Tesla ซุ่มพัฒนารถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ “E41” ต่อยอดความสำเร็จ Model Y หั่นต้นทุนการผลิตลง 20% หวังเจาะตลาดจีน เตรียมเดินสายการผลิตที่ Gigafactory เซี่ยงไฮ้ในปี 2026

Tesla ตั้งเป้าลดต้นทุนการผลิต Model Y “E41” ลงอย่างน้อย 20% เมื่อเทียบกับ Model Y รุ่นปัจจุบัน ทำให้สามารถตั้งราคาขายที่ดึงดูดใจผู้บริโภคได้มากขึ้น

CREDIT : TESLA
CREDIT : TESLA

เพื่อลดต้นทุน Tesla จะใช้สายการผลิตที่มีอยู่แล้วที่โรงงาน Gigafactory Shanghai ในประเทศจีน ซึ่งเป็นโรงงานผลิตที่ใหญ่ที่สุดของบริษัท สื่อจีน เปิดเผยว่า Tesla China ใช้แนวคิด “Depop” ในการพัฒนา E41 คือการลดความซับซ้อน โดยยังคงรักษาคุณสมบัติหลักของรถไว้ ทำให้สามารถเปิดตัวผลิตภัณฑ์ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ แหล่งข่าวระบุว่า E41 จะมีขนาดเล็กกว่า Model Y รุ่นปัจจุบัน ซึ่งอาจมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างหรือขนาดแบตเตอรี่เพื่อลดต้นทุน

CREDIT : CNEVPOST
CREDIT : CNEVPOST

E41 จะถูกวางจำหน่ายในประเทศจีนเป็นหลัก เพื่อรักษาและเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดจากผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีน แม้ว่า Model Y จะเป็นหนึ่งในรถยนต์ไฟฟ้าที่ขายดีที่สุดในจีน แต่ส่วนแบ่งตลาดโดยรวมของ Tesla กำลังเผชิญกับแรงกดดันจากคู่แข่ง ข้อมูลจากสมาคมรถยนต์นั่งส่วนบุคคลแห่งประเทศจีน (CPCA) แสดงให้เห็นว่าส่วนแบ่งตลาดรถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) ของ Tesla ในเดือนกุมภาพันธ์ลดลงเหลือ 3.8% และส่วนแบ่งในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) อยู่ที่ 6.3%

CREDIT : CPCA
CREDIT : CPCA

CREDIT : CPCA
CREDIT : CPCA

การเปิดตัว Model Y “E41” ถือเป็นก้าวสำคัญของ Tesla ในการขยายตลาดรถยนต์ไฟฟ้าไปยังกลุ่มผู้บริโภคที่กว้างขึ้น โดยเฉพาะในตลาดจีนที่มีการแข่งขันสูง ยังเร็วเกินไปที่จะระบุราคาที่แน่นอนของ Model Y “E41” แต่จากการคำนวณคร่าวๆ และข้อมูลที่มีอยู่ ราคาเริ่มต้นอาจจะอยู่ในช่วงประมาณ 210,800 – 242,800 หยวน (1,054,000 – 1,214,000 บาท) หรืออาจจะต่ำกว่านั้น

ความท้าทายในจีน สมรภูมิ EV ที่ Tesla ต้องเผชิญ

ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดคือ ความสามารถในการแข่งขันของ Tesla ในตลาดจีนที่กำลังเผชิญหน้ากับคู่แข่งภายในประเทศ ที่พัฒนาอย่างรวดเร็วและไม่หยุดนิ่ง รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ ที่เปิดตัวอย่างต่อเนื่อง เช่น Xiaomi SU7 ที่ทำยอดขายแซงหน้า Model 3 ติดต่อกันถึงสามเดือน รวมถึงคู่แข่งโดยตรงของ Model Y ที่กำลังจะมาถึงจากแบรนด์ชั้นนำอย่าง Aito (ภายใต้ Huawei), Xiaomi (YU7), และ Xpeng ล้วนเป็นภัยคุกคามที่สำคัญต่อส่วนแบ่งตลาดของ Tesla ในปัจจุบัน

การเปิดตัว Model Y “E41” ที่มีราคาเข้าถึงง่าย จึงเป็นเหมือน “หมากรุก” สำคัญที่ Tesla วางไว้เพื่อตอบโต้การแข่งขันที่รุนแรงนี้ และรักษาตำแหน่งผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก

CREDIT : TESLA
CREDIT : TESLA

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของ “E41” จะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นราคาที่แข่งขันได้จริง, คุณสมบัติที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคชาวจีน, และความสามารถในการผลิตและส่งมอบที่ทันท่วงที ศึกชิงความเป็นเจ้าตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในจีนยังคงดำเนินต่อไปอย่างเข้มข้น และ Tesla จะต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายที่มากขึ้นเรื่อยๆ จากผู้เล่นหน้าใหม่และผู้เล่นเดิมที่แข็งแกร่งขึ้น การปรับตัวและพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่องเท่านั้น ที่จะทำให้ Tesla สามารถรักษาความได้เปรียบในสมรภูมิ EV อันดุเดือดนี้ได้

