Highlight & Knowledge

เปลี่ยนบ้านให้ประหยัดด้วยโซลาร์เซลล์ เลือกแบบไหน คุ้มค่าจริงหรือเปล่า?

ในยุคที่ค่าไฟฟ้าสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้น โซลาร์เซลล์ หรือเซลล์แสงอาทิตย์ (Solar Cell) ได้กลายเป็นทางเลือกยอดนิยมสำหรับครัวเรือนที่ต้องการลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โซลาร์เซลล์เปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์ให้เป็นพลังงานไฟฟ้าผ่านกระบวนการโฟโตโวลตาอิก (Photovoltaic Effect) ซึ่งเป็นพลังงานสะอาดที่ไม่มีวันหมด การติดตั้งโซลาร์เซลล์ที่บ้านไม่เพียงช่วยประหยัดค่าไฟได้ถึง 30-70% ขึ้นอยู่กับขนาดระบบและพฤติกรรมการใช้ไฟ แต่ยังเพิ่มมูลค่าให้กับที่อยู่อาศัยและส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนในระยะยาว บทความนี้จะนำเสนอคู่มือการเลือกโซลาร์เซลล์สำหรับใช้ในบ้าน พร้อมตัวอย่างการคำนวณค่าไฟฟ้าและจุดคุ้มทุน เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจและคุ้มค่าที่สุด

รู้จักประเภทและการทำงานของโซลาร์เซลล์

โซลาร์เซลล์มีหลายประเภทที่เหมาะกับการใช้งานในบ้าน โดยแต่ละประเภทมีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน ดังนี้:

  • โมโนคริสตัลไลน์ (Monocrystalline) ผลิตจากซิลิคอนบริสุทธิ์ มีประสิทธิภาพสูงและใช้พื้นที่น้อย เหมาะสำหรับบ้านที่มีพื้นที่จำกัด อายุการใช้งานยาวนาน 25-40 ปี แต่ราคาสูง
  • โพลีคริสตัลไลน์ (Polycrystalline) ราคาถูกกว่าโมโนคริสตัลไลน์ แต่ประสิทธิภาพต่ำกว่าและใช้พื้นที่มากกว่า เหมาะสำหรับบ้านที่มีพื้นที่ติดตั้งกว้าง
  • อะมอร์ฟัส (Amorphous) มีขนาดใหญ่ ราคาถูก แต่ประสิทธิภาพต่ำและอายุการใช้งานสั้น (ประมาณ 5 ปี) ไม่นิยมสำหรับการติดตั้งในครัวเรือน

การทำงานของโซลาร์เซลล์เริ่มจากแผงที่รับรังสีแสงอาทิตย์และเปลี่ยนเป็นไฟฟ้ากระแสตรง (DC) ผ่านสารกึ่งตัวนำ เช่น ซิลิคอน จากนั้นอินเวอร์เตอร์จะแปลงไฟ DC เป็นไฟกระแสสลับ (AC) สำหรับใช้งานในบ้าน ระบบอาจรวมถึงแบตเตอรี่สำหรับเก็บพลังงานและเครื่องควบคุมการชาร์จ (Solar Charge Controller) เพื่อความเสถียร

ประเภทของระบบโซลาร์เซลล์ – ระบบออนกริดและออฟกริด

ระบบออนกริด (On-Grid)

ระบบออนกริดเชื่อมต่อกับโครงข่ายไฟฟ้าของการไฟฟ้า แผงโซลาร์เซลล์ผลิตไฟฟ้าในช่วงกลางวันเพื่อใช้ในบ้าน และหากผลิตไฟได้มากกว่าที่ใช้ ไฟส่วนเกินจะถูกส่งคืนไปยังการไฟฟ้า ซึ่งสามารถนับเป็นเครดิตหรือสร้างรายได้ ระบบนี้ไม่ต้องใช้แบตเตอรี่ ทำให้ต้นทุนการติดตั้งและบำรุงรักษาต่ำลง

ข้อดี:

  • ต้นทุนต่ำ ไม่ต้องใช้แบตเตอรี่ ทำให้ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งและบำรุงรักษาน้อย
  • รายได้เสริม ขายไฟส่วนเกินคืนให้การไฟฟ้าได้
  • เหมาะกับการใช้งานในเมือง เหมาะสำหรับบ้านที่ใช้ไฟมากในช่วงกลางวัน
  • ติดตั้งง่าย ใช้พื้นที่น้อยและติดตั้งได้ในพื้นที่ที่มีโครงข่ายไฟฟ้า

