปิดแอร์ 1 ชั่วโมง จะใช้ไฟชั่วโมงละ 0.69 หน่วย
  • คิดเป็นเงิน 2.69 บาท/ชั่วโมง
  • เปิดแอร์ 8 ชั่วโมง/วัน ใช้ไฟ 5.52 หน่วย/วัน
  • คิดเป็นเงิน 21.52 บาท/วัน
  • ค่าไฟต่อเดือน (30 วัน) จะอยู่ที่ 645.60 บาท

อุณหภูมิภายนอก 41°C

  • เปิดแอร์ 1 ชั่วโมง จะใช้ไฟชั่วโมงละ 0.79 หน่วย
  • คิดเป็นเงิน 3.08 บาท/ชั่วโมง
  • เปิดแอร์ 8 ชั่วโมง/วัน ใช้ไฟ 6.32 หน่วย/วัน
  • คิดเป็นเงิน 24.64 บาท/วัน
  • ค่าไฟต่อเดือน (30 วัน) อยู่ที่ 739.20 บาท

จากการทดสอบนี้ก็สามารถอ้างอิงได้ว่า ในหน้าร้อนเครื่องปรับอากาศก็จะต้องกินไฟมากกว่าอย่างแน่นอน ยิ่งในพื้นที่ที่ร้อนกว่านี้ ก็จะกินไฟมากกว่านี้อีก ถ้าเทียบเป็นการกินไฟนั้นก็คำนวณได้ว่า หากร้อนขึ้น 1 องศา จะกินไฟเพิ่มขึ้นประมาณ 3.07%

3.ช่วงหน้าร้อนเป็นช่วงปิดเทอมของเด็กๆ

ในข้อนี้ดูแล้วไม่น่าจะเป็นสาเหตุได้ แต่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุจริงๆ นั่นแหละครับ เพราะช่วงเด็กปิดเทอม ก็จะอยู่บ้าน และเด็กโดยปกติเมื่ออยู่บ้านแล้ว ไม่ค่อยอยู่เฉยๆ กันสักเท่าไหร่ ต้องหาอะไรทำ ไม่ว่าจะเล่นเกม ดูทีวี หรือทำกิจกรรมอื่นๆ อยู่บ้านอากาศร้อนก็ต้องเปิดพัดลม บางคนก็เปิดแอร์ ซึ่งล้วนแต่ต้องใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นทั้งนั้น ไม่ใช่แค่ไฟอย่างเดียวนะครับ ยังมีค่าขนม ค่ากิน อะไรตามมาอีกมากมาย

4.ค่าไฟในไทยเป็นแบบอัตราก้าวหน้า

ค่าไฟแบบอัตราก้าวหน้า ถ้าให้อธิบายกันง่ายๆ ก็คือ คนใช้ไฟเยอะ จะเสียค่าไฟต่อหน่วยสูงกว่าคนที่ใช้ไฟน้อยนั่นเอง ซึ่งจะกำหนดค่าไฟต่อหน่วยเป็นลำดับขั้น ตามภาพด้านล่างนี้ (ตัวอย่าง)

5.การใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าแบบผิดวิธี

สาเหตุอย่างหนึ่งที่ทำให้ค่าไฟฟ้าแพง ก็มาจากการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ผิดวิธี หรือผิดจากวัตถุประสงค์ของเครื่องใช้ไฟฟ้านั่นเอง การใช้แบบผิดวิธี ตัวอย่างเช่น การนำของร้อนไปแช่ในตู้เย็น การเปิดปิดตู้เย็นบ่อยๆ จนตู้เย็นไม่สามารถกักเก็บความเย็นได้เป็นต้น หรือจะเป็น การเลือกใช้เครื่องปรับอากาศที่มีขนาดไม่เหมาะสมกับห้องที่ใช้ เช่น ขนาดเล็กเกินไป ส่งผลให้เครื่องปรับอากาศต้องทำงานตลอดเวลาเพื่อทำความเย็น ก็จะใช้ไฟมากขึ้นนั่นเอง นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการใช้เครื่องไฟฟ้าที่มีปัญหาไม่ยอมเอาไปซ่อม ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุในการใช้ไฟฟ้าที่มากขึ้นได้เช่นกัน

ทั้งหมดนี้ก็เป็น 5 สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้ค่าไฟเพิ่มขึ้นครับ

วิธีคำนวนค่าไฟฟ้า

ตอนนี้มาดูกันต่อว่า ค่าไฟฟ้า ที่เขามาเก็บจากเรานั้น เขาคิดมาจากไหน จะได้เข้าใจกันมากยิ่งขึ้น สำหรับค่าไฟฟ้าก็จะแบ่งเป็น 3 ส่วนด้วยกันดังนี้