CREDIT : TESLA
CREDIT : TESLA

การลดต้นทุนการผลิตลงอย่างมีนัยสำคัญจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Tesla สามารถแข่งขันกับผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การขยับตัวของ Tesla ในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่จะส่งผลกระทบต่อตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศจีนเท่านั้น แต่ยังส่งสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก การแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นจะนำไปสู่การพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะส่งผลดีต่อผู้บริโภคอย่างแน่นอน

ที่มา : CNEVPOST
Source : Spring News

ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตพลังงานและปัญหาสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle: EV) กลายเป็นหนึ่งในทางออกที่สำคัญ อย่างไรก็ตาม ความท้าทายใหญ่ของรถยนต์ไฟฟ้าคือระยะเวลาในการชาร์จที่ยังช้ากว่าการเติมน้ำมันในรถยนต์สันดาปภายใน (ICE) แต่ล่าสุด บริษัท BYD ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำจากจีน ได้เปิดตัว “Super E-Platform” เทคโนโลยีชาร์จไฟฟ้าด้วยพลังงาน 1,000 กิโลวัตต์ ที่สามารถชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าให้วิ่งได้ไกลถึง 400 กิโลเมตรในเวลาเพียง 5 นาที ซึ่งเทียบเท่ากับความเร็วในการเติมน้ำมันรถยนต์ทั่วไป บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจความเป็นมา ข้อดี ข้อเสีย และอนาคตของเทคโนโลยีนี้ที่อาจเปลี่ยนโฉมวงการยานยนต์ไฟฟ้าไปตลอดกาล

BYD กับเทคโนโลยี Super E-Platform

BYD บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนที่เติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดโลก โดยเฉพาะในด้านนวัตกรรมแบตเตอรี่และเทคโนโลยีพลังงานสะอาด เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2568 BYD ได้เปิดตัว Super E-Platform อย่างเป็นทางการที่สำนักงานใหญ่ในเมืองเซินเจิ้น ประเทศจีน โดยนายหวัง ชวนฟู (Wang Chuanfu) ผู้ก่อตั้งและประธานบริษัท ระบุว่าเทคโนโลยีนี้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อแก้ปัญหาความกังวลเรื่องการชาร์จ (Charging Anxiety) ของผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการยอมรับรถยนต์ไฟฟ้าในวงกว้าง

Source : BYD

Super E-Platform ใช้ระบบไฟฟ้าแรงดันสูง 1,000 โวลต์ กระแสไฟ 1,000 แอมป์ และพลังงานสูงสุด 1,000 กิโลวัตต์ รองรับการชาร์จด้วยแบตเตอรี่แบบ “Flash Charge” ที่พัฒนาขึ้นใหม่ นอกจากนี้ BYD ยังประกาศแผนสร้างสถานีชาร์จเร็วพิเศษ (Ultra-Fast Charging Stations) กว่า 4,000 แห่งทั่วประเทศจีน เพื่อสนับสนุนเทคโนโลยีนี้ โดยมีเป้าหมายให้การชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเร็วเทียบเท่าการเติมน้ำมัน และแข่งขันกับคู่แข่งอย่าง Tesla ซึ่งปัจจุบันมี Supercharger ที่ให้พลังงานสูงสุด 500 กิโลวัตต์

ข้อดีของ Super E-Platform

  1. ความเร็วในการชาร์จที่เหนือชั้น การชาร์จที่ให้ระยะทาง 400 กิโลเมตรใน 5 นาที ทำให้ผู้ใช้สามารถเดินทางระยะไกลได้โดยไม่ต้องรอนาน ช่วยลดข้อจำกัดเรื่องเวลาเมื่อเทียบกับเทคโนโลยีชาร์จเร็วในปัจจุบัน เช่น DC Fast Charging (20-60 นาที) หรือ Tesla Supercharger (15-40 นาที)
  2. ลดความกังวลเรื่องระยะทาง (Range Anxiety) ความสามารถในการชาร์จที่รวดเร็วนี้ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ผู้ขับขี่ โดยเฉพาะในการเดินทางไกลที่ต้องการการชาร์จระหว่างทาง
  3. สนับสนุนการขยายตลาด EV ความสะดวกในการชาร์จจะกระตุ้นให้ผู้บริโภคหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มที่ยังลังเลเพราะข้อจำกัดของโครงสร้างพื้นฐาน
  4. เทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่ล้ำสมัย แบตเตอรี่ Flash Charge ที่พัฒนาคู่กับ Super E-Platform มีประสิทธิภาพสูง ทนทานต่อการชาร์จเร็ว และลดการเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่เมื่อเทียบกับระบบชาร์จทั่วไป
  5. การแข่งขันในตลาดโลก BYD สามารถตั้งตัวเป็นผู้นำในเทคโนโลยีชาร์จเร็ว แซงหน้าคู่แข่งอย่าง Tesla, NIO และผู้ผลิตรถยนต์จากยุโรป สร้างความได้เปรียบในตลาด EV ทั่วโลก
Source : BYD

