โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) กำลังเป็นทางเลือกใหม่ในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ช่วยสนับสนุนการบรรลุเป้าหมาย Net Zero GHG Emission และ Carbon Neutrality ภายในปี 2050 โดยมีความปลอดภัยสูง และสามารถผลิตไฟฟ้าได้ต่อเนื่องโดยไม่ปล่อยคาร์บอน

โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ขนาดเล็ก หรือ SMR (Small Modular Reactor) กำลังถูกจับตามองว่าจะเป็นตัวเปลี่ยนเกมของการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด เพราะสามารถผลิตไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่อง และไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งจะมีส่วนช่วยสนับสนุนให้ประเทศมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emission) ในปี ค.ศ.2065

SMR โรงไฟฟ้าสะอาด ตอบโจทย์ Net Zero

ทั้งนี้ ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) คาดว่ากำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์ของโลกจะขยายตัวถึง 2.5 เท่า ภายในปี ค.ศ. 2050 และจะเป็นการผลิตไฟฟ้าจาก SMR มากถึง 140 กิกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าเป็นผลมาจากความต้องการไฟฟ้าสีเขียว เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้นจากยานยนต์ไฟฟ้า การสร้างศูนย์ข้อมูล (Data Center) และเทคโนโลยี AI

ทั่วโลกผุดโรงไฟฟ้า SMR ตอบโจทย์ Net Zero

โรงไฟฟ้า SMR นับเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดทางเลือกใหม่ที่ ได้รับการบรรจุไว้ในแผนพัฒนาของหลายประเทศ อาทิ ประเทศนอร์เวย์วางแผนก่อสร้างโรงไฟฟ้า SMR เพื่อผลิตไฟฟ้าและความร้อนให้กับนิคมอุตสาหกรรมหรือธุรกิจ Data Center ประเทศแคนาดาตั้งเป้าก่อสร้างโรงไฟฟ้า SMR แห่งแรกภายในปี 2577 และเกาหลีใต้ได้ประกาศร่างแผนพัฒนาพลังงานแห่งชาติชุดใหม่ โดยมีแผนก่อสร้างโรงไฟฟ้า SMR ให้พร้อมใช้งานด้วย

SMR โรงไฟฟ้าสะอาด ตอบโจทย์ Net Zero

ปัจจุบันมีโรงไฟฟ้า SMR ที่เปิดดำเนินการแล้วจำนวน 2 แห่ง คือ โรงไฟฟ้า Akademik Lomonosov เป็นโรงไฟฟ้า SMR แบบลอยน้ำ ขนาด 70 เมกะวัตต์ (MWe) ตั้งอยู่ที่เมืองชูคอตกา ทางตอนเหนือของประเทศรัสเซีย สามารถผลิตไฟฟ้าให้กับประชาชนกว่า 1 แสนคน และโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ HTR-PM ของสาธารณรัฐประชาชนจีน ขนาด 210 MWe เริ่มเดินเครื่องเมื่อปี 2565 สามารถผลิตไฟฟ้าให้กับประชาชนกว่า 3 แสนครัวเรือน นอกจากนี้จีนยังอยู่ระหว่างก่อสร้างโรงไฟฟ้า Hainan Changjiang SMR ขนาด 125 MWe คาดว่าจะเริ่มจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ภายในปี 2569

โรงไฟฟ้าไร้คาร์บอนแบบมั่นคงและแข่งขันได้

สำหรับโรงไฟฟ้า SMR เป็นเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์รูปแบบใหม่ มีกำลังการผลิตไฟฟ้าไม่เกิน 300 MWe โดยออกแบบเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ฟิชชันให้มีขนาดเล็กลงบรรจุไว้ในโมดูลสำเร็จรูปที่ประกอบเบ็ดเสร็จจากโรงงานผู้ผลิต และสามารถขนย้ายโมดูลโดยรถบรรทุกหรือรถไฟเพื่อนำไปติดตั้งในพื้นที่โรงไฟฟ้าได้อย่างสะดวก จึงช่วยลดระยะเวลาก่อสร้างโรงไฟฟ้าเหลือเพียงประมาณ 3 – 4 ปี และใช้พื้นที่การก่อสร้างโรงไฟฟ้าน้อยกว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบทั่วไปถึง 10 เท่า

อีกทั้ง แร่ยูเรเนียมยังเป็นเชื้อเพลิงซึ่งมีอยู่จำนวนมาก มีราคาต่ำใช้ในปริมาณน้อย ไม่มีการผูกขาดเหมือนน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ จึงไม่มีความผันผวนของราคาเชื้อเพลิงทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าสามารถแข่งขันได้ ดังนั้น โรงไฟฟ้า SMR จึงเป็นโรงไฟฟ้าฐาน (Base Load) สามารถเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง และสามารถใช้เดินเครื่องร่วมกับพลังงานหมุนเวียนได้ โดยไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

SMR โรงไฟฟ้าสะอาด ตอบโจทย์ Net Zero

SMR โรงไฟฟ้าสะอาด ตอบโจทย์ Net Zero

ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยขั้นสูง

เทคโนโลยีโรงไฟฟ้า SMR ได้รับการออกแบบให้มีระบบป้องกันความปลอดภัยมากขึ้น สามารถหยุดการทำงานได้เองเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน มีระบบหล่อเย็นภายในตัว สามารถระบายความร้อนได้อัตโนมัติโดยไม่ต้องใช้ไฟฟ้าและเจ้าหน้าที่ควบคุมเช่นในอดีต เพราะระบบระบายความร้อนใช้หลักการธรรมชาติ เช่น การถ่ายเทความร้อน การปล่อยน้ำไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ ทำให้เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินโรงไฟฟ้าจะไม่เกิดความเสียหายแม้ไม่มีกระแสไฟฟ้าในระบบเลยก็ตาม แตกต่างจากกรณีโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ฟุกุชิมะ-ไดอิจิ ประเทศญี่ปุ่น ที่ระบบหล่อเย็นต้องใช้กระแสไฟฟ้า นอกจากนี้บางเทคโนโลยียังออกแบบให้เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์อยู่ใต้ดินเพื่อช่วยลดความเสี่ยงเมื่อเกิดภัยธรรมชาติรุนแรง เช่น สึนามิ พายุ แผ่นดินไหว อีกทั้งการลดความซับซ้อนของอุปกรณ์ ทำให้การควบคุมตรวจสอบทำได้ง่ายขึ้น โอกาสเกิดอุบัติเหตุและรังสีรั่วไหลจึงน้อยลงตามไปด้วย

นอกจากนี้ ขนาดของโรงไฟฟ้าที่เล็กลงและการออกแบบให้มีความปลอดภัยมากขึ้น จึงทำให้พื้นที่สำหรับการวางแผนรองรับเหตุฉุกเฉินมีรัศมีที่ลดลงด้วย โดยโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดใหญ่มีรัศมีถึง 16 กิโลเมตร ขณะที่โรงไฟฟ้า SMR มีรัศมีน้อยกว่า 1 กิโลเมตร เท่านั้น

SMR โรงไฟฟ้าสะอาด ตอบโจทย์ Net Zero

โรงไฟฟ้า SMR ทางเลือกความมั่นคงพลังงานไฟฟ้าไทย

สำหรับประเทศไทยได้เตรียมการจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานพลังงานนิวเคลียร์และประเมินความพร้อมโครงสร้างพื้นฐาน 19 ด้าน มาอย่างต่อเนื่อง โดยผู้เชี่ยวชาญจาก IAEA ของสหประชาชาติ ได้ประเมินความพร้อมของประเทศไทยพบว่า ประเทศไทยมีศักยภาพในการตัดสินใจสำหรับการดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์

ขณะที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ติดตามศึกษาเทคโนโลยีนิวเคลียร์และ SMR จากหลายประเทศทั่วโลก อาทิ สหรัฐอเมริกา รัสเซีย เกาหลีใต้ และสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อศึกษาเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับประเทศไทย ควบคู่กับการพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับการพัฒนาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มานานกว่า 17 ปี

ด้านกลุ่มปฏิรูปพลังงานเพื่อความยั่งยืน หรือ ERS ออกแถลงการณ์สนับสนุนให้มีการสร้างโรงไฟฟ้า SMR ตามที่ระบุไว้ในร่างแผน PDP2024 โดยเสนอแนะเพิ่มเติมให้กำหนดแผนการดำเนินงานที่ชัดเจนเพื่อผลักดันโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ SMR ให้เกิดขึ้นได้จริง

SMR โรงไฟฟ้าสะอาด ตอบโจทย์ Net Zero

Source : ฐานเศรษฐกิจ

เปิดธุรกิจรักษ์โลกปี’68 ธุรกิจรถยนต์อีวี-ให้บริการสถานีชาร์จไฟฟ้า และติดตั้ง, ธุรกิจกรีน/ปล่อยคาร์บอนต่ำ ธุรกิจพลังงานทดแทน โซลาร์เซลล์ มาแรงแซงทางโค้ง

เปิดปีใหม่ ปี2568 ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลายคนเริ่มกลับเข้าไปทำงานในเมืองใหญ่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะธุรกิจ ปากท้องต้องเดินต่อไป วันนี้ #SPRiNG จะพาไปส่องธุรกิจดาวรุ่งปี2568 โดยเฉพาะธุรกิจรักษ์โลกปี2568 มีธุรกิจไหนบ้างมีแนวโน้มทิศทางขยายตัวได้ดี โดย “ธนวรรธน์ พลวิชัย” อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยการสำรวจ 10 ธุรกิจเด่นในปี 2568 ว่ามีธุรกิจดาวรุ่งดังนี้

ทั้งนี้ 10 ธุรกิจด่าวรุ่ง ปี 2568

  • ธุรกิจการแพทย์และความงาม ธุรกิจ Cloud Servicen ธุรกิจบริการ Cyber Security
  • Social Media และ Online Entertainment ธุรกิจทำคอนเทนต์ ธุรกิจ YouTube รีวิวสินค้า -Influencer
  • ธุรกิจ e-Commerce (ซื้อขายผ่านอิเล็กทรอนิกส์) ธุรกิจ Soft Power ไทย ซีรีย์ภาพยนตร์ ธุรกิจโฆษณา สื่อออนไลน์
  • คอนเสิร์ต มหกรรมจัดแสดงสินค้า ธุรกิจ Event เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • ธุรกิจความเชื่อ (สายมู หมอดู ฮวงจุ้ย) ธุรกิจเงินด่วน โรงรับจำนำ ประกันภัยชีวิต
  • ธุรกิจการให้บริการผ่านแพลตฟอร์ม เช่น แม่บ้านรายวัน การซ่อมแซมอุปกรณ์  ผับ บาร์ คาราโอเกะ
  • คลินิกการภาพ ธุรกิจให้บริการสถานีชาร์จรถไฟฟ้า ( EV Charging Station) ติดตั้ง ธุรกิจรถยนต์ EV ธุรกิจสัตว์เลี้ยง ขายอาหาร อุปกรณ์และแฟชั่น ดูแลสัตว์
  • ธุรกิจด้านการเงิน ธนาคาร Fintech การชำระเงินผ่านระบบเทคโนโลยี ตู้ยอดเหรียญเครื่องดื่ม อาหาร ธุรกิจเครื่องสะดวกซัก ธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม ทัวร์
  • ธุรกิจโทรคมนาคมสื่อสาร เช่น ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต สัญญาณสื่อสาร ธุรกิจโลจิสติกส์ Delivery คลังสินค้า ทนายความ ตรวจสอบบัญชี Street Food ตลาดนัดกลางคืน
  • ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (ที่ไม่มีแอลกอฮอล์) ธุรกิจพลังงานทดแทน เช่น โซลาร์เซลล์ โรงพยาบาล คลิกนิก ธุรกิจที่เกี่ยวกับสัตว์ ก็มาแรง

สอดคล้องกับ “อรมน ทรัพย์ทวีธรรม” อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้วิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจ ทั้งการจดทะเบียน กำไร ขาดทุน เลิกกิจการ แนวโน้มธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ กระแสความนิยม นโยบายภาครัฐ เพื่อจัดอันดับธุรกิจดาวรุ่งใหม่ ซึ่ง 5 ธุรกิจดาวรุ่ง มีดังนี้

1.ธุรกิจกีฬาและการออกกำลังกาย เช่น ธุรกิจจำหน่ายเสื้อผ้า อุปกรณ์กีฬา สถานฝึกสอนกีฬา

2.ธุรกิจท่องเที่ยวและความบันเทิง เช่น โรงแรมที่พัก ร้านขายของที่ระลึก ธุรกิจความบันเทิงและการแสดงโชว์

3.กลุ่มธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์

4.ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ ได้แก่ ธุรกิจแพลตฟอร์ม คลังสินค้าและขนส่งสินค้า ธุรกิจกล่องบรรจุพัสดุ

และ 5.ธุรกิจผลิตภาพยนตร์

ทั้งหมดคือ ธุรกิจรักษ์โลกปี2568 ที่มาแรง มีทั้ง ธุรกิจรถยนต์อีวี -สถานีชาร์จไฟฟ้า-ติดตั้ง ธุรกิจกรีน-ปล่อยคาร์บอนต่ำ ที่ตามมาติดๆ รวมถึงธุรกิจพลังงานทดแทน เช่น โซลาร์เซลล์ ก็มาแรงเช่นกัน ทั้งนี้เพื่อประกอบการตัดสินใจให้นักธุรกิจรายใหม่ที่ต้องการลงทุนธุรกิจใหม่ๆเพิ่ม หรือเจ้าของธุรกิจเดิมต้องการขยายธุรกิจใหม่

Source : Spring News

ท่ามกลางความคึกคักของกรุงเทพฯ มีสถานที่สีเขียวที่เรียกว่า “คุ้งบางกะเจ้า” อันเป็นที่รู้จักในชื่อ “ปอดของกรุงเทพฯ” โอเอซิสในกรุงเทพฯแห่งนี้เป็นสวรรค์สำหรับคนที่ต้องการพักผ่อน หลีกหนีจากความวุ่นวายของเมือง อย่างไรก็ตาม การขยายตัวของเมืองเริ่มคุกคามความสงบและเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของที่นี่

ด้วยเหตุนี้ โครงการ “OUR Khung BangKachao” จึงได้ถือกำเนิดขึ้น ท่ามกลางผู้สนับสนุนมากกว่า 34 องค์กร หนึ่งในนั้นคือ “โครงการเซ็นทรัล ทำ” (Central Tham) ของกลุ่มเซ็นทรัล

OUR Khung BangKachao ได้จัดตั้งคณะทำงาน 7 คณะทำงาน เพื่อตอบสนองความต้องการของชุมชน ประกอบด้วย 1. ด้านการเพิ่มพื้นที่สีเขียว 2. ด้านการพัฒนาเยาวชน การศึกษา และวัฒนธรรม 3. ด้านการจัดการน้ำและการกัดเซาะริมตลิ่ง 4. ด้านการจัดการขยะ 5. ด้านการส่งเสริมอาชีพ 6. ด้านการท่องเที่ยว และ 7. ด้านอำนวยการและสื่อสาร

หัวใจสำคัญของการดำเนินโครงการ OUR Khung BangKachao คือ โมเดล Social Collaboration with Collective Impact ที่เชื่อมโยงกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน เพื่อตอบสนองความต้องการของชุมชนที่แท้จริง (Community Centric Development) บนการทำงานที่มีเป้าหมายร่วม (Shared Goal) เพื่อสร้างผลลัพธ์ ร่วมกัน (Collective Impact)

กลุ่มเซ็นทรัลได้ก้าวเข้าสู่การมีบทบาทสำคัญในโครงการนี้ ภายใต้การนำของ “พิชัย จิราธิวัฒน์” กรรมการบริหารกลุ่มเซ็นทรัล ในฐานะประธานคณะทำงานด้านการส่งเสริมอาชีพ ของ OUR Khung BangKachao โดยได้เริ่มต้นยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชนท้องถิ่นพร้อมกับการดูแลสิ่งแวดล้อม สะท้อนการทำงาน 3 ด้าน ได้แก่ ด้าน Community – การพัฒนาศักยภาพและส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน, Nature – การอนุรักษ์ระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ และ Circularity – ขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน

กลุ่มเซ็นทรัล ปกป้องคุ้งบางกะเจ้า โอเอซิสในกรุง ก่อนการขยายตัวเมืองคุกคาม

ศักยภาพ-เศรษฐกิจ

“พิชัย” กล่าวว่า ‘เซ็นทรัล ทำ’ ได้เริ่มต้นด้วยการตอบสนองความต้องการของชุมชนท้องถิ่น ผ่านการสนับสนุนการขายผลผลิตท้องถิ่น เช่น มะม่วงน้ำดอกไม้ของบางกะเจ้า ซึ่งสามารถพบได้ใน Tops และจริงใจ ฟาร์มเมอร์ มาร์เก็ต กลิ่นหอมหวานของน้ำตาลจากบางกะเจ้ายังได้กลายเป็นส่วนผสมสำคัญในเครื่องดื่ม “หอมนวล” ที่ร้าน Good Goods ด้วย ซึ่งเป็นการพัฒนาศักยภาพและส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน

นอกจากนั้น ยังให้ความรู้ทางการเงิน ด้วยการจัดอบรมเกี่ยวกับการจัดการรายรับ-รายจ่ายให้กับชุมชนบางกระสอบ และเปิดโอกาสให้ช่างฝีมือและผู้ผลิตในท้องถิ่นสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์ในงานสำคัญๆ เช่น งาน Royal Gift ที่เซ็นทรัลเวิลด์ และงานประชุมระดับชาติ เช่น งาน Asian Summit และ APEC

กลุ่มเซ็นทรัล ปกป้องคุ้งบางกะเจ้า โอเอซิสในกรุง ก่อนการขยายตัวเมืองคุกคาม

สิ่งแวดล้อม-ความหลากหลายทางชีวภาพ

อย่างไรก็ตาม ความมุ่งมั่นของ ‘เซ็นทรัล ทำ’ ไม่ได้จำกัดแค่การเสริมสร้างเศรษฐกิจ เพราะได้ให้ความสนใจกับสภาพแวดล้อม โดยเข้าใจว่าชุมชนต้องการระบบนิเวศที่สมบูรณ์

“พวกเราได้สนับสนุนการปลูกป่าเพิ่มพื้นที่สีเขียวจำนวน 62 ไร่ ใน ตำบลบางยอ และตำบลบางน้ำผึ้ง จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งไม่เพียงเพิ่มพื้นที่สีเขียวแต่ยังช่วยปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพที่เรียกคุ้งบางกะเจ้าว่าบ้าน” พิชัย กล่าว

กลุ่มเซ็นทรัล ปกป้องคุ้งบางกะเจ้า โอเอซิสในกรุง ก่อนการขยายตัวเมืองคุกคาม

ขับเคลื่อนทรัพยากรหมุนเวียน

ในความมุ่งมั่นเพื่อความยั่งยืน ‘เซ็นทรัล ทำ’ ยังได้ยึดแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยได้รวบรวมขวดน้ำพลาสติกจากธุรกิจในกลุ่มเซ็นทรัล ร่วมกับวัดจากแดงเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ Upcycling เช่น กระเป๋าผ้าและผ้าห่ม ซึ่งไม่เพียงจำหน่ายที่ร้าน Good Goods เท่านั้น แต่ยังถูกมอบให้กับชุมชนที่ห่างไกลภายใต้โครงการ “สานใจ สร้างไออุ่น” ทำให้เกิดรายได้ให้กับชุมชนวัดจากแดง

การเดินทางของพลาสติกไม่ได้จบเพียงแค่นั้น ‘เซ็นทรัล ทำ’ ได้สนับสนุนการสร้างสินค้าในชีวิตประจำวัน เช่น ไม้แขวนเสื้อและพวงกุญแจจากฝาขวดพลาสติก เพื่อให้เกิดรายได้และโอกาสในการทำงานให้กับชุมชนท้องถิ่น

กลุ่มเซ็นทรัล ปกป้องคุ้งบางกะเจ้า โอเอซิสในกรุง ก่อนการขยายตัวเมืองคุกคาม

เสน่ห์ของคุ้งบางกะเจ้า

คุ้งบางกะเจ้าเป็นโอเอซิสที่เต็มไปด้วยความเขียวขจีในท่ามกลางเมืองที่คึกคัก นี่คือสิ่งที่ทำให้ที่นี่มีความพิเศษ

  • ความงามตามธรรมชาติ : คุ้งบางกะเจ้าเป็นเกาะเทียมที่เกิดจากการโค้งของแม่น้ำเจ้าพระยา ที่นี่มีป่าโกงกางหนาแน่นและความเขียวขจีมากมาย ทำให้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจจากสิ่งแวดล้อมในเมือง
  • คุณภาพอากาศที่ดี : ต้นไม้และพืชพรรณบนเกาะช่วยกรองและทำให้อากาศสะอาดขึ้น ทำให้เป็นพื้นที่สีเขียวที่สำคัญที่ช่วยปรับปรุงคุณภาพอากาศในกรุงเทพฯ
  • กิจกรรมนันทนาการ : ผู้เข้าชมสามารถเพลิดเพลินกับกิจกรรมกลางแจ้งต่างๆ เช่น การขี่จักรยานผ่านป่าโกงกาง สำรวจตลาดน้ำบางกระเจ้า และเยี่ยมชมสวนสาธารณะศรีนครเขื่อนขันธ์
  • วัฒนธรรม : พื้นที่นี้เป็นที่ตั้งของวัดพุทธอายุ 250 ปีและหมู่บ้านไทยดั้งเดิม ให้โอกาสให้เห็นวัฒนธรรมและมรดกท้องถิ่น
  • โครงการเชิงนิเวศน์ : คุ้งบางกะเจ้าเน้นการปฏิบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนและรีสอร์ตเชิงนิเวศน์เช่น บ้านต้นไม้กรุงเทพฯ

ส่งเสริมอาชีพที่ยั่งยืน

การสนับสนุนชุมชนคุ้งบางกะเจ้าในด้านการพัฒนาอาชีพเป็นสิ่งสำคัญด้วยหลายเหตุผลดังนี้

  • การเสริมสร้างอำนาจทางเศรษฐกิจ : การให้การสนับสนุนด้านอาชีพช่วยให้สมาชิกชุมชนมีทักษะและมีงานทำ ซึ่งสามารถปรับปรุงสถานะทางเศรษฐกิจของพวกเขาได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งนำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจในพื้นที่โดยรวม
  • การพัฒนาที่ยั่งยืน : ด้วยการส่งเสริมอาชีพที่ยั่งยืน เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เกษตรอินทรีย์ และงานฝีมือ สมาชิกชุมชนสามารถได้รับประโยชน์ทางเศรษฐกิจโดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม อาชีพที่ยั่งยืนทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจไม่เกิดขึ้นโดยทำลายสิ่งแวดล้อม
  • การลดการย้ายถิ่นฐาน : โอกาสทางอาชีพภายในชุมชนคุ้งบางกะเจ้าสามารถลดความจำเป็นในการย้ายถิ่นฐานไปทำงานที่อื่น ซึ่งช่วยรักษาประชากรท้องถิ่นและทำให้โครงสร้างทางวัฒนธรรมและสังคมของชุมชนคงอยู่
  • การเพิ่มทักษะในท้องถิ่น : การให้การฝึกอบรม ช่วยให้สมาชิกชุมชนพัฒนาทักษะใหม่หรือเพิ่มพูนทักษะที่มีอยู่ ซึ่งไม่เพียงเพิ่มโอกาสในการจ้างงาน แต่ยังสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้และการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีความสำคัญในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
  • ความเป็นอยู่ที่ดีของสังคม : การมีงานที่มั่นคงและเติมเต็มสามารถปรับปรุงความเป็นอยู่ที่ดีโดยรวมของบุคคลและครอบครัว ช่วยส่งเสริมความรู้สึกในชีวิต ลดความเครียด และส่งเสริมบรรยากาศที่ดีในชุมชน
  • การอนุรักษ์วัฒนธรรม : การสนับสนุนอาชีพที่เกี่ยวข้องกับประเพณีและงานฝีมือท้องถิ่นช่วยอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมของคุ้งบางกะเจ้า ไม่เพียงแต่ทำให้ประเพณียังคงมีชีวิตอยู่ แต่ยังดึงดูดนักท่องเที่ยว ซึ่งสามารถเพิ่มรายได้ทางเศรษฐกิจท้องถิ่น
กลุ่มเซ็นทรัล ปกป้องคุ้งบางกะเจ้า โอเอซิสในกรุง ก่อนการขยายตัวเมืองคุกคาม

การมีส่วนร่วมของ ‘เซ็นทรัล ทำ’ ในโครงการ “Our Khung Bang Kachao” เป็นอีกก้าวหนึ่งที่สำคัญในการส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน ความตั้งใจในการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีในพื้นที่ ไม่เพียงช่วยเพิ่มรายได้ให้กับชุมชน แต่ยังรักษาเอกลักษณ์และความสมดุลของคุ้งบางกะเจ้าให้คงอยู่สำหรับคนรุ่นต่อไป

Source : กรุงเทพธุรกิจ

บอร์ด คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เตรียมเปิดประชุมพิจารณามติ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่สั่งให้ชะลอลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในโครงการไฟฟ้าสีเขียวเฟส 2 ทั้งหมด 3,668.5 เมกะวัตต์ ออกไปก่อน เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง ขณะที่ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เตรียมแจ้ง 3 การไฟฟ้าชะลอการลงนามสัญญาไปพร้อมกัน เพื่อให้เป็นไปตามมติ กพช.    

ผู้สื่อข่าวศูนย์ข่าวพลังงาน (Energy News Center – ENC) รายงานว่าจากกรณีที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 2567 ได้มีมติให้ชะลอโครงการไฟฟ้าสีเขียว เฟส 2 หรือ โครงการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติม สำหรับกลุ่มที่ไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิงและขยะอุตสาหกรรม ตามแผนการเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด สำหรับปี 2565 – 2573 ปริมาณรวม 3,668.5 เมกะวัตต์ โดยเป็นการชะลอการลงนามสัญญากับ 3 การไฟฟ้าไว้ก่อน เพื่อดำเนินการตรวจสอบความถูกต้อง

พร้อมทั้งมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ ไปหารือกับ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อพิจารณาด้านข้อกฎหมายและอำนาจหน้าที่ของ กพช. รวมทั้งให้นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน กพช. พิจารณาแต่งตั้ง คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าว และให้ฝ่ายเลขานุการฯ แจ้งให้ กกพ. และ 3 การไฟฟ้า ทราบมติ กพช. ต่อไป

ล่าสุดแหล่งข่าวคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ระบุว่า จะมีการนำมติ กพช. ที่สั่งการให้ชะลอการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ระหว่าง 3 การไฟฟ้า กับผู้ผ่านเกณฑ์เข้าร่วมโครงการไฟฟ้าสีเขียวเฟส 2 เพื่อนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) กกพ. พิจารณาก่อน และในขณะเดียวกันทางสำนักงานโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ก็จะแจ้งให้ 3 การไฟฟ้าชะลอการลงนามดังกล่าวออกไปก่อนเช่นกัน ซึ่งคาดว่าในเดือน ม.ค. 2568 ทางบอร์ด กกพ. จะมีมติสั่งการออกมาเพื่อแจ้งให้ผู้ที่เกี่ยวข้องรับทราบต่อไป

อย่างไรก็ตามก่อนที่มติ กพช. (เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 2567) ที่สั่งให้ชะลอลงนามสัญญาดังกล่าวจะออกมานั้น ทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. 2567 ได้ออกประกาศรายชื่อผู้ยื่นขอผลิตไฟฟ้าเพิ่มเติมที่ได้รับการคัดเลือกตามระเบียบ กกพ. ว่าด้วย “การจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนรูปแบบ Feed-in Tariff (FIT) ปี 2565-2573 สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง พ.ศ. 2565 (เพิ่มเติม) พ.ศ. 2567” โดยมีผู้ผ่านเข้าร่วมโครงการจำนวน 72 ราย

โดยแบ่งเป็น 1. ผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม 8 ราย รวมกำลังผลิต 565.40 เมกะวัตต์  2.ผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน จำนวน 64 ราย รวม 1,580 เมกะวัตต์  หรือรวมปริมาณทั้งสิ้น 2,145.40 เมกะวัตต์

ทั้งนี้การประกาศดังกล่าวของสำนักงาน กกพ. เป็นไปตามระเบียบ กกพ. ที่กำหนดให้ต้องประกาศรายชื่อผู้ผลิตไฟฟ้าที่ได้รับการคัดเลือกภายใน 30 วัน ถัดจากวันที่การไฟฟ้าประกาศรายชื่อผู้ยื่นขอผลิตไฟฟ้าเพิ่มเติมที่ประสงค์ขอเข้าร่วมโครงการ แม้ในช่วงเดือน พ.ย. 2567 ทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานจะแถลงข่าวว่าให้ชะลอโครงการดังกล่าวออกไปก่อน เพื่อขอตรวจสอบความถูกต้องในการเปิดรับซื้อไฟฟ้าดังกล่าวก็ตาม แต่เนื่องจากในช่วงนั้นยังไม่มีมติ กพช. ออกมาอย่างเป็นทางการ ทำให้ กกพ. ไม่สามารถชะลอโครงการดังกล่าวได้ จนล่าสุดมีมติ กพช. ออกมาแล้ว และจะต้องรอให้ บอร์ด กกพ. พิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป

ทั้งนี้ย้อนไปในวันที่ 25 พ.ย. 2567 นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ออกมาแถลงข่าวการให้ชะลอการรับซื้อไฟฟ้าสีเขียว รอบ 2 ว่า กำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบความถูกต้องด้านกฎหมายในการเปิดรับซื้อไฟฟ้าสีเขียว รอบ 2 จำนวน 2,180 เมกะวัตต์ ว่าจะดำเนินการได้หรือไม่ เนื่องจากตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่ผ่านมา ได้เปิดรับซื้อไฟฟ้าสีเขียวรอบแรกประมาณ 5,000 เมกะวัตต์ ไปแล้ว แต่ต่อมาพบว่ายังมีผู้ผลิตที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการอีกหลายราย จึงทำการเปิดรับซื้อรอบ 2 ในครั้งนี้ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนที่ตัวเองจะเข้ามาบริหารงาน 

ดังนั้นต้องดำเนินการตรวจสอบทางกฎหมายก่อนว่า การเปิดรับซื้อไฟฟ้าสีเขียว 2,180 เมกะวัตต์ ที่กำหนดให้เฉพาะกลุ่มผู้ที่ผ่านคุณสมบัติแต่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการไฟฟ้าสีเขียวในรอบแรก จะได้รับการพิจารณาก่อนนั้น จะสามารถดำเนินการได้หรือไม่ ซึ่งขณะนี้ได้หารือกับทางกฤษฎีกาแล้ว และรอรวบรวมรายละเอียดข้อมูลข้อเท็จจริงตั้งแต่ปลายปี 2565-2566 จากเลขา กพช. ก่อน

ทั้งนี้หากพบว่า ไม่ขัดต่อกฎหมายและดำเนินการได้ ก็จะเดินหน้าต่อไป แต่หากพบว่าทำไม่ได้ก็ต้องแก้ไขมติ กพช. ให้ถูกต้อง

สำหรับการเปิดรับซื้อไฟฟ้าสีเขียว รอบ 2 จำนวน 3,668.5 เมกะวัตต์ ได้แบ่งเป็น รอบรับซื้อไฟฟ้า 2,180 เมกะวัตต์ สำหรับผู้ที่ผ่านคุณสมบัติการรับซื้อไฟฟ้าสีเขียว แต่ไม่ผ่านเข้าร่วมโครงการในรอบแรก ซึ่งจะได้รับการพิจารณาก่อน ในส่วนนี้กระทรวงพลังงานให้ชะลอไว้ก่อน เพื่อทำการตรวจสอบให้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยยืนยันว่ายังสามารถชะลอการรับซื้อได้ เนื่องจากกระบวนการยังไปไม่ถึงการเซ็นสัญญารับซื้อไฟฟ้า (PPA) แต่อย่างใด

ส่วนรอบรับซื้อไฟฟ้าที่เหลืออีก 1,488.5 เมกะวัตต์ ที่จะเปิดรับซื้อทั่วไปนั้น ไม่ได้มีปัญหาอะไร (ขณะนี้ยังไม่ได้ประกาศเปิดรับซื้อไฟฟ้าในส่วนนี้)

Source : Energy News Center

ใกล้สิ้นปี2567 เข้ามาทุกที วันนี้จะพาเปิดเทรนด์พลังงานไทย ปี2568 พลังงานแสงอาทิตย์-ไฮโดรเจร นิวเคลียร์เล็ก CCS มาแรง รับเทรนด์โลกที่เปลี่ยนไป

ปัจจุบันโลกย่างก้าวสู่ยุคพลังงานสะอาดมากขึ้น เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ Climate change ประเทศไทยของเราก็เช่นกันทั้งนโยบายภาครัฐ และภาคเอกชน ธุรกิจ ต่างหันมาใช้พลังงานสะอาดกันมากขึ้น เพื่อรับมือกับกฎกติกา การค้าโลกที่กำลังจะเปลี่ยนไป โดยปี2567 ที่ผ่านมาเทรนด์ของพลังงานสะอาดในไทยยังคงร้อนต่อเนื่อง โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์

สอดคล้องข้อมูลจากแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (PDP) ประจำปี 2567 ระบุว่า พลังงานหมุนเวียนน่าจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 51% ของการใช้พลังงานทั้งหมดในประเทศภายในปี 2580 โดยเพิ่มขึ้นจาก 20% ในปี 2566 และการเดินหน้าสู่พลังงานสะอาดดังกล่าวนี้จะทำให้พลังงานแสงอาทิตย์กลายเป็นแหล่งพลังงานหมุนเวียนสำคัญภายใต้แผน PDP ฉบับใหม่ โดยคาดหวังว่าจะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์เป็น 33,269 เมกะวัตต์ ได้ภายในปี 2580 จากเดิมที่ผลิตได้เพียง 3,193 เมกะวัตต์ ในปี 2567

นอกจากนี้กระทรวงพลังงานของไทยยังมีแผนที่จะเปิดตลาดพลังงานให้กว้างขึ้นโดยอนุญาตให้มีการซื้อขายไฟฟ้าระหว่างเอกชนภายใต้หลักเกณฑ์ใหม่สำหรับพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา ซึ่งเป็นโครงการริเริ่มที่สนับสนุนการเชื่อมต่อโครงข่ายผู้เป็นเจ้าของโซลาร์โฟโตวอลเทอิก (PV หรือโซลาเซลล์) ให้มากขึ้น

แม้คาดการณ์ว่าในอนาคตจะมีการเติบโตมากขึ้น แต่ก็ยังมีอุปสรรคอีกหลายประการด้วยกัน เช่น ความไม่แน่นอนในการเข้าถึงโครงข่ายไฟฟ้า และข้อจำกัดด้านพื้นที่สำหรับการติดตั้งโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการกักเก็บพลังงาน ตลอดจนการวิจัยและนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เดินหน้าอย่างต่อเนื่องจะมีบทบาทสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพทั้งหมดของพลังงานแสงอาทิตย์

โดย เอลวา หวัง ผู้อำนวยการกลุ่มประจำเอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเอเชียกลางของทรินา โซลาร์ เอเชียแปซิฟิก เผยว่า ปี 2568 นั้น มีแนวโน้มด้านพลังงานแสงอาทิตย์ที่น่าจับตาอยู่ 5 ประการ พร้อมด้วยเหตุผลประกอบที่น่าสนใจต่างๆ ดังนี้

  • แผงโซลาร์เซลล์ประสิทธิภาพสูง
  • พลังงานแสงอาทิตย์และการกักเก็บพลังงาน
  • ระบบโซลาร์เซลล์ไฮบริด
  • อะกริวอลทาอิกส์ (Agrivoltaics)
  • การประยุกต์ใช้แผงโซลาร์เซลล์เชิงสร้างสรรค์

พร้อมกันนี้ #SPRiNG จะพามาดูว่าเทรนด์พลังงานไทย ปี2568 ว่าเป็นอย่างไร พลังงานไหนจะมาแรงมาเริ่มกันที่ นายสินนท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บ้านปู เปิดเผยว่า พลังงานสะอาดเทรนด์กำลังมา เพราะดีต่อโลก เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แต่ปัญหาคือไม่เสถียร ส่วนพลังงานฟอสซิลมีความเสถียรค่อนข้างมากแต่ไม่รักษ์โลก ดังนั้นในปี 2568 หรือในอนาคตเราต้องเร่งหาบาลานซ์ให้ทั้ง 2 สิ่งนี้ให้ได้ เพื่อความยั่งยืนของพลังงานไทย

ทั้งนี้จะต้องบริหารพลังงานที่คาร์บอนต่ำ และพลังงานฟอสซิลที่มีความเสถียร ให้ประชาชนเข้าถึงได้ ในราคาที่เป็นธรรมไม่สูงมาก โดยแผนยุทธศาสตร์ใหม่ของบ้านปู คืออยากเป็นผู้ผลิตพลังงานผ่านการสร้างโซลูชั่นพลังงานที่ยั่งยืนในรูปแบบ มองว่าทุกพลังงานสำคัญ แต่จะต้องควบคู่ไปกับการลดคาร์บอนด้วย ซึ่งกลยุทธ์ใหม่ “Energy Symphonics” นั้น เป็นการขับเคลื่อนธุรกิจสู่ปี 2573 ที่เน้นการเปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างยั่งยืน ตอบสนองต่อความต้องการพลังงานของโลกที่เพิ่มสูงขึ้น

โดยมุ่งเน้นที่ 3 เป้าหมายหลัก ได้แก่ 1.ความมั่นคงทางพลังงาน คือการจัดหาพลังงานที่เชื่อถือได้และต่อเนื่อง 2.ความเสมอภาคด้านพลังงาน คือการจัดหาพลังงานที่มีราคาสมเหตุสมผล ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ และ 3.ความยั่งยืนด้านพลังงาน คือการจัดหาพลังงานที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สำหรับปี2568 มองว่า 5 เทรนด์สำคัญที่จะขับเคลื่อนพลังงาน คือ Net Zero , Al-Data Centers , Electrification , Resiliency , Demographics

เปิดเทรนด์พลังงานปี\'68 พลังงานแสงอาทิตย์-ไฮโดรเจน นิวเคลียร์เล็ก CCS แรง!

มาต่อกันที่มุมมองของ บมจ.บ้านปู เพาเวอร์ โดย นายพัฒนาศักดิ์ นักสอน Vice President – Strategic Planning and Business Support บมจ.บ้านปู เพาเวอร์ เปิดเผยว่า 2568 Data Center มีบทบาทสำคัญกับวงการพลังงาน ช่วยให้พลังงานสะอาดมีความสม่ำเสมอขึ้น และเชื่อว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็กจะเริ่มมาแรงเพราะอยู่ใน แผน PDP ใหม่ด้วย อีกทั้งยังจะช่วยอุดจุดโหว่ความไม่สม่ำเสมอของพลังงานสะอาดได้

อย่างไรก็ตามมองว่าเทคโนโลยีจะมาช่วยให้พลังงานสะอาดให้มีความเสถียรมากขึ้น เช่น นิวเคลียร์ขนาดเล็กที่เราจะเห็นแผน PDP ของไทยใหม่เราใส่ไว้ปลายแผนบ้างแล้ว คาดว่าน่าจะเริ่มมีความโดดเด่นขึ้นมาตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป เทคโนโลยีด้านพลังงานจะออกมาสู่ตลาดมากยิ่งขึ้น

เปิดเทรนด์พลังงานปี\'68 พลังงานแสงอาทิตย์-ไฮโดรเจน นิวเคลียร์เล็ก CCS แรง!

ต่อกันที่ ดร.ประเสริฐ  สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า แผน PDP 2024 จะลดสัดส่วนก๊าซธรรมชาติเหลือ 41% พลังงานสะอาดเพิ่มเป็น 51% โดยในปีหน้าต้องเตรียมความพร้อมโครงสร้างพื้นฐาน กฎระเบียบรองรับพลังงานไฮโดรเจน เพิ่มการหาวัตถุดิบใช้ผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน และใน ปี2568 นโยบายด้านพลังงานที่สำคัญของไทยจะให้ความสำคัญเรื่องการเพิ่มสัดส่วนของพลังงานสะอาดให้มากขึ้น จากปัจจุบันที่สัดส่วนการผลิตไฟฟ้ามากจากก๊าซธรรมชาติ ประมาณ 60% และสัดส่วนพลังงานสะอาด 26%

เปิดเทรนด์พลังงานปี\'68 พลังงานแสงอาทิตย์-ไฮโดรเจน นิวเคลียร์เล็ก CCS แรง!

ทั้งนี้นโยบายพลังงานของไทยเน้นให้ความสำคัญการส่งเสริมพลังงานสะอาดเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ผลักดันไทยสู่ Digital Hub ของอาเซียน ส่งเสริมการลงทุนโครงการ Data Center และ Cloud Service ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งเห็นได้จากการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ โดยที่ผ่านมามากกว่า 46 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 167,989 ล้านบาท

ปิดท้ายกันที่ นายรัฐกร กัมปนาทแสนยากร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ความยั่งยืนองค์กร บมจ.ปตท. กล่าวในงาน “Sustainability Forum 2025: Synergizing for Driving Business”  เมื่อ 4 ธ.ค.2024 ที่ผ่านมาว่า ปี2568 พลังงานสะอาดยังมามาแรง แต่ต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยีในการลดก๊าซเรือนกระจกรองรับอย่างเทคโนโลยีการดักจับ การกักเก็บคาร์บอน มากขึ้น รวมถึงเทคโนโลยีไฮโดรเจน และนิวเคลียร์ขนาดเล็กก็มาแรงเช่นกัน

เปิดเทรนด์พลังงานปี\'68 พลังงานแสงอาทิตย์-ไฮโดรเจน นิวเคลียร์เล็ก CCS แรง!

ทั้งหมดเทรนด์พลังงานไทย ปี2568 สรุปคือ พลังงานแสงอาทิตย์-ไฮโดรเจร นิวเคลียร์เล็ก CCS มาแรง

Source : Spring News