รถยนต์ไฟฟ้า และรถไฮบริด กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นทั่วโลก จากประสิทธิภาพในการประหยัดพลังงาน และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีใหม่ หลายคนจึงไม่คุ้นชิน

นักวิจัยในอังกฤษได้ทำการศึกษาวิเคราะห์อุบัติเหตุจราจรทางถนน และพบข้อมูลที่น่าตกใจ ว่ารถยนต์ไฟฟ้า (BEV) และรถยนต์ไฮบริดที่ใช้แบตเตอรี่ (HEV) มีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดอุบัติเหตุต่อคนเดินถนนมากกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินหรือดีเซลอย่างมีนัยสำคัญ

โดยข้อมูลที่รวบรวมจากการเดินทางด้วยรถยนต์ BEV และ HEV เป็นระยะทางรวม 32 พันล้านไมล์ และการเดินทางด้วยรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินและดีเซลมากกว่า 3 ล้านล้านไมล์ ผลการศึกษาชี้ให้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในพื้นที่ชุมชนเมือง รถยนต์ไฟฟ้ามีแนวโน้มที่จะชนคนเดินถนนมากกว่ารถยนต์ทั่วไปถึง 3 เท่า แม้ว่าในพื้นที่นอกเมือง ความเสี่ยงจะไม่แตกต่างกันมากนัก

นักวิจัยมองว่า อาจมีปัจจัยสนับสนุนบางอย่าง แต่ก็ยังค่อนข้างแปลกใจถึงความแตกต่างอย่างมหาศาลของแนวโน้มการเกิดอุบัติเหตุระหว่างรถยนต์ไฟฟ้ากับรถยนต์ทั่วไป แม้ยังไม่มีปัจจัยที่จะอธิบายปรากฏการณ์นี้ได้อย่างชัดเจน แต่การใช้ตรรกะบางอย่าง ทำให้เราสามารถระบุได้ว่าเกิดอะไรขึ้น

\"รถยนต์ไฟฟ้า\" เสียงเงียบอาจก่อปัญหา อังกฤษพบแนวโน้มชนคนมากกว่ารถสันดาป

ประการแรก : โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหราชอาณาจักร พวกเขาพบว่ารถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริดมักจะเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองที่มีคนเดินถนนหนาแน่นอยู่มากกว่ามาก นอกจากนี้ ผู้ขับขี่รถยนต์ EV และ Hybrids มักเป็นผู้ขับขี่อายุน้อย ที่มีประสบการณ์ไม่มากนัก ซึ่งอาจส่งผลต่อความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ

อีกปัจจัยสำคัญที่นักวิจัยค้นพบ คือ ความเงียบของรถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริด เดินทางด้วยพลังงานแบตเตอรี่นั้นเงียบกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินหรือดีเซลมาก แม้ว่าจะมีระบบเตือนคนเดินถนนที่สร้างเสียงรบกวนที่ความเร็วต่ำ แต่จากประสบการณ์ของหลายคน เสียงเตือนเหล่านี้ยากต่อการระบุความเร็วและระยะทาง เราอาจได้ยินเสียงโดยไม่เงยหน้าขึ้นมองและคิดว่าอยู่ห่างออกไปสิบหรือสิบห้าฟุต ทั้งที่จริงๆ แล้วเสียงนั้นอยู่ใกล้มาก ทำให้คนเดินถนนอาจประมาทและเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย

\"รถยนต์ไฟฟ้า\" เสียงเงียบอาจก่อปัญหา อังกฤษพบแนวโน้มชนคนมากกว่ารถสันดาป

ศาสตราจารย์ฟิล เอ็ดเวิร์ดส์ นักวิจัยหลักและเป็นศาสตราจารย์ด้านระบาดวิทยาและสถิติ จาก London School of Hygiene & Tropical Medicine ได้ออกมาเตือนถึงอันตรายของรถยนต์ไฟฟ้าที่มีต่อคนเดินถนน ในการให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียน เขาระบุว่า “รถยนต์ไฟฟ้าเป็นอันตรายต่อคนเดินถนน เนื่องจากมีโอกาสได้ยินเสียงน้อยกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันหรือดีเซล

“หากคุณกำลังจะเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า จำไว้ว่ามันเป็นยานพาหนะประเภทใหม่ พวกมันเงียบกว่ารถยนต์รุ่นเก่ามาก และคนเดินถนนทั่วไปมักเดินทางไปตามถนนโดยการฟังเสียงการจราจร ผู้ขับขี่ยานพาหนะเหล่านี้จำเป็นต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ”