ข้อสังเกตของ Super E-Platform

  1. โครงสร้างพื้นฐานที่ท้าทาย การติดตั้งสถานีชาร์จ 1,000 กิโลวัตต์ต้องใช้โครงข่ายไฟฟ้าที่มีกำลังสูง ซึ่งอาจเป็นภาระต่อระบบไฟฟ้าในบางพื้นที่ โดยเฉพาะในประเทศที่โครงสร้างพื้นฐานยังไม่พร้อม
  2. ต้นทุนสูง ทั้งการพัฒนาสถานีชาร์จและแบตเตอรี่ Flash Charge อาจทำให้ราคารถยนต์และค่าบริการชาร์จสูงขึ้น ซึ่งอาจไม่เหมาะกับผู้บริโภคที่มีงบจำกัด
  3. ความเข้ากันได้จำกัด ในช่วงเริ่มต้น เฉพาะรถยนต์รุ่นใหม่ของ BYD เช่น Han L และ Tang L เท่านั้นที่รองรับเทคโนโลยีนี้ ทำให้ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นเก่าหรือยี่ห้ออื่นยังไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้
  4. ผลกระทบต่ออายุแบตเตอรี่ แม้ BYD จะระบุว่าแบตเตอรี่ Flash Charge ทนทานต่อการชาร์จเร็ว แต่การชาร์จด้วยพลังงานสูงซ้ำๆ อาจส่งผลต่ออายุการใช้งานของแบตเตอรี่ในระยะยาว ซึ่งต้องรอการพิสูจน์จากผู้ใช้งานจริง
  5. การพึ่งพาตลาดจีน แผนการติดตั้งสถานีชาร์จ 4,000 แห่งจำกัดอยู่ในจีนเป็นหลัก ทำให้ผู้ใช้ในประเทศอื่นอาจยังไม่ได้รับประโยชน์เต็มที่ในระยะสั้น

การพัฒนาแบตเตอรี่ Flash Charge

หัวใจสำคัญของ Super E-Platform คือ Flash Charge Battery ซึ่ง BYD พัฒนาขึ้นเพื่อรองรับการชาร์จด้วยพลังงานสูงถึง 1,000 กิโลวัตต์ และให้ระยะทาง 400 กิโลเมตรในเวลาเพียง 5 นาที แบตเตอรี่รุ่นนี้ถือเป็นก้าวกระโดดจากเทคโนโลยี Blade Battery อันโด่งดังของ BYD ที่เปิดตัวในปี 2563 โดยมุ่งเน้นความเร็ว ความปลอดภัย และความทนทาน

Flash Charge Battery พัฒนาต่อจากเคมีแบบ Lithium Iron Phosphate (LFP) ซึ่ง Blade Battery ใช้เป็นพื้นฐาน โดยมีการปรับปรุงโครงสร้างภายในเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการชาร์จเร็ว โดยเฉพาะการถ่ายโอนไอออนในอิเล็กโทรไลต์ที่เร็วขึ้น และการลดความต้านทานของไดอะแฟรม (Diaphragm) ผลลัพธ์คืออัตราการชาร์จสูงถึง 10C ซึ่งหมายความว่าแบตเตอรี่สามารถชาร์จเต็มได้ในเวลาเพียง 1/10 ของชั่วโมง หรือประมาณ 6 นาทีในทางทฤษฎี นับเป็นอัตราที่สูงที่สุดในแบตเตอรี่ที่ผลิตในปริมาณมาก

จุดเด่นของ Flash Charge Battery อยู่ที่ความทนทานต่อการชาร์จเร็วซ้ำๆ ซึ่งมักเป็นจุดอ่อนของแบตเตอรี่ทั่วไป BYD อ้างว่าเทคโนโลยีนี้ลดการเสื่อมสภาพของเซลล์แบตเตอรี่ แม้จะรับพลังงานสูงถึง 1,000 kW อย่างต่อเนื่อง โดยยังคงรักษาความปลอดภัยในระดับสูงตามมาตรฐานของ Blade Battery ที่ทนต่อการเจาะและไม่ลุกไหม้เมื่อเกิดอุบัติเหตุ