ส่วนที่ 1 ค่าไฟฟ้าพื้นฐาน : ค่าพลังงานไฟฟ้า + ค่าบริการ
ส่วนที่ 2 ค่าไฟฟ้าผันแปร (FT) : จำนวนพลังงานไฟฟ้า x ค่า FT
ส่วนที่ 3 ภาษีมูลค่าเพิ่ม : (ค่าไฟฟ้าพื้นฐาน + ค่า FT) x 7/100

*ค่า FT คือ ค่าผันแปรที่อยู่นอกเหนือจากการควบคุมของการไฟฟ้า คือ ค่าเชื้อเพลิง และค่าซื้อไฟฟ้า ที่เป็นต้นทุนของการจำหน่ายไฟฟ้า มีการปรับขึ้น และปรับลง ตามตัวแปรต่างๆ ที่ไม่สามารถควบคุมได้

สำหรับค่าไฟฟ้าแพงนั้น ก็ต้องบอกว่า แพงยังไงก็ต้องจ่าย แต่ก่อนจ่าย เราคงต้องหาวิธีประหยัดด้วย ไม่งั้นค่าไฟฟ้าก็จะแพงขึ้นเรื่อยๆ เช่น การตั้งอุณหภูมิแอร์ให้สูงขึ้น เช่น แต่เดิมเคยเปิดที่ 24 – 25 องศา ก็อาจจะปรับเป็นที่ 26 – 27 องศา ถ้ารู้สึกร้อนก็อาจจะใช้วิธีเปิดพัดลมช่วย ซึ่งหลายคนก็พิสูจน์มาแล้วว่า ช่วยลดค่าไฟได้จริง หรือใครที่เคยเปิดพัดลมแอร์เบอร์สูงสุดให้เป่าเขาตัวแบบฉ่ำๆ ก็อาจจะปรับไปที่เบอร์ 1 หรือ 2 แทน ซึ่งวิธีนี้ก็ช่วยลดค่าไฟได้จริงๆ มีหลายคนทดสอบแล้วเอามาแชร์ในโซเชียลมีเดียมากมาย

นอกจากนี้อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ เราก็ต้องปรับเปลี่ยนการใช้งานด้วย เช่น ไม่เปิดปิดตู้เย็นบ่อยๆ ไม่เอาของร้อนไปแช่ในตู้เย็นทันที อาจจะตั้งไว้ข้างนอกให้หายร้อนก่อน ค่อยเอาไปแช่ บางคนที่ในบ้านมีทีวีหลายเครื่องปกติดูช่องเดียวกัน หรือหนังเรื่องเดียวกัน แยกกันดู อาจจะนัดกันมาดูด้วยกันแทน ปิดไฟที่ไม่ได้ใช้ ปิดคอมพิวเตอร์ทุกครั้งหลังใช้งาน แม่บ้านที่เคยเสียบปลั๊กหม้อหุงข้าว เพื่ออุ่นข้าวให้ร้อนตลอดวัน ตลอดคืน ก็อาจจะถอดปลั๊ก แล้วเอาข้าวไปแช่ตู้เย็นแทน จะกินเมื่อไหร่ ก็ตักแค่พอกินมาใส่ไมโครเวฟเพื่อทำให้อุ่น

ก็ไปลองทำกันดูนะครับ จะได้ช่วยลดค่าไฟลงได้บ้าง ไม่มากก็น้อย

Photo : Freepik

พลังงานสะอาดมาแรง แซงทางโค้งไปทั่วโลก ล่าสุดเยอรมนีกำลังฮิตติดโซลาร์เซลล์ไว้ที่ระเบียงบ้าน รัฐส่งเสริมแจกเงินช่วยด้วย

ปัจจุบันนี้มีระบบโซลาร์เซลล์แบบเสียบใช้ไฟฟ้ามากกว่า 4 แสนตัวติดตั้งในเยอรมนี โดยชาวเยอรมันส่วนใหญ่มักจะติดตั้งพวกมันเอาไว้ที่ระเบียงบ้าน ซึ่งตัวเลขล่าสุดเผยให้เห็นว่า เฉพาะในช่วงสามเดือนแรกของปี 2024 ก็มีระบบโซลาร์เซลล์ติดตั้งใหม่อย่างน้อย 50,000 ตัวแล้ว แสดงให้เห็นว่าเวลานี้ การติดตั้งโซลาร์เซลล์เอาไว้ใช้ในบ้านเรือนบูมขนาดไหน

กระแสการติดตั้งโซลาร์เซลล์ในยุโรปเวลานี้ ไม่เพียงแต่ช่วยลดค่าไฟ แต่มันยังสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามเปลี่ยนผ่านการใช้พลังงานแบบดั้งเดิม ไปสู่พลังงานสะอาด โดยระยะหลังๆมานี้ในยุโรปจะพบเห็นการติดตั้งโซลาร์เซลล์เอาไว้ตามสถานที่ต่างๆ ทั้งมอเตอร์เวย์ ลานจอดรถ หลังคารถ และแม้แต่หลุมฝั่งศพ เพื่อเป็นการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์