จากการศึกษาข้อมูลอุบัติเหตุทางถนนในอังกฤษตั้งแต่ปี 2556 ถึง 2560 ซึ่งเป็นปีล่าสุด การวิเคราะห์ประกอบด้วยผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถชน 916,713 ราย พบว่าร้อยละ 13 เป็นคนเดินเท้า โดยประมาณ 1 ใน 4 ของการเสียชีวิตของคนเดินถนน เกิดจากการถูกรถที่ใช้พลังงานแบตเตอรี่ชน ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่สูงมากเมื่อเทียบกับจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าบนท้องถนน

นักวิจัยยังเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งดำเนินการมาตรการเพื่อลดความเสี่ยงเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีแผนที่จะยกเลิกการขายรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินและดีเซลในอนาคตอันใกล้ มาตรการดังกล่าวอาจรวมถึงการปรับปรุงระบบเตือนเสียงในรถยนต์ไฟฟ้า และการรณรงค์ให้ความรู้แก่ประชาชนถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

ที่มา Gizmod
Source : Spring News

Subaru ร่วมมือกับ Toyota สองค่ายยักษ์ใหญ่นี้จะผลิตรถครอสโอเวอร์ไฟฟ้า หรือ SUV ไฟฟ้ามากถึง 3 รุ่น เพื่อลดความเสี่ยงในการพัฒนารถ EV ซึ่งมีแผนจะเปิดตัวภายในปี 2026 ซึ่งขณะนี้ Toyota ถือหุ้น 20% ของซูบารุอยู่ด้วย

Subaru แบรนด์รถญี่ปุ่นที่ขึ้นชื่อในเรื่องของช่วงล่าง สมญานามว่า “ดาวลูกไก่” ล่าสุดได้มีการร่วมมือกับ Toyota ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นที่โด่งดั่งไปทั่วโลก เพื่อเตรียมแผนการผลิตและพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าประเภทครอสโอเวอร์ไฟฟ้า หรือ SUV ไฟฟ้า โดยจะออกมาถึง 3 รุ่นด้วยกัน ภายในปี 2026 ซึ่งนี่ถือเป็นการลดความเสี่ยงและเร่งการพัฒนาการผลิตรถ EV ให้กับสองบริษัท

ซูบารุ ภายใต้การบริหารของ CEO คนใหม่ Atsushi Osaki ได้ตั้งเป้าบริษัทว่าจะจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ให้ได้ 50% ของยอดขายทั้งหมด หรือราวๆ 600,000 คัน ภายในปี 2030

Subaru จับมือ Toyota ร่วมผลิต SUV ไฟฟ้า 3 รุ่น เร่งการพัฒนา EV ยังไม่ทิ้งไฮบริด

โดยแผนดังกล่าวกำหนดให้บริษัทสร้างรถ SUV ไฟฟ้าล้วน 4 รุ่นภายในปี 2026 ซึ่งรวมถึงรถรุ่น Subaru Solterra ที่วางจำหน่ายไปแล้วก่อนหน้านี้ ซึ่งแผนถัดไปของ Subaru คือการสร้างรถยนต์ไฟฟ้าใหม่อีก 4 รุ่น ภายในสิ้นปี 2028 รวมแล้วทั้งหมดเป็น 8 รุ่นด้วยกัน

Subaru Solterra ถือเป็นรถ SUV ไฟฟ้ารุ่นแรกของ Subaru ที่พัฒนาร่วมกับ Toyota โดยเปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2021 เมื่อปีที่แล้วสามารถทำยอดขายได้ 8,872 คันในสหรัฐอเมริกา ซึ่งปัจจุบันรถรุ่น Solterra ถูกผลิตที่โรงงานของ Toyota ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่ง Atsushi Osaki ได้เปิดเผยว่าหลังจากนี้ รถยนต์ไฟฟ้าล้วนใหม่อีก 3 รุ่นจะพัฒนาร่วมกับ Toyota ด้วยเช่นกัน

Subaru จับมือ Toyota ร่วมผลิต SUV ไฟฟ้า 3 รุ่น เร่งการพัฒนา EV ยังไม่ทิ้งไฮบริด

    ปัจจุบัน Toyota ถือหุ้น 20% ในบริษัท Subaru โดย Atsushi Osaki ยังกล่าวเสริมว่า ในขณะที่ตลาดรถยนต์มีการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น บริษัทจะต้องดำเนินการไปพร้อม ๆ กับการศึกษาสถานการณ์อย่างระมัดระวัง