เมื่อเปรียบเทียบกับแบตเตอรี่ชนิดอื่น เช่น NMC (Nickel Manganese Cobalt) หรือ NCA (Nickel Cobalt Aluminum) ที่ Tesla ใช้ Flash Charge มีพลังงานหนาแน่นน้อยกว่า (Energy Density) แต่ชดเชยด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า ความทนทานสูง และความสามารถในการชาร์จเร็วที่เหนือกว่า การพัฒนานี้ไม่เพียงสนับสนุน Super E-Platform แต่ยังเป็นรากฐานให้ BYD ขยายไปสู่ยานพาหนะขนาดใหญ่ เช่น รถบัสหรือรถบรรทุกไฟฟ้าในอนาคต

อย่างไรก็ตาม ความทนทานในระยะยาวของ Flash Charge Battery ยังต้องรอการพิสูจน์จากผู้ใช้งานจริง ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดว่าเทคโนโลยีนี้จะปฏิวัติวงการ EV ได้อย่างแท้จริงหรือไม่

ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า

การเปิดตัว Super E-Platform ของ BYD ซึ่งสามารถชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าด้วยพลังงาน 1,000 กิโลวัตต์และเพิ่มระยะทาง 400 กิโลเมตรในเวลาเพียง 5 นาที ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยเทคโนโลยีนี้ไม่เพียงยกระดับมาตรฐานการชาร์จเร็ว แต่ยังส่งผลกระทบต่อทั้งผู้ผลิต คู่แข่ง และผู้บริโภคในมิติต่างๆ

ประการแรก Super E-Platform ได้จุดชนวนการแข่งขันครั้งใหม่ในวงการ EV โดยเฉพาะกับผู้นำตลาดอย่าง Tesla ซึ่งครองตำแหน่งด้วย Supercharger V4 ที่ให้กำลังสูงสุด 500 กิโลวัตต์ ขณะที่ NIO ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนอีกราย มีสถานีชาร์จ 500 kW และระบบเปลี่ยนแบตเตอรี่ (Battery Swapping) การมาของ BYD ที่เหนือกว่าด้วยพลังงาน 1,000 kW อาจบังคับให้คู่แข่งเร่งพัฒนาเทคโนโลยีชาร์จให้ทัดเทียมหรือแซงหน้า ซึ่งอาจนำไปสู่ “สงครามชาร์จเร็ว” ที่ผู้บริโภคจะได้รับประโยชน์จากนวัตกรรมที่เร็วขึ้น

Source : BYD

ประการที่สอง เทคโนโลยีนี้เปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างมีนัยสำคัญ การชาร์จที่เร็วเทียบเท่าการเติมน้ำมันช่วยลดความกังวลเรื่องระยะทาง (Range Anxiety) และทำให้รถยนต์ไฟฟ้ากลายเป็นทางเลือกที่ใช้งานได้จริงสำหรับการเดินทางไกล ส่งผลให้ความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าสูงขึ้น โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่ เช่น อาเซียนหรืออินเดีย ที่โครงสร้างพื้นฐานการชาร์จยังเป็นจุดอ่อน

สุดท้าย Super E-Platform อาจช่วยให้ BYD ก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาด EV ระดับโลก ปัจจุบัน BYD เป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอันดับสองของโลก (รองจาก Tesla) ด้วยยอดขาย 3.02 ล้านคันในปี 2567 หากสามารถขยายสถานีชาร์จ 1,000 kW ออกนอกจีนได้สำเร็จ บริษัทอาจแซงหน้า Tesla ในแง่ส่วนแบ่งตลาดและนวัตกรรม สร้างแรงกดดันให้ผู้ผลิตรายอื่นต้องปรับกลยุทธ์ทั้งด้านเทคโนโลยีและราคา อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จนี้ขึ้นอยู่กับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและการยอมรับจากผู้บริโภคทั่วโลก ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดว่า Super E-Platform จะเปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรม EV ได้มากน้อยเพียงใด

ตารางเปรียบเทียบระหว่างเทคโนโลยีชาร์จรถไฟฟ้าของ BYD Super E-Platform และ Tesla V4 Supercharger โดยอิงจากข้อมูลเชิงเทคนิคที่มีอยู่ ณ วันที่ 18 มีนาคม 2568