    สำหรับการติดตั้งโซลาร์เซลล์ไว้ที่ระเบียง ก็จะแตกต่างจากการติดตั้งไว้บนหลังคาบ้าน โดยระบบที่ติดตั้งไว้ที่ระเบียงจะเล็กกว่า พวกมันจะสามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้เพียงแค่ราว 10 เปอร์เซ็นต์ของการติดตั้งไว้บนหลังคา แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยความนิยมในเวลานี้ มีการคาดการณ์ว่า เยอรมนีน่าจะมีการติดตั้งโซลาร์เซลล์ที่ระเบียงบ้านจนสามารถผลิตไฟฟ้าได้รวมๆกันถึง 200 เมกะวัตต์

    แต่ถึงแม้จะได้ไฟฟ้าน้อยกว่า แต่การติดตั้งไว้ที่ระเบียงก็ง่ายกว่า สามารถสั่งซื้ออุปกรณ์ออนไลน์ และไม่จำเป็นต้องใช้ช่างไฟมาช่วยติดให้ ดังนั้นค่าใช้จ่ายจึงน้อยกว่า

    เยอรมนีนับว่าเป็นหนึ่งในประเทศแรกๆของโลกที่ลงทุนให้กับเทคโนโลยีโซลาร์เซลล์อย่างมาก และตอนนี้ เยอรมนีก็กลายมาเป็นประเทศที่สามารถผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ได้มากที่สุดในยุโรป

    ต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ช่วงปี 2000 รัฐบาลพยายามโน้มน้าวให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมกับการติดตั้งโซลาร์เซลล์ไว้บนหลังคา และมีการออกมาตรการต่างๆ เช่น มาตรการ Feed-in Tariffs ซึ่งเป็นมาตรการส่งเสริมการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เพื่อจูงใจให้ผู้ประกอบการเอกชนเข้ามาลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน อีกทั้งยังมีการมอบเงินสนับสนุนให้ในระดับภูมิภาคด้วย และสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ ปัจจุบันนี้ รัฐนอร์ทไรน์-เวสต์ฟาเลีย มีการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์แบบเสียบเข้ากับไฟบ้านมากกว่า 80,000 ตัว ตามมาด้วยรัฐบาวาเรีย ซึ่งมีมากกว่า 60,000 ตัว

    ด้านสหภาพยุโรปประกาศว่า ชาติสมาชิกสามารถให้การช่วยเหลือการติดตั้งโซลาร์เซลล์เอาไว้ที่ระเบียงบ้านแบบเยอรมนีได้ แต่ว่าก็ไม่ใช่กฎระเบียบที่จริงจัง ดังนั้น หลายประเทศจึงไม่ได้มีมาตรการเรื่องโซลาร์เซลล์เหมือนเยอรมนี

    ขณะเดียวกันในเบลเยียม มีการสั่งห้ามใช้อุปกรณ์โซลาร์เซลล์แบบเสียบเข้ากับไฟบ้าน เพราะเกรงว่าจะก่อให้เกิดความเสียหายจากระบบที่ไม่ได้ระบการลงทะเบียน

    ที่มา : https://www.euronews.com/green/2024/04/21/solar-balconies-are-booming-in-germany-heres-what-you-need-to-know-about-the-popular-home-

    Source : Spring News

    ความต้องการเงินทุนพลังงานสะอาดสําหรับประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ได้รับการย้ําก่อน COP29 และเรื่องราวด้านพลังงานต่างๆที่น่าสนใจ

    1. มุ่งเน้นไปที่การเงินสีเขียวสําหรับประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่

    Fatih Birol ผู้อํานวยการบริหารของสํานักงานพลังงานระหว่างประเทศได้เน้นย้ําถึง “ความสําคัญของการส่งเสริมการจัดหาเงินทุนด้านพลังงานสะอาดในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่” และเขามองว่าเป็นหนึ่งในลําดับความสําคัญสําหรับวาระการประชุมในบากู ประเทศอาเซอร์ไบจานในเดือนพฤศจิกายน Manila Bulletin รายงาน

    ในการประชุม COP28 เมื่อปีที่แล้ว มีการอภิปรายอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับการกําหนดเป้าหมายร่วมใหม่เกี่ยวกับการเงินด้านสภาพอากาศ โดยคํานึงถึงความต้องการและลําดับความสําคัญของประเทศกําลังพัฒนา

    2. กําลังการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินเพิ่มขึ้น 2% ในปี 2023

    กําลังการผลิตพลังงานถ่านหินของโลกเพิ่มขึ้น 2% ในปี 2023 ซึ่งเร็วที่สุดนับตั้งแต่ปี 2016 ตามการวิจัยใหม่