    Subaru จับมือ Toyota ร่วมผลิต SUV ไฟฟ้า 3 รุ่น เร่งการพัฒนา EV ยังไม่ทิ้งไฮบริด

    ถ้าหาก Subaru ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐอเมริกา ก็จะทำให้บริษัทเข้าร่วมเครดิตภาษีรถยนต์ไฟฟ้าของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ได้ ซึ่งอาจจะช่วยเพิ่มยอดขายและความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น

    แผนการผลิตของ Subaru จะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าใหม่ 1 รุ่นที่โรงงาน Yajima ในประเทศญี่ปุ่น โดยวางแผนเริ่มการผลิตในญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 2025 ด้วยกำลังการผลิต 200,000 คันต่อปี และจะเพิ่มสายการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอีก 200,000 คันภายในปี 2027

    ส่วน Toyota ก็จะผลิตรถ SUV ไฟฟ้าใหม่อีก 1 รุ่นในสหรัฐอเมริกา ที่โรงงานรัฐเคนตักกี้ ซึ่งจะเป็นรถ SUV ไฟฟ้า 3 แถวที่นั่งคันแรกของ Subaru หลังจากที่เปิดตัวรถ SUV ขนาดใหญ่ของตนเอง

    นอกจะร่วมมือกับ Toyota ในการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าล้วนรุ่นใหม่แล้ว Subaru ยังมีแผนขยายกลุ่มรถยนต์ไฮบริดด้วย เนื่องจากบริษัทยังมองว่าการขายรถยนต์สันดาปยังคงมีความสำคัญ และอาจจะไม่เสี่ยงเท่ากับขายรถยนต์ไฟฟ้าล้วนเพียงอย่างเดียว

    Subaru จับมือ Toyota ร่วมผลิต SUV ไฟฟ้า 3 รุ่น เร่งการพัฒนา EV ยังไม่ทิ้งไฮบริด

    สำหรับรถยนต์รุ่นที่ขายดีของ Subaru ในอเมริกาเหนืออย่าง Forester ก็เตรียมที่จะเพิ่มทางเลือกขุมพลัง Hybrid โดยได้รับการช่วยเหลือทั้งด้านเทคโนโลยีและการผลิตจาก Toyota พร้อมด้วยการเป็นที่ปรึกษาด้านการลงทุนเพื่อให้สอดรับกับนโยบายต่างๆ ของสหรัฐอเมริกา

    ที่มา : electrek
    Source : Spring News

    สหรัฐอเมริกา ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน เล็งเตรียมขึ้นภาษีนำเข้ารถ EV จีน 4 เท่า ซึ่งจะเพิ่มขึ้นเป็น 100% โดยสหรัฐฯให้เหตุผลว่า ต้องการป้องกันก่อนที่จะทำลายเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

    สหรัฐฯกำลังมีสินค้าจีนล้นประเทศ ซึ่งท่ามกลางสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ต้องการแก้ไขปัญหาใหญ่นี้ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน จึงต้องการเพิ่มภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจีนราว 4 เท่า จาก 25% เป็น 100% เพื่อรักษาเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไว้ก่อนจะโดนทำลาย

    สหรัฐฯ จ่อขึ้นภาษีนำเข้ารถ EV จีน 4 เท่า เพิ่มเป็น 100% หลังสินค้าจีนล้นประเทศ

    ปัจจุบันสินค้าจีนมีราคาที่ถูก โดยเฉพาะกับสินค้าที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด โดยเห็นได้ชัดว่า รถ EV จีนเข้ามาตีตลาดในด้านราคากับประเทศทั่วโลก โดยขณะนี้ไม่ว่าจะเป็น แบตเตอรี่ EV, แผงโซลาร์เซลล์ราคาถูก ก็ได้เข้ามาส่งผลกระทบกับหลายๆประเทศทั่วโลก

    WSJ รายงานว่า การตั้งกำแพงภาษีกับสินค้าของจีนครั้งนี้ จะครอบคลุมเกี่ยวกับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า, แบตเตอรี่, เซมิคอนดักเตอร์, โซลาร์เซลล์, แร่ และเวชภัณฑ์ที่ผลิตในจีน เช่น เข็มฉีดยาและอุปกรณ์ใช้ส่วนบุคคล 

    สหรัฐฯ จ่อขึ้นภาษีนำเข้ารถ EV จีน 4 เท่า เพิ่มเป็น 100% หลังสินค้าจีนล้นประเทศ

    โดยก่อนหน้านี้การตั้งกำแพงภาษีเคยเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมโซลาร์เซลล์มาแล้ว แต่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า อย่างไรก็ตามแม้สหรัฐฯ จะอัดฉีดเงินช่วยเหลือเพื่อสนับสนุน EV ในประเทศไม่น้อย แต่การพัฒนาตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ในสหรัฐฯ ก็ไม่สามารถทำราคาได้ถูกเท่าจีน 

      ไม่เพียงเท่านั้น สหรัฐฯยังได้มองเห็นว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ของจีนเป็นอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก กว่า 30% ของยอดขายรถยนต์ประเทศเป็นรถยนต์ไฟฟ้า, แบตเตอรี่ EV และการผลิตทั่วโลกก็ยังคงต้องพึ่งพาจีน ปัจจุบันรถ EV จีน จึงได้เปรียบทั้งด้านดีไซน์ ฟังก์ชันการใช้งาน และราคา

      ฝั่ง Tesla ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าระดับโลกก็ยังได้พูดถึงผู้ผลิตในจีนจะทำลายคู่แข่งกันเองในประเทศ โดยไร้ข้อกีดกันทางการค้า เพราะรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนนั้นราคาถูกมาก โดยยกตัวอย่างเช่น BYD Seagull ที่ทำราคารถ EV ได้เหลือเพียง 360,000 บาท 

      การต่อสู้ด้านอุตสาหกรรมระหว่างสหรัฐและจีนกำลังดุเดือด ซึ่งก่อนหน้านี้ในยุคของอดีตประธานาธิปดีทรัมป์ก็เคยได้ปรับขึ้นภาษีนำเข้ารถ EV จีน มากถึง 27.5% ในปี 2018 และครั้งนี้เป็นยุคของประธานาธิปดีคนปัจจุบันที่กำลังจะขึ้นภาษีนำเข้า EV จีนมากถึง 100% 

      หากโจ ไบเดน ประกาศใช้มาตรการนี้จริงก็อาจทำให้เกิดสงครามการค้าครั้งใหญ่ และน่าจับตามองว่าจีนจะแก้เกมนี้อย่างไร โดยปัจจุบันประเทศอาเซียนหรือไทยเองก็มีการส่งออกแผงโซลาร์เซลล์ไปยังสหรัฐฯด้วย

      ที่มา : Bloomberg , WSJ

      Source : Spring News

      Zhidou Rainbow รถยนต์ไฟฟ้าไซส์มินิ ดีไซน์น่ารัก โดยจะมีให้เลือกทั้งหมด 5 รุ่น โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 1.6 – 2.2 แสนบาท โดยสเปคของรถรุ่นนี้จะน่าสนใจแค่ไหน มาดูกัน

      Zhidou Rainbow รถยนต์ไฟฟ้าไซส์มินิ หรือที่เรียกกันว่า Mini EV ที่น่าสนใจด้วยราคาเปิดตัวเพียง 1.6 แสน – 2.2 แสนบาท ถึงแม้จะวิ่งไม่ได้ไกลมากนัก แต่ก็ถือว่า Zhidou จะเข้ามาตีตลาดรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กสำหรับคนที่ไม่ได้ใช้เดินทางไกล 

      Zhidou Rainbow เปิดตัว Mini EV ราคาเริ่มต้น 1.6 แสนบาท สเปควิ่งไกล 205 กม.

      Zhidou ถือเป็นหนึ่งในแบรนด์จีนแรกๆที่เริ่มเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าตั้งแต่ปี 2014 ซึ่งได้มีทั้ง Zhidou D1, D2, D3 และล่าสุดคือ Zhidou Rainbow นั่นเอง โดย Zhidou ยังมีดีกรีเป็นแบรนด์ในเครือของ Geely อีกด้วย 

      สเปค Zhidou Rainbow 

      Zhidou Rainbow มีขนาดตัวรถ ยาว 3,224 มม. กว้าง 1515 มม. สูง 1,630 มม. และระยะฐานล้อ 2,100 มม. ซึ่งจะเป็นรูปแบบ 3 ประตู 4 ที่นั่ง 

      Zhidou Rainbow เปิดตัว Mini EV ราคาเริ่มต้น 1.6 แสนบาท สเปควิ่งไกล 205 กม.

      Zhidou Rainbow มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 20 kW, 30 kW จับคู่กับชุดแบตเตอรี่ลิเธียมเหล็กฟอสเฟตจาก Guoxuan Hi-Tech ชุดแบตเตอรี่มีความจุ 9.98 kWh, 17.18 kWh และ 17.3 kWh ซึ่งระยะการเดินทางอยู่ที่ 125 กม, 201 กม. และ 205 กม. (มาตรฐาน CLTC) ตามรุ่นย่อย

      Zhidou Rainbow เปิดตัว Mini EV ราคาเริ่มต้น 1.6 แสนบาท สเปควิ่งไกล 205 กม.

      ดีไซน์ภายในของ Zhidou Rainbow จะมากับโทนสีชมพู พร้อมพวงมาลัยแบบก้านคู่ แผงหน้าปัด LCD ขนาด 5 นิ้ว และหน้าจอควบคุมส่วนกลางของรถขนาด 9 นิ้ว และยังคงมีปุ่มควบคุมอยู่ใต้หน้าจอกลาง

      Zhidou Rainbow เปิดตัว Mini EV ราคาเริ่มต้น 1.6 แสนบาท สเปควิ่งไกล 205 กม.

      ฟีเจอร์ของ Zhidou Rainbow สามารถควบคุมรถด้วยโทรศัพท์มือถือจากระยะไกล ไม่ว่าจะเป็นการปลดล็อกรถ, การค้นหารถจากระยะไกล, การชาร์จตามกำหนดเวลา และการอัปเดต OTA

      นอกจากนี้ ในอีก 3 ปีข้างหน้า Zhidou วางแผนที่จะเปิดตัวโมเดล 8 รุ่น และในอีก 5 ปีข้างหน้า จะเปิดตัวรุ่นทั้งหมด 16 รุ่น ซึ่งถือว่าน่าสนใจเพราะอนาคตรถ Mini EV ก็จะเข้ามาตอบโจทย์ผู้ใช้ที่งบประมาณจำกัดแต่ต้องการประหยัดค่าน้ำมันด้วยรถ EV 

      ที่มา : carnewschina

      Source : Spring News

      กลุ่มธุรกิจเรเว่ เดินหน้าต่อยอดความแข็งแกร่งทางธุรกิจผ่าน ‘เรเว่ บัสแอนด์ทรัค’ ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับ BYD Commercial Vehicle เตรียมจัดตั้งโรงงานประกอบรถบรรทุกและรถขนส่งโดยสารพลังงานไฟฟ้าเพื่อการพาณิชย์ภายใต้แบรนด์ BYD นอกประเทศจีนเป็นแห่งแรกในไทย ตอกย้ำความมุ่งมั่นของเรเว่ในการขยายขอบเขตธุรกิจให้ครอบคลุมยิ่งขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการและยกระดับอุตสาหกรรมการคมนาคมขนส่งของไทยขึ้นไปอีกขั้น ด้วยโซลูชันสำหรับการขนส่งและโลจิสติกส์ที่มาพร้อมนวัตกรรมพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีแห่งอนาคต พร้อมสานต่อภารกิจการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็น NEV Nation อย่างเป็นรูปธรรม

      เมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จ โรงงานประกอบรถโดยสารและรถบรรทุกพลังงานไฟฟ้าสำหรับธุรกิจเชิงพาณิชย์ภายใต้แบรนด์ BYD ของ เรเว่ บัสแอนด์ทรัค จะดำเนินการประกอบชิ้นส่วนอุปกรณ์ภายในและภายนอกของยานยนต์พลังงานไฟฟ้า รวมถึงยานยนต์พลังงานไฟฟ้าขนาดใหญ่อื่นๆ ได้แก่ รถโดยสารและรถบรรทุก ที่ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังแบตเตอรี่และนวัตกรรมเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยอันล้ำสมัย อาทิ เทคโนโลยี BYD IRON-PHOSPHATE BATTERY แบตเตอรี่สำหรับรถยนต์อุตสาหกรรมสิทธิบัตรเฉพาะของ BYD ที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และจ่ายกำลังไฟได้อย่างคุ้มค่า ทำให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน และนวัตกรรม 6-in-1 MOTOR CONTROLLER ที่สามารถควบคุมระบบไฟฟ้าอย่างมีเสถียรภาพ และอีกมากมาย

      นายหลิว เสวียเลี่ยง ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายขายประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก บริษัท บีวายดี ออโต้ อินดัสทรี จำกัด กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลากว่า 2 ปี ที่รถยนต์ไฟฟ้าส่วนบุคคลแบรนด์ BYD ได้เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย บริษัท เรเว่ ออโตโมทีฟ จำกัด ภายใต้กลุ่มธุรกิจเรเว่ ได้แสดงให้เราเห็นถึงศักยภาพอันแข็งแกร่งและพิสูจน์ความสำเร็จด้วยการก้าวขึ้นเป็นผู้นำในตลาดอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทยได้อย่างรวดเร็ว วันนี้ BYD Commercial Vehicle มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเดินหน้าขยายขอบเขตการนำเสนอผลิตภัณฑ์ยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้าให้ครอบคลุมความต้องการของภาคธุรกิจในอุตสาหกรรมการคมนาคมและขนส่ง ด้วยรถโดยสารและรถบรรทุกพลังงานไฟฟ้าที่มาพร้อมเทคโนโลยีอันเป็นเอกลักษณ์ของ BYD เพื่อเป็นอีกทางเลือกสำหรับผู้ประกอบการ ทั้งยังช่วยให้ผู้บริโภคชาวไทยมีโอกาสสัมผัสยานยนต์พลังงานสะอาดได้ง่ายขึ้นอีกด้วย”

      นายประธานวงศ์ พรประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจเรเว่ กล่าวว่า “เรเว่ บัสแอนด์ทรัค โดยกลุ่มธุรกิจเรเว่รู้สึกเป็นเกียรติเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับโอกาสครั้งสำคัญในการก่อตั้งโรงงานประกอบยานยนต์จาก BYD Commercial Vehicle นอกประเทศจีนเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทย เราเชื่อว่าโรงงานแห่งนี้นอกจากจะส่งเสริมให้เกิดการจ้างงานและสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในไทยได้อย่างมหาศาล ยังจะเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้เกิดการพลิกโฉมอุตสาหกรรมรถยนต์เชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่จากเครื่องยนต์สันดาปไปสู่ระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า สนับสนุนให้ภาคธุรกิจลดการปล่อยคาร์บอนในภาคการขนส่ง และทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสำหรับอีวีทุกประเภทในภูมิภาค ซึ่งสอดคล้องกับมติของการประชุมคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) ครั้งที่ 1/2567 ที่ผ่านมา ทั้งหมดนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ความมุ่งมั่นของกลุ่มธุรกิจเรเว่ที่ต้องการสร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจรและพร้อมขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ NEV Nation อย่างยั่งยืน”

      นางสาวประธานพร พรประภา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจเรเว่ กล่าวว่า “นอกเหนือจากการนำเสนอรถโดยสารและรถบรรทุกพลังงานไฟฟ้า BYD ที่อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีอันเหนือชั้น เรเว่ บัสแอนด์ทรัค ยังพร้อมมอบบริการหลังการขายคุณภาพจากทีมงานและทีมวิศวรกรมากประสบการณ์ในการตรวจสอบและดูแลผลิตภัณฑ์อย่างครบวงจร ตลอดจนมีชิ้นส่วนอะไหล่ไว้ให้บริการอย่างครบครัน เป็นทางเลือกที่น่าสนใจให้ผู้ประกอบการธุรกิจด้านคมนาคมขนส่งสามารถลดต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิง ทั้งยังจะได้มีบทบาทในการลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนและก๊าซเรือนกระจกในอุตสาหกรรมทั้งระบบ ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนสังคมไร้มลพิษและสร้างสรรค์การเปลี่ยนแปลงเชิงบวกสู่อนาคตที่ยั่งยืนให้กับทุกคนในสังคม”

      ทั้งนี้ เรเว่ บัสแอนด์ทรัค ยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความเชื่อมั่นและพร้อมสานต่อความไว้วางใจจาก BYD Commercial Vehicle ในการจัดตั้งโรงงานประกอบรถยนต์ในประเทศไทย โดยคนไทย เพื่อคนไทย ที่จะเสริมสร้างคุณค่าและเสริมทางเศรษฐกิจในระดับประเทศ ณ จุดที่สำคัญของเส้นทางการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ในไทย

      Source : MGROnline