หัวข้อBYD Super E-PlatformTesla V4 Supercharger
กำลังไฟสูงสุด (Peak Power)1,000 กิโลวัตต์ (1 MW)500 กิโลวัตต์ (ปัจจุบันสูงสุด 325 kW, วางแผนถึง 500 kW ในอนาคต)
แรงดันไฟฟ้า (Voltage)สูงสุด 1,000 โวลต์สูงสุด 1,000 โวลต์
กระแสไฟฟ้า (Current)สูงสุด 1,000 แอมป์สูงสุด 615 แอมป์ (บางแหล่งระบุถึง 1,000 แอมป์ในอนาคต)
ระยะเวลาชาร์จ5 นาที (เพิ่มระยะทาง 400 กม.)15 นาที (เพิ่มระยะทาง 275-300 กม. ที่ 250 kW)
ระยะทางต่อการชาร์จ400 กิโลเมตร (ประมาณ 249 ไมล์) ใน 5 นาที275-300 กิโลเมตร (171-186 ไมล์) ใน 15 นาที
อัตราการชาร์จ (Charging Rate)2 กิโลเมตรต่อวินาที (ตามการระบุของ BYD)1,400 ไมล์ต่อชั่วโมง (ประมาณ 23.3 ไมล์/นาที หรือ 37.5 กม./นาที ที่ 350 kW ในอนาคต)
ประเภทแบตเตอรี่Flash Charge Battery (พัฒนาจาก LFP)NCA/NMC (Tesla’s Lithium-Ion)
ความเข้ากันได้รองรับเฉพาะรุ่น BYD (เช่น Han L, Tang L) ในระยะแรกรองรับ Tesla และรถยนต์ EV อื่นผ่าน NACS/CCS
ความยาวสายชาร์จไม่ระบุชัดเจน (คาดว่าปรับให้เหมาะสมกับรถ BYD)3 เมตร (ประมาณ 9.8 ฟุต)
โครงข่ายสถานีชาร์จวางแผน 4,000+ สถานีในจีนมากกว่า 7,000 สถานีทั่วโลก (65,800+ หัวชาร์จ)
เทคโนโลยีเพิ่มเติมระบบกักเก็บพลังงานในสถานีชาร์จMagic Dock (CCS Adapter), การชาร์จไร้สัมผัส
เป้าหมายการใช้งานชาร์จเร็วเทียบเท่าเติมน้ำมันรองรับการเดินทางระยะไกลและ EV หลากยี่ห้อ
Source : BYD

บทสรุป

Super E-Platform ของ BYD เป็นนวัตกรรมที่ปฏิวัติวงการรถยนต์ไฟฟ้า ด้วยความสามารถในการชาร์จพลังงาน 1,000 กิโลวัตต์ ที่ให้ระยะทาง 400 กิโลเมตรในเวลาเพียง 5 นาที เทคโนโลยีนี้ไม่เพียงตอบโจทย์ความต้องการด้านความเร็วและความสะดวก แต่ยังเป็นก้าวสำคัญในการผลักดันให้รถยนต์ไฟฟ้ากลายเป็นมาตรฐานใหม่ของการเดินทาง แม้จะมีข้อจำกัดเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน ต้นทุน และความเข้ากันได้ แต่ด้วยวิสัยทัศน์ของ BYD และแผนการขยายสถานีชาร์จทั่วจีน Super E-Platform มีศักยภาพที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้รถยนต์ของมนุษยชาติ และนำไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จในระยะยาวจะขึ้นอยู่กับการพัฒนาเทคโนโลยีควบคู่ไปกับการสนับสนุนจากรัฐบาลและผู้บริโภคทั่วโลก

เหลือจะเชื่อ! การวิเคราะห์ใหม่เผยให้เห็นว่ามากกว่าครึ่งหนึ่งของการปล่อยก๊าซคาร์บอนจากเชื้อเพลิงฟอสซิลทั้งหมดในปี 2023 มาจากบริษัทเพียง 36 บริษัทถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซ รวมถึง Saudi Aramco, Shell, ExxonMobil, Coal India และบริษัทจีนหลายแห่ง มีส่วนเชื่อมโยงกับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่า 20,000 ล้านตัน

InfluenceMap กลุ่มวิจัยด้านสภาพอากาศ เผยแพร่รายงาน Carbon Majors การคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากการเผาไหม้ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซที่ผลิตโดยบริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิลรายใหญ่ 169 แห่งในปี 2023 พบว่า 93 บริษัทปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2022

ในปี 2023 ถ่านหินเป็นแหล่งกำเนิดของการปล่อยมลพิษ 41% ของทั้งหมด ตามมาด้วยน้ำมัน 32% ก๊าซ 23% และซีเมนต์ 4% นอกจากนี้ รายงานยังรวมข้อมูลในอดีตตั้งแต่ปี 1854-2023 ไว้ด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตั้งแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรม การปล่อยก๊าซคาร์บอนจากเชื้อเพลิงฟอสซิลมากกว่า 66% นับตั้งแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรมมาจากบริษัทเพียง 180 แห่งเท่านั้น (ในจำนวนมี 11 บริษัทที่ปิดตัวไปแล้ว) 

“การวิเคราะห์ล่าสุดของฐานข้อมูล Carbon Majors เผยให้เห็นว่า แม้ในตอนนี้บริษัทต่าง ๆ จะมีสัญญาด้านสภาพภูมิอากาศทั่วโลก แต่ผู้ผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิลรายใหญ่ที่สุดของโลกกลับเพิ่มปริมาณการผลิตและการปล่อยมลพิษอย่างมีนัยสำคัญ” เอ็มเม็ตต์ คอนแนร์ นักวิเคราะห์อาวุโสของ InfluenceMap ซึ่งเป็นกลุ่มนักวิจัยที่จัดทำข้อมูลกล่าว