    ในการสํารวจประจําปี Global Energy Monitor กล่าวว่า 69.5 กิกะวัตต์ (GW) ออนไลน์ในปี 2023 โดยประมาณสองในสามของกําลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นนี้มาจากจีน โดยกําลังการผลิต 21.1GW ถูกยกเลิกในปี 2023

    อย่างไรก็ตาม การเติบโตที่เร่งขึ้นอาจมีอายุสั้น เนื่องจากอัตราการเกษียณอายุคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในสหรัฐอเมริกาและยุโรปในปี 2024 และปีต่อๆ ไป ตามการสํารวจ มันเสริมว่าการก่อสร้างได้เริ่มต้นน้อยกว่า 4GW ของโครงการใหม่นอกประเทศจีนในปี 2023 ซึ่งลดลงอย่างมากจากค่าเฉลี่ยรายปี 16GW ระหว่างปี 2015 ถึง 2022 สําหรับประเทศชุดเดียวกัน

    Flora Champenois ผู้อํานวยการโครงการถ่านหินของ Global Energy Monitor ให้ความเห็นเกี่ยวกับการค้นพบนี้ว่า “โชคลาภของถ่านหินในปีนี้เป็นความผิดปกติ เนื่องจากสัญญาณทั้งหมดชี้ไปที่การย้อนกลับจากการขยายตัวที่เร่งขึ้นนี้

    “แต่ประเทศที่มีโรงไฟฟ้าถ่านหินเพื่อเกษียณอายุจําเป็นต้องทําเช่นนั้นให้เร็วขึ้น และประเทศที่มีแผนสําหรับโรงไฟฟ้าถ่านหินใหม่ต้องแน่ใจว่าไม่เคยสร้างสิ่งเหล่านี้ มิฉะนั้น เราสามารถลืมเกี่ยวกับการบรรลุเป้าหมายของเราในข้อตกลงปารีสและเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ที่การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วไปสู่พลังงานสะอาดจะนํามาซึ่ง”

    ศูนย์พลังงานและวัสดุของการริเริ่มถ่านหินสู่พลังงานหมุนเวียนที่ World Economic Forum กล่าวถึงความท้าทายในการเลิกใช้ถ่านหินทั่วโลกในภาคพลังงานและบทบาทของความร่วมมือระหว่างประเทศ

      3.  เรื่องราวด้านพลังงานเพิ่มเติมจากทั่วโลก

      การวิจัยจาก REN21 พบว่าการเพิ่มกําลังการผลิตพลังงานหมุนเวียนทั่วโลกเพิ่มขึ้นเป็นปีที่ 22 ติดต่อกันเป็นประวัติการณ์ในปี 2566 ตามรายงานสถานะพลังงานหมุนเวียนทั่วโลกของกลุ่ม มีการเพิ่มกําลังการผลิตพลังงานหมุนเวียน 473GW เพิ่มขึ้น 36% เมื่อเทียบเป็นรายปี แต่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของการเพิ่มขึ้นที่จําเป็นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านสภาพอากาศ สํานักข่าวรอยเตอร์รายงาน

      คณะกรรมการกํากับดูแลปิโตรเลียมต้นน้ําของไนจีเรียได้เพิ่มตัวเลขสํารองน้ํามันและก๊าซของประเทศ ปริมาณสํารองไฮโดรคาร์บอนที่เป็นที่รู้จักของประเทศเพิ่มขึ้น โดยน้ํามันดิบและคอนเดนเสทแตะ 37.5 พันล้านบาร์เรล ณ วันที่ 1 มกราคม กรมรัฐบาลกล่าว

      ญี่ปุ่นและสหรัฐฯ ได้ประกาศความร่วมมือเพื่อเร่งการพัฒนาและการค้านิวเคลียร์ฟิวชัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเยือนวอชิงตันของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ฟูมิโอะ คิชิดะ ความร่วมมือดังกล่าวจะขยายความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัย ห้องปฏิบัติการ และธุรกิจในอเมริกาและญี่ปุ่น กระทรวงพลังงานของสหรัฐอเมริกากล่าว

      กําลังการผลิตพลังงานความร้อนใต้พิภพในสหรัฐอเมริกาอาจเพิ่มขึ้น 20 เท่าภายในปี 2050 โดยผลิตไฟฟ้าได้ 10% ของประเทศ ตามแผนงานความร้อนใต้พิภพของประเทศ ตามการบริหารของประธานาธิบดีไบเดนที่ประกาศ 74 ล้านดอลลาร์สําหรับโครงการนําร่องความร้อนใต้พิภพมากถึงเจ็ดโครงการ สิ่งนี้จะอนุญาตให้ดึงพลังงานความร้อนใต้พิภพจากพื้นดินได้ทุกที่ แทนที่จะเป็นเพียงที่จุดร้อนใต้พิภพ