ข้อเสีย:

  • ขึ้นอยู่กับโครงข่ายไฟฟ้า หากไฟฟ้าดับ ระบบจะหยุดทำงานเพื่อความปลอดภัย
  • ต้องขออนุญาต การติดตั้งต้องได้รับอนุญาตจากทางการ
  • ไม่เหมาะกับพื้นที่ห่างไกล ต้องมีโครงข่ายไฟฟ้าที่เสถียร

ระบบออฟกริด (Off-Grid)

ระบบออฟกริดทำงานแยกจากโครงข่ายไฟฟ้า โดยพึ่งพาการผลิตไฟฟ้าจากแผงโซลาร์เซลล์และเก็บพลังงานในแบตเตอรี่เพื่อใช้ในช่วงที่ไม่มีแสงแดด เหมาะสำหรับพื้นที่ห่างไกลที่ไม่มีไฟฟ้าเข้าถึง

ข้อดี

  • ความเป็นอิสระ ไม่ต้องพึ่งพาการไฟฟ้า
  • ใช้งานได้ต่อเนื่อง แบตเตอรี่ช่วยให้มีไฟฟ้าใช้ในช่วงที่ไม่มีแสงแดด
  • ความยืดหยุ่น ออกแบบระบบให้เหมาะกับความต้องการเฉพาะ

ข้อเสีย

  • ต้นทุนสูง ต้องใช้แบตเตอรี่และอุปกรณ์ควบคุม
  • การบำรุงรักษา แบตเตอรี่มีอายุการใช้งานจำกัด (5-10 ปี)
  • ประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ อาจมีไฟไม่เพียงพอหากฝนตกต่อเนื่อง
  • ใช้พื้นที่มาก ต้องมีพื้นที่สำหรับแบตเตอรี่และอุปกรณ์

ระบบไฮบริด (Hybrid)

ระบบไฮบริดรวมข้อดีของออนกริดและออฟกริด โดยเชื่อมต่อกับโครงข่ายไฟฟ้าและมีแบตเตอรี่สำรอง เหมาะสำหรับบ้านที่ต้องการทั้งความประหยัดและความเสถียร

ข้อดี

  • ความเสถียร มีไฟฟ้าใช้ต่อเนื่องแม้ไฟดับ
  • ประหยัดค่าไฟ ใช้ไฟจากโซลาร์เซลล์หรือโครงข่ายไฟฟ้า และขายไฟส่วนเกินได้
  • ยืดหยุ่น ปรับการใช้งานได้ตามสถานการณ์

ข้อเสีย

  • ต้นทุนสูง รวมค่าแผง อินเวอร์เตอร์ และแบตเตอรี่
  • การบำรุงรักษา ต้องดูแลทั้งระบบไฟฟ้าและแบtเตอรี่
  • ความซับซ้อน การติดตั้งและจัดการระบบซับซ้อนกว่าออนกริด

ตัวอย่างการคำนวณค่าไฟฟ้าและจุดคุ้มทุนสำหรับบ้าน 1 หลัง

สมมติว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านเดี่ยวขนาดกลางในเขตเมืองของประเทศไทย มีเครื่องใช้ไฟฟ้าดังต่อไปนี้:

  1. เครื่องปรับอากาศ 12,000 BTU (1 เครื่อง): 1,200 วัตต์ ใช้ 6 ชั่วโมง/วัน (ช่วงเย็น-กลางคืน)
  2. ตู้เย็น 7 คิว (1 เครื่อง): 150 วัตต์ ใช้ 24 ชั่วโมง/วัน
  3. เครื่องซักผ้า (1 เครื่อง): 500 วัตต์ ใช้ 1 ชั่วโมง/วัน (ช่วงเช้า)
  4. ทีวี LED 42 นิ้ว (1 เครื่อง): 80 วัตต์ ใช้ 4 ชั่วโมง/วัน (ช่วงเย็น)
  5. หลอดไฟ LED 10 วัตต์ (10 ดวง): 100 วัตต์ ใช้ 5 ชั่วโมง/วัน (ช่วงเย็น-กลางคืน)
  6. พัดลม (2 ตัว): 100 วัตต์ ใช้ 6 ชั่วโมง/วัน (ช่วงบ่าย-เย็น)
  7. เครื่องทำน้ำอุ่น (1 เครื่อง): 3,500 วัตต์ ใช้ 0.5 ชั่วโมง/วัน (ช่วงเช้า)
  8. คอมพิวเตอร์ (1 เครื่อง): 200 วัตต์ ใช้ 3 ชั่วโมง/วัน (ช่วงบ่าย-เย็น)