ข้อมูลยังแสดงให้เห็นว่า 80% ของบริษัทปูนซีเมนต์มีการปล่อยมลพิษเพิ่มขึ้นสูงสุดในปี 2023 ส่วนบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ Saudi Aramco ขึ้นแท่นเป็นบริษัทที่ปล่อยมลพิษสูงสุดในปี 2023 ด้วยอัตรา 4.38% ของทั้งโลก หากเปรียบเป็นประเทศ บริษัทแห่งนี้ก็จะปล่อยมลพิษมากเป็นอันดับ 4 ของโลก รองจากจีน สหรัฐ และอินเดีย 

ส่วนอันดับ 2 คือ Coal India ผู้ผลิตถ่านหินที่รัฐบาลเป็นเจ้าของรายใหญ่ที่สุดในโลก ปล่อยมลพิษไป 3.68% ของทั้งโลก ตามมาติด ๆ ด้วย CHN Energy บริษัทเหมืองแร่และพลังงานของรัฐบาลจีน ในอันดับที่ 3 ด้วยสัดส่วน 3.65% ของทั้งโลก ส่วนอันดับ 4 คือ Jinneng Group ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานของรัฐบาลจีนเช่นกัน ปล่อยมลพิษไป 2.92% ของทั้งโลก และอันดับที่ 5 National Iranian Oil Company ผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของรัฐบาลอิหร่าน ในอัตรา 2.75%

จะเห็นได้ว่าทั้ง 5 อันดับเป็นบริษัทของรัฐบาลทั้งสิ้น นับเป็นความย้อนแย้งของรัฐบาลแต่ละประเทศ เพราะ ลายประเทศตั้งใจจะเข้าสู่เน็ตซีโร่ แต่บริษัทที่รัฐเป็นเจ้าของ 16 แห่ง ติดอันดับผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจก 20 อันดับแรกของรายงาน ซึ่งคิดเป็นปริมาณมากกว่าครึ่งหนึ่งของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากเชื้อเพลิงฟอสซิลทั้งหมด 

คริสเตียนน่า ฟิเกเรส สถาปนิกของข้อตกลงปารีสกล่าวว่า ผลการค้นพบของรายงานแสดงให้เห็นว่า “ประเทศต่าง ๆ ชะลอเป้าหมายในข้อตกลงปารีส บริษัทของรัฐกลับเป็นผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก โดยเพิกเฉยต่อความต้องการอันเร่งด่วนของประชาชน”

ตามรายงานระบุว่า บริษัทจีนมีปล่อยก๊าซคาร์บอนมากกว่าบริษัทจากประเทศอื่นอย่างมาก โดยในปี 2023 บริษัทจีนปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากเชื้อเพลิงฟอสซิลและซีเมนต์ถึง 23% ของทั้งหมดโลก รักษาตำแหน่งประเทศที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนมากที่สุดในโลกอีกปี 

รายงาน Carbon Majors จัดทำขึ้นครั้งแรกในปี 2013 ถูกนำมาใช้ในเชิงกลยุทธ์เพื่อให้บริษัทต่าง ๆ รับผิดชอบต่อการมีส่วนสนับสนุนต่อความเสียหายที่เกิดจากสภาพอากาศ และนักวิทยาศาสตร์นำไปใช้ เพื่อวัดบทบาทของบริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ทำให้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศรุนแรงขึ้น

เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของข้อตกลงปารีสในการจำกัดภาวะโลกร้อนให้ไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรม ภายในปี 2030 ทั่วโลกจะต้องลดการปล่อยคาร์บอนลง 45% สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศได้กล่าวไว้แล้วว่าโครงการเชื้อเพลิงฟอสซิลใด ๆ ที่เริ่มหลังปี 2021 จะไม่สอดคล้องกับการลดการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050

เนื่องจากการปล่อยคาร์บอนของบริษัทหลายแห่งยังคงเพิ่มขึ้น คูมี ไนดู ประธานของสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์เชื้อเพลิงฟอสซิลกล่าวว่าขณะนี้ “จำเป็น” ที่รัฐบาลจะต้องก้าวขึ้นมาและใช้สิทธิอำนาจของตนเพื่อยุติการขยายตัวของถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซ

“เราอยู่ในช่วงเวลาสำคัญในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ และความจริงที่น่าตกใจก็คือ บริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ใหญ่ที่สุดในโลกไม่ได้ปล่อยคาร์บอนเพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของผู้คนด้วย” ไนดูกล่าว

ซาวิโอ คาร์วัลโญ หัวหน้าภูมิภาคขององค์กรสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ 350.org กล่าวว่าผลการวิจัยนี้เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ และเป็นสัญญาณเตือนสำหรับรัฐบาล ผู้กำหนดนโยบาย และภาคประชาสังคม