      ประธานาธิบดีแดเนียล โนโบอา แห่งเอกวาดอร์ ได้ประกาศภาวะฉุกเฉินในภาคพลังงาน เนื่องจากภัยแล้งส่งผลกระทบต่อความสามารถในการผลิตไฟฟ้าพลังน้ํา

      การผลิตน้ํามันและก๊าซของเยอรมนีลดลงในปี 2023 ตามข้อมูลของสมาคมอุตสาหกรรม BVEG การผลิตน้ํามันลดลง 5.9% เมื่อเทียบเป็นรายปี และผลผลิตก๊าซธรรมชาติลดลง 10.4%

      สภาพลังงานลมโลกกล่าวว่าโลกได้ติดตั้งกําลังการผลิตลมเป็นประวัติการณ์ในปีที่แล้ว ในรายงานลมโลก สมาคมการค้ากล่าวว่ากําลังการผลิตติดตั้งทั้งหมดอยู่ที่ 117GW ซึ่งเพิ่มขึ้น 50% เมื่อเทียบเป็นรายปี ผู้เขียนรายงานคาดการณ์อัตราการเติบโตต่อปีที่ 9.4% ในการติดตั้งใหม่ในอีกห้าปีข้างหน้า

      ชิลีตั้งเป้าที่จะผลิตเชื้อเพลิงการบินที่ยั่งยืน (SAF) ในวงกว้างภายในปี 2030 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนงาน SAF ปี 2050 แผนคือการใช้เชื้อเพลิงซึ่งทําจากขยะเทศบาล น้ํามันและไขมัน สําหรับความต้องการด้านการบินครึ่งหนึ่งภายในปี 2593

      4. เพิ่มเติมเกี่ยวกับพลังงานจากวาระการประชุม

      ปั๊มความร้อนแบบ trimmed-down และ window-mounted อยู่ระหว่างการทดลองที่สามารถทําให้อพาร์ทเมนท์ในนิวยอร์กมีความยั่งยืนมากขึ้น อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่

      ญี่ปุ่นกําลังกลายเป็นผู้นําระดับโลกในการพัฒนาเทคโนโลยีไฮโดรเจนอย่างรวดเร็ว ส่วนใหญ่เนื่องจากการเน้นเชิงกลยุทธ์ที่ไฮโดรเจนเป็นแหล่งพลังงานรุ่นต่อไป บทความนี้สํารวจว่าบริษัทญี่ปุ่นเป็นผู้บุกเบิกการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอย่างไร

      การขุดแร่ธาตุสําคัญมีความสําคัญต่อการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงาน แต่บทความนี้สํารวจว่าทําไมภาคส่วนนี้จึงต้องเจาะลึกเพื่ออธิบายกลยุทธ์สุทธิเป็นศูนย์

      การขยายขนาดของเทคโนโลยีหมุนเวียนขึ้นอยู่กับความพร้อมของโลหะสําคัญที่ขาดแคลน ซึ่งปัจจุบันอัตราการรีไซเคิลต่ำมาก นี่คือวิธีที่เราสามารถปรับปรุงการหมุนเวียนภายในอุตสาหกรรมได้

      การรีไซเคิล “โลหะเปลี่ยนพลังงาน” เหล่านี้ยังให้ศักยภาพในการเติบโตมากมายสําหรับภาคส่วนนี้ หากเป็นไปตามการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างในการเปลี่ยนแปลงของตลาดในปัจจุบัน

      Source : กรุงเทพธุรกิจ

      เคยสงสัยไหมว่า ทำไมบิลค่าไฟฟ้าครัวเรือนในหน้าร้อนถึงแพงขึ้น ทั้งที่ภาครัฐโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ยังตรึงอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ หรือค่า Ft ไว้ที่ 39.72 สตางค์ มาตั้งแต่ต้นปี ถึงเดือนสิงหาคม 2567

      ทั้งนี้พบว่า สาเหตุมาจากเหตุผลหลัก 2 ปัจจัย ปัจจัยแรก คือ สภาพอากาศที่ร้อนจัด ทำให้ผู้ใช้ไฟฟ้าต้องเปิดเครื่องปรับอากาศ

      ถึงแม้จะเปิดในจำนวนชั่วโมงที่เท่ากัน แต่ด้วยอุณหภูมิที่แตกต่างกันระหว่างภายในบ้านกับภายนอกบ้านที่มากขึ้น ทำให้เครื่องปรับอากาศกินไฟมากขึ้นด้วย

      ข้อมูลจากการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ระบุว่า อุณหภูมิภายในบ้านและนอกบ้านที่แตกต่างกัน 1 องศาเซลเซียส จะทำให้เครื่องปรับอากาศกินไฟมากขึ้น 3% 

      ยกตัวอย่างเช่น หากตั้งอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศในห้องไว้ที่ 26 องศาเซลเซียส จะพบว่าในหน้าร้อน เครื่องปรับอากาศจะทำงานหนักมากขึ้นกว่าเดิมมาก เพื่อปรับลดอุณหภูมิจาก 40 องศาเซลเซียส ให้ถึงอุณหภูมิ 26 องศาเซลเซียส ตามที่ตั้งค่าไว้ ซึ่งอุณหภูมิที่ต่างกันถึง 14 องศา จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้หน่วยการใช้ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าสูงขึ้นตามไปด้วย

      ไม่นับรวมพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าเล็กๆ น้อยๆในช่วงฤดูร้อน ที่ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่หากทำสะสมบ่อยๆ อาจส่งผลต่อการใช้หน่วยไฟฟ้าเพิ่มขึ้น และทำให้ค่าไฟฟ้าแพงขึ้นได้เช่นกัน เช่น การเปิด-ปิดตู้เย็นบ่อยครั้ง การเปิดแอร์คลายร้อนทั้งวันทั้งคืน เป็นต้น

      ปัจจัยที่สอง ที่ทำให้ค่าไฟฟ้าแพงขึ้นในฤดูร้อน มาจากโครงสร้างค่าไฟฟ้าที่จัดเก็บประเภทบ้านที่อยู่อาศัย โดยคิด “อัตราก้าวหน้าแบบขั้นบันได” คือ ยิ่งจำนวนหน่วยการใช้มากขึ้น ก็จะถูกเก็บค่าไฟฟ้าในอัตราที่แพงขึ้น เช่นเดียวกับการคิดภาษี 

      ดังนั้น ช่วงฤดูร้อนที่จำนวนหน่วยการใช้ไฟฟ้ามากขึ้น เพราะเครื่องปรับอากาศกินไฟมากขึ้น ทำให้ผู้ใช้ไฟฟ้าต้องจ่ายค่าไฟฟ้าในอัตราที่สูงขึ้น แม้ว่าอัตราค่า Ft จะเท่าเดิม ในงวดตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-สิงหาคม ที่รัฐตรึงราคาเอาไว้

      อย่างไรก็ตาม  ต้องเข้าใจก่อนว่า การคิดค่าไฟฟ้าประกอบด้วย 4 ส่วนสำคัญ ได้แก่ ค่าไฟฟ้าฐาน ค่า Ft ค่าบริการรายเดือน และภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งแต่ละส่วนจะมีวิธีคิดที่แตกต่างกัน มีที่มาแตกต่างกัน

      แต่ส่วนประกอบหลักที่มีผลต่อค่าไฟฟ้าในแต่ละเดือน คือ ค่าไฟฟ้าฐาน (ขึ้นอยู่กับปริมาณการใช้ไฟฟ้า) และ ค่า Ft (ขึ้นอยู่กับราคาเชื้อเพลิง)

      โดยค่าไฟฟ้าฐานในประเทศไทย ไม่ค่อยปรับกันบ่อยๆ ปัจจุบันยังเป็นอัตราเดิมที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2558 และเป็นอัตราเดียวเท่ากันตลอดทั้งปี  

      ส่วนค่า Ft จะปรับทุกๆ 4 เดือน หรือ 3 ครั้งต่อปี ซึ่งล่าสุด กกพ. มีมติตรึงค่า Ft ประจำเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2567 ไว้ที่หน่วยละ 0.3972 บาท หรือ 39.72 สตางค์

      การคิดค่าไฟฟ้าในอัตราเริ่มต้นและปรับอัตราเพิ่มเป็นขั้นบันไดประเภทบ้านที่อยู่อาศัย ที่ยังไม่รวมค่า Ft และภาษีมูลค่าเพิ่ม

      จะเริ่มต้นตั้งแต่ 1-150 หน่วย อยู่ที่ 3.2484 บาทต่อหน่วย, 151-400 หน่วย อยู่ที่ 4.2218 บาทต่อหน่วย, เกิน 400 หน่วย อยู่ที่ 4.4217 บาทต่อหน่วย

      ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเดือนเมษายนนี้ใช้ไฟไม่เกิน 150  หน่วย X หน่วยละ 3.2484  บาท จะเท่ากับ 487.26 บาท

      แต่ถ้าใช้ไฟ 250  หน่วย วิธีคิดค่าไฟก็จะแบ่งเป็น 150  หน่วยแรก (หน่วยที่ 1-150) X 3.2484 บาท เท่ากับ  487.26 บาท 

      100 หน่วยต่อมา (หน่วยที่ 151–250) X 4.2218 บาท เท่ากับ 422.18 บาท รวมเป็นค่าไฟฟ้าฐานที่ต้องจ่าย 487.26+422.18 เท่ากับ 909.44 บาท เป็นต้น

      เพราะฉะนั้น บิลค่าไฟฟ้าที่มาถึงมือเรา  คือบิลที่นำค่าไฟฟ้าฐาน มาบวกกับค่า Ft  แล้วไปคูณกับจำนวนหน่วยไฟฟ้าที่ใช้  

      หลังจากนั้น ก็นำไปบวกกับค่าบริการรายเดือน แล้วค่อยนำมาคิดคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม ก็จะเท่ากับค่าไฟฟ้าสุทธิที่เราต้องจ่ายในแต่ละเดือน

      อย่างไรก็ดี  มีแนวทางที่จะช่วยให้ผู้ใช้ไฟฟ้าลดค่าไฟฟ้าในช่วงฤดูร้อนได้  โดยมีข้อแนะนำดีๆ จากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่ยึดหลัก 5 ป. ดังนี้

      1.ปิด คือ ปิดไฟทุกครั้งเมื่อไม่ใช้งาน

      2.ปรับ คือ ปรับอุณหภูมิแอร์ที่ 25-26 องศาเซลเซียส เพราะการปรับอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 1 องศาเซลเซียสจะช่วยลดค่าไฟฟ้าลงได้ประมาณ 10%

      3.ปลด คือ ปลดปลั๊กทุกครั้งเมื่อเลิกใช้งาน เพราะการเสียบปลั๊กทิ้งไว้แม้ปิดสวิตซ์ ก็ยังคงมีกระแสไฟฟ้าไหลเวียนอยู่ และทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าเสื่อมคุณภาพเร็ว เสี่ยงต่อการเกิดไฟฟ้าลัดวงจร

      4.เปลี่ยน คือ เปลี่ยนมาใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 แบบ 5 ดาว จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และประหยัดไฟยิ่งกว่าเดิม เมื่อเทียบกับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่มีฉลากเบอร์ 5

      5.ปลูก คือ ปลูกต้นไม้ใหญ่เพื่อช่วยสร้างร่มเงา ลดความร้อนเข้าสู่ตัวบ้าน และลดการทำงานของอุปกรณ์ไฟฟ้า

      Source : Energy News Center

      บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ตั้งเป้าหมายบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี 2583 (ค.ศ.2040) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี 2593 (ค.ศ. 2050) ภายใต้วิสัยทัศน์ “Powering Life with Future Energy and Beyond ขับเคลื่อนทุกชีวิต ด้วยพลังแห่งอนาคต”

      การจะไปสู่เป้าหมายตามที่กล่าวได้ แนวทางหนึ่งจะเป็นเรื่องของการนำคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยจากกระบวนการผลิตกลับมาใช้ประโยชน์หรือ การใช้เทคโนโลยีการดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ นำมาใช้ประโยชน์ (Carbon Capture and Utilization : CCU)

      นายบูรณิน รัตนสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน บริษัท ปตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ขณะนี้ ปตท.ร่วมกับธิสเซ่นครุปป์ อูเด้ห์ (Thyssenkrupp Uhde ) ของเยอรมนี อยู่ระหว่างศึกษาออกแบบความเป็นไปได้ ในการรวบรวมนำคาร์บอนไดออกไซด์ ที่เกิดจากกระบวนการแยกก๊าซฯของโรงแยกก๊าซธรรมชาติทั้ง 6 หน่วย ที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง มีความสามารถแยกก๊าซธรรมชาติสูงสุดรวมประมาณ 2,870 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ซึ่งเป็นกระบวนการที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดของ ปตท.นำมาผลิตเป็นเมทานอล

      เบื้องต้นคาดว่ามีขนาดกำลังผลิตราว 100,000 ตันต่อปี และสามารถขยายกำลังการผลิตได้ถึง 2 ล้านตันต่อปี ซึ่งโรงงานแห่งนี้คาดว่าจะตั้งอยู่หนองแฟบ ใกล้กับคลังก๊าซแอลเอ็นจีของปตท.เงินลงทุนราว 3,200 ล้านบาท

      ปตท.ลุย CCU จ่อทุ่ม 3 พันล้าน ผลิตเมทานอลจาก CO2 โรงแยกก๊าซฯ

      ปัจจุบันไทยยังไม่มีโรงงานผลิตเมทานอล แต่มีความต้องการใช้เมทานอลเฉลี่ยปีละ 700,000 ตัน โดยการนำเข้าจากตะวันออกกลาง ซึ่งเมทานอลเป็นสารละลายสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น อุตสาหกรรมเคมี การก่อสร้างและอุตสาหกรรมการผลิตพลาสติก ผสมในนํ้ามันเชื้อเพลิง แอลพีจี รวมทั้งการนำมาใช้ผสมในนํ้ามันอากาศยานแบบยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel : SAF)

      ทั้งนี้ จากผลการศึกษาเบื้องต้นพบว่า มีความเป็นไปได้เชิงเทคโนโลยี แต่ในด้านความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ยังต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เนื่องจากต้นทุนการผลิตเมทานอล จากคาร์บอนไดออกไซด์พบว่าสูงกว่าเมทานอลจากก๊าซธรรมชาติ โดยมีผลตอบแทนการลงทุน (IRR) ต่ำกว่า 10% ขณะที่การตัดสินใจลงทุนโครงการของ ปตท.จะต้องมี IRR เฉลี่ย 14-15% ทำให้ธิสเซ่นครุปป์ อูเด้ห์ ต้องหาแนวทางออกแบบในการลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายลงเพื่อให้โครงการนี้มี IRR ที่สูงขึ้น

      รวมทั้งต้องนำโครงการมาเปรียบเทียบต้นทุนการนำคาร์บอนฯไปใช้ประโยชน์ต่อ กับการนำไปกักเก็บในหลุมปิโตรเลียม (CCS) และการเสียภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) ว่าแบบไหนมีความเหมาะสม คุ้มค่ากว่ากัน คาดว่าผลการศึกษาจะได้ข้อสรุปในปีนี้

      บูรณิน รัตนสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน บริษัท ปตท จำกัด (มหาชน)
      บูรณิน รัตนสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน บริษัท ปตท จำกัด (มหาชน)

      “หากภาครัฐมีการเก็บภาษีคาร์บอนในอนาคต รวมถึงการไม่สนับสนุนอุตสาหกรรมที่ปล่อยคาร์บอนสูง ย่อมทำให้โครงการนี้มีความน่าสนใจลงทุนมากยิ่งขึ้น จนสามารถดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้”

      ทั้งนี้ จากการเยี่ยมชมศูนย์วิจัย Carbon2Chem บริษัท ธิสเซ่นครุปป์ อูเด้ห์ เมืองดุยส์เบิร์ก ประเทศเยอรมนี ได้พัฒนาต้นแบบการผลิตกรีนเมทานอลขนาด 75 ลิตรต่อวัน โดยนำคาร์บอนไดออกไซด์จากกระบวนการผลิตเหล็ก ผ่านการสังเคราะห์มาใช้ร่วมกับกรีนไฮโดรเจนที่ผ่านมาการแยกนํ้าด้วยเครื่องอิเล็กโตรไลเซอร์ ขนาด 2 เมกะวัตต์จากไฟฟ้าพลังงานลม มาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเมทานอล โดยนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงในการขนส่งทางเรือ และกำลังจะพัฒนานำไปใช้ผสมเป็นนํ้ามันอากาศยานแบบยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel : SAF)

      หากการดำเนินงานในโครงกานนี้สามารถเกิดขึ้นได้ จะมีส่วนช่วยสนับสนุนการบรรลุเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2593 ของปตท.ได้ และยังเพิ่มโอกาสการเติบโตในธุรกิจพลังงานแห่งอนาคตได้อีกทางหนึ่งด้วย

      สำหรับบริษัท ธิสเซ่นครุปป์ (Thyssenkrupp ) เป็นบริษัทชั้นนำของโลกที่ให้บริการด้านการวางแผน การก่อสร้าง และการให้บริการวิศวกรรมแก่โรงงานเคมีและปิโตรเคมีอย่างครบวงจร ซึ่งเป็นบริษัทที่ก่อตั้งมากว่า 200 ปี มีพนักงานกว่า 100,000 คน มีบริษัทลูกตั้งอยู่หลายประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย และเป็นบริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในดัชนี MDAX ในปี 2566 มียอดขายรวม 37,500 ล้านยูโร

      ดำเนิน 5 ธุรกิจหลัก ประกอบด้วย ด้านเทคโนโลยียานยนต์ (Auto motive Technology), ด้านการบริการด้านวัสดุ (Materials Services), ด้านเทคโนโลยีลดคาร์บอน (Decarbon Technologies), ด้านระบบยุทธนาวี (Marine Systems) และด้านเหล็กยุโรป (Steel Europ) เป็นบริษัทที่ให้ความสำคัญด้าน R&D มีศูนย์วิจัยกว่า 75 แห่งทั่วโลกโดยได้พัฒนาเทคโนโลยีด้านการอนุรักษ์สภาพอากาศ การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน และการปรับใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจสีเขียวอย่างยั่งยืน (Green Transformation) ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้า

      บริษัท ธิสเซ่นครุปป์ ตั้งเป้าหมายจากการใช้เทคโนโลยีในการนำคาร์บอนออกไซด์จากโรงถลุงเหล็กมาใช้ในการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ ไม่ว่าจะเป็นแอมโมเนีย เมทานอล จะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 30% ภายในปี 2573 เป็นการสนับสนุนให้เยอรมนีบรรลุป้าหมาย Net Zero 4kp.oxu 2593 ได้

      Source : ฐานเศรษฐกิจ