การคำนวณการใช้ไฟฟ้าต่อวัน

คำนวณพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ต่อวัน (หน่วย: kWh):

  • เครื่องปรับอากาศ: 1,200 W × 6 ชม. = 7,200 Wh = 7.2 kWh
  • ตู้เย็น: 150 W × 24 ชม. = 3,600 Wh = 3.6 kWh
  • เครื่องซักผ้า: 500 W × 1 ชม. = 500 Wh = 0.5 kWh
  • ทีวี: 80 W × 4 ชม. = 320 Wh = 0.32 kWh
  • หลอดไฟ: 100 W × 5 ชม. = 500 Wh = 0.5 kWh
  • พัดลม: 100 W × 6 ชม. = 600 Wh = 0.6 kWh
  • เครื่องทำน้ำอุ่น: 3,500 W × 0.5 ชม. = 1,750 Wh = 1.75 kWh
  • คอมพิวเตอร์: 200 W × 3 ชม. = 600 Wh = 0.6 kWh

รวมการใช้ไฟฟ้าต่อวัน: 7.2 + 3.6 + 0.5 + 0.32 + 0.5 + 0.6 + 1.75 + 0.6 = 15.07 kWh/วัน

การใช้ไฟฟ้าต่อเดือน: 15.07 kWh × 30 วัน = 452.1 kWh/เดือน

การคำนวณค่าไฟฟ้าปกติ

สมมติว่าในปี 2025 ค่าไฟฟ้าในประเทศไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 4.5 บาทต่อหน่วย (kWh)
ค่าไฟฟ้าต่อเดือน: 452.1 kWh × 4.5 บาท/kWh = 2,034.45 บาท/เดือน
ค่าไฟฟ้าต่อปี: 2,034.45 บาท × 12 เดือน = 24,413.4 บาท/ปี

การคำนวณการใช้ไฟฟ้าในช่วงกลางวัน (สำหรับระบบโซลาร์เซลล์)

สมมติว่าแสงแดดในประเทศไทยมีค่าเฉลี่ย 5.5 ชั่วโมงต่อวัน (ช่วง 8:00-13:30) โดยเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้งานในช่วงกลางวัน ได้แก่:

  • ตู้เย็น: 150 W × 5.5 ชม. = 825 Wh = 0.825 kWh
  • เครื่องซักผ้า: 500 W × 1 ชม. = 500 Wh = 0.5 kWh
  • พัดลม: 100 W × 3 ชม. = 300 Wh = 0.3 kWh
  • คอมพิวเตอร์: 200 W × 2 ชม. = 400 Wh = 0.4 kWh

รวมการใช้ไฟฟ้าในช่วงกลางวัน: 0.825 + 0.5 + 0.3 + 0.4 = 2.025 kWh/วัน
การใช้ไฟฟ้าในช่วงกลางวันต่อเดือน: 2.025 kWh × 30 วัน = 60.75 kWh/เดือน

การออกแบบระบบโซลาร์เซลล์

เพื่อให้ครอบคลุมการใช้ไฟฟ้าในช่วงกลางวัน (2.025 kWh/วัน) และเผื่อความสูญเสียในระบบ (ประสิทธิภาพ 75%) ขนาดระบบที่ต้องการ: 2.025 kWh ÷ 5.5 ชม. ÷ 0.75 = 0.491 kW หรือประมาณ 500 W อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ระบบครอบคลุมการใช้ไฟมากขึ้น (เช่น 50% ของการใช้ไฟทั้งหมด = 7.535 kWh/วัน) และรองรับการขยายในอนาคต สมมติเลือกติดตั้งระบบออนกริดขนาด 5 kW ซึ่งเป็นขนาดที่นิยมในครัวเรือนไทย

การผลิตไฟฟ้าจากระบบ 5 kW:

  • ไฟฟ้าที่ผลิตได้ต่อวัน: 5 kW × 5.5 ชม. × 0.75 = 20.625 kWh/วัน
  • ไฟฟ้าที่ผลิตได้ต่อเดือน: 20.625 kWh × 30 วัน = 618.75 kWh/เดือน

การคำนวณค่าใช้จ่ายในการติดตั้งโซลาร์เซลล์

จากข้อมูลในประเทศไทย ปี 2024-2025 ระบบออนกริดขนาด 5 kW มีค่าใช้จ่ายประมาณ 230,000 บาท สมมติว่าไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เช่น การอัพเกรดหลังคา

ค่าใช้จ่ายติดตั้ง: 230,000 บาท

การคำนวณค่าไฟฟ้าหลังติดตั้งโซลาร์เซลล์

ระบบ 5 kW ผลิตไฟฟ้าได้ 618.75 kWh/เดือน ซึ่งครอบคลุมการใช้ไฟทั้งหมด (452.1 kWh/เดือน) และมีไฟส่วนเกิน ไฟส่วนเกิน: 618.75 – 452.1 = 166.65 kWh/เดือน สมมติว่าขายไฟส่วนเกินคืนให้การไฟฟ้าได้ในราคา 2 บาท/kWh (ตามนโยบาย Feed-in Tariff ในประเทศไทย)

รายได้จากการขายไฟ: 166.65 kWh × 2 บาท = 333.3 บาท/เดือน
ค่าไฟฟ้าที่ต้องจ่าย: 0 บาท (เพราะระบบโซลาร์ครอบคลุมการใช้ไฟทั้งหมด)

ผลประโยชน์ทางการเงินต่อเดือน:

  • ประหยัดค่าไฟ: 2,034.45 บาท
  • รายได้จากไฟส่วนเกิน: 333.3 บาท
  • รวม: 2,034.45 + 333.3 = 2,367.75 บาท/เดือน

ผลประโยชน์ทางการเงินต่อปี: 2,367.75 × 12 = 28,413 บาท/ปี

การคำนวณจุดคุ้มทุน

จุดคุ้มทุน (Payback Period) = ค่าใช้จ่ายติดตั้ง ÷ ผลประโยชน์ต่อปี = 230,000 ÷ 28,413 = 8.1 ปี

สมมติว่าราคาค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 5% ต่อปี และสมมติว่าแผงโซลาร์มีประสิทธิภาพลดลง 0.5% ต่อปี:

  • ปีที่ 5: ค่าไฟฟ้าปกติเพิ่มเป็น 3,108 บาท/เดือน (จาก 2,034.45 บาท) ประสิทธิภาพแผงลดเหลือ 97.5% (ผลิตไฟ 602 kWh/เดือน)
  • ปีที่ 10: ค่าไฟฟ้าปกติเพิ่มเป็น 4,750 บาท/เดือน ประสิทธิภาพแผงลดเหลือ 95% (ผลิตไฟ 587 kWh/เดือน)

การคำนวณใหม่โดยประมาณ (รวมผลกระทบจากค่าไฟที่สูงขึ้นและประสิทธิภาพที่ลดลง) ทำให้จุดคุ้มทุนอาจลดลงเหลือประมาณ 7.5 ปี

การวิเคราะห์ว่าควรติดตั้งโซลาร์เซลล์หรือไม่

เหตุผลที่ควรติดตั้ง

  1. จุดคุ้มทุนสมเหตุสมผล จุดคุ้มทุนที่ 7.5-8.1 ปี ถือว่าดีเมื่อเทียบกับอายุการใช้งานของแผงโซลาร์ (25 ปี) หลังจากจุดคุ้มทุน คุณจะได้ไฟฟ้าฟรีและรายได้จากการขายไฟส่วนเกิน เป็นกำไรสุทธิประมาณ 17 ปี
  2. ประหยัดค่าไฟทันที ระบบ 5 kW ครอบคลุมการใช้ไฟทั้งหมดและสร้างรายได้เสริม ลดภาระค่าไฟลง 100%
  3. เหมาะกับพฤติกรรมการใช้ไฟ บ้านนี้ใช้ไฟในช่วงกลางวันค่อนข้างน้อย (2.025 kWh/วัน) แต่ระบบขนาด 5 kW สามารถครอบคลุมการใช้ไฟทั้งวันและขายไฟส่วนเกินได้ ทำให้ระบบออนกริดเหมาะสม