“บริษัทและบุคคลที่มีฐานะร่ำรวยมหาศาลยังคงแสวงหากำไรในระยะสั้นเพื่อตนเองและผู้ถือหุ้น โดยไม่สนใจแก้ไขวิกฤติสภาพอากาศ หรืออยากจะเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงไปสู่พลังงานหมุนเวียน” เขากล่าวอธิบาย

ที่มา: AxiosEuro NewsThe Guardian
Source : กรุงเทพธุรกิจ

กกพ.เปิดให้บริการไฟฟ้าสีเขียว หรือ Utility Green Tariff – UGT ประเภทไฟฟ้าสีเขียวสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าแบบไม่เจาะจงแหล่งที่มาของไฟฟ้า (UGT1) เป็นครั้งแรก โดยกระแสไฟฟ้าที่ได้ ผลิตจากพลังน้ำในเขื่อน 7 แห่งของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย

อัตราค่าบริการ UGT1 : อัตราค่าบริการไฟฟ้ารวม Ft + ค่า Premium (0.0594 บาท/หน่วย)
อายุสัญญาไม่เกิน 1 ปี เปิดจองถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568

Source : Energy News Center

พลังงาน คาดโควตาโครงการโซลาร์ภาคประชาชนรอบใหม่ เปิดรับซื้อเพิ่มปีละประมาณ 400 เมกะวัตต์ แต่ต้องพิจารณาแบบปีต่อปีเพื่อความเหมาะสม ยอมรับขณะนี้ยังเปิดรับซื้อไฟฟ้าไม่ได้ ต้องรอความชัดเจนกรณีตรวจสอบการเปิดรับซื้อไฟฟ้าสีเขียวเฟส 2 ให้เสร็จสิ้นก่อน เพื่อให้การจัดทำแผน PDP ที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทดแทนสมบูรณ์และทราบปริมาณรับซื้อไฟฟ้าโซลาร์ภาคประชาชนอย่างชัดเจน คาดปี 2568 น่าจะเปิดรับซื้อได้   

ผู้สื่อข่าวศูนย์ข่าวพลังงาน (Energy News Center-ENC) รายงานความคืบหน้าโครงการโซลาร์ภาคประชาชนว่า กระทรวงพลังงานมีแนวคิดที่จะขยายการรับซื้อไฟฟ้าในโครงการโซลาร์ภาคประชาชนเพิ่มเติม หลังจากที่ได้หยุดรับซื้อไฟฟ้าไปตั้งแต่ประมาณเดือน ก.ค. 2567 ที่ผ่านมา เนื่องจากในขณะนั้นมีผู้สนใจผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (โซลาร์รูฟท็อป) จำนวนมากเข้าร่วมโครงการโซลาร์ภาคประชาชน จนส่งผลให้ปริมาณไฟฟ้าเต็มโควตาที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) กำหนดรับซื้อทั้งสิ้น 90 เมกะวัตต์

ดังนั้นกระทรวงพลังงานคาดว่าจะเปิดรับซื้อรอบใหม่ได้ไม่น้อยกว่า 400 เมกะวัตต์ต่อปี โดยอาจต้องพิจารณาในลักษณะปีต่อปีตามความเหมาะสมอีกครั้ง ซึ่งนับเป็นปริมาณมากที่สุดเท่าที่เคยเปิดรับซื้อไฟฟ้าโซลาร์ภาคประชาชนมา เนื่องจากมีผู้ต้องการขายไฟฟ้าเข้าระบบจำนวนมากขึ้น และภาครัฐส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าพลังงานทดแทน แต่อย่างไรก็ตามจะต้องพิจารณาในส่วนของระบบสายส่งที่จะรองรับปริมาณไฟฟ้าดังกล่าวก่อนด้วย

สำหรับการเปิดรับซื้อไฟฟ้าโครงการโซลาร์ภาคประชาชนรอบใหม่นั้น คงต้องรอให้การจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าระยะยาวของไทย หรือ แผน PDP ฉบับใหม่เสร็จสิ้นก่อน และอาจต้องเปลี่ยนชื่อจาก แผน PDP 2024 เป็นแผน PDP 2025 แทน เนื่องจากในปี 2567 ที่ผ่านมาไม่สามารถจัดทำแผนฯ ได้สำเร็จ และหากสำเร็จในปี 2568 จะต้องใช้ชื่อแผน PDP 2025 แทน ซึ่งจะครอบคลุมการใช้งานระหว่างปี 2568-2580

โดยขณะนี้แผน PDP ฉบับใหม่ ยังติดปัญหาในเรื่องของพลังงานทดแทน กรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ยื่นเรื่องให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) พิจารณาและมีมติเมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 2567 ให้หยุดการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าสีเขียวเฟส 2 หรือ “โครงการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติม สำหรับกลุ่มที่ไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิงและขยะอุตสาหกรรม ตามแผนการเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด สำหรับปี 2565 – 2573” ปริมาณรวม 3,668.5 เมกะวัตต์ เพื่อดำเนินการตรวจสอบความถูกต้อง ในกรณีการแบ่งรับซื้อไฟฟ้าสีเขียว 2,180 เมกะวัตต์จากทั้งหมด 3,668.5 เมกะวัตต์ ให้เฉพาะกลุ่มผู้ที่เคยผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติแต่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการไฟฟ้าสีเขียวในรอบแรก จะได้รับการพิจารณาก่อนนั้น จะสามารถดำเนินการได้หรือไม่ ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อกฎหมายดังกล่าว

ดังนั้นเมื่อยังไม่มีความชัดเจน จึงทำให้แผน PDP ฉบับใหม่ ไม่สามารถบรรจุปริมาณไฟฟ้าพลังงานทดแทนเข้าไปในแผน PDP ได้อย่างแม่นยำ จึงต้องรอความชัดเจนให้เกิดขึ้นก่อน และในแผน PDP จะต้องพิจารณาพลังงานทดแทนอื่นๆ รวมทั้งการผลิตไฟฟ้าจากโครงการโซลาร์ภาคประชาชนให้สอดรับกันด้วย ดังนั้นขณะนี้กระทรวงพลังงานจึงยังไม่สามารถประกาศการรับซื้อไฟฟ้าโครงการโซลาร์ภาคประชาชนได้จนกว่าแผน PDP ฉบับใหม่จะเสร็จสิ้น เบื้องต้นคาดว่าแผน PDP ฉบับใหม่จะแล้วเสร็จในปี 2568 และเปิดรับซื้อไฟฟ้าโซลาร์ภาคประชาชนได้ต่อไป

สำหรับโครงการโซลาร์ภาคประชาชนนั้น ในช่วงเริ่มต้นโครงการฯ ปี 2562-2565 ที่เปิดรับซื้อไฟฟ้าแบบปีต่อปี พบว่ามีผู้เข้าร่วมโครงการไม่ถึงเป้าหมายแม้แต่ปีเดียว โดยเปิดรับซื้อไฟฟ้ารวม 260 เมกะวัตต์ แต่มีผู้เข้าร่วมโครงการฯ ผลิตไฟฟ้าเข้าระบบเพียง 9 เมกะวัตต์  ซึ่งแบ่งเป็นดังนี้

ในปี 2562 -2565 เปิดรับซื้อไฟฟ้าปีละ 100 เมกะวัตต์ แต่มีผู้สนใจเข้าร่วมโครงการฯ ผลิตไฟฟ้าเข้าระบบเพียง 3-4 เมกะวัตต์เท่านั้น เนื่องจากราคารับซื้อไฟฟ้าที่ 1.68 บาทต่อหน่วย ไม่จูงใจ

ต่อมาในปี 2564 จึงปรับลดเป้าหมายรับซื้อไฟฟ้าเหลือ 50 เมกะวัตต์ และปรับเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าเป็น 2.20 บาทต่อหน่วย แต่ก็มีผู้เข้าร่วมโครงการฯ เพื่อขายไฟฟ้าเพียง 3 เมกะวัตต์ เท่านั้น และในปี 2565 ปรับลดเป้าหมายการรับซื้อไฟฟ้าลงอีกครั้งเหลือ 10 เมกะวัตต์ ในราคาเดิมที่ 2.20 บาทต่อหน่วย ก็มีผู้เข้าร่วมโครงการฯ เพียง 1.37 เมกะวัตต์ 

จากนั้นในเดือน มี.ค. 2566  กกพ. ปรับหลักเกณฑ์เป็นการรับซื้อระยะยาว 10 ปี (2564-2573) รวม 90 เมกะวัตต์ ซึ่งหลักเกณฑ์ใหม่ดังกล่าวก็เริ่มใช้ในปี 2566 นี้ และพบว่าประชาชนให้ความสนใจเข้าร่วมมากขึ้น มีการผลิตไฟฟ้าเข้าระบบรวมกว่า 10 เมกะวัตต์ จากเป้าหมาย 90 เมกะวัตต์ ใน 10 ปี และยังมีกลุ่มผู้ร่วมโครงการฯ ที่อยู่ระหว่างดำเนินการ (รอ COD) จำนวน 2,795 ราย กำลังการผลิตติดตั้ง 15.501 เมกะวัตต์

และล่าสุดปี 2567 ณ เดือน มิ.ย. 2567 มีผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการคิดเป็นปริมาณ 100 เมกะวัตต์ แต่ผ่านการพิจารณาคุณสมบัติแล้ว 89.8 เมกะวัตต์  และสุดท้ายก็รับซื้อเต็มโควตาไปแล้ว และต้องหยุดรับซื้อไฟฟ้าไปจนกว่าจะมีการเพิ่มโควตาใหม่อีกครั้ง 

Source : Energy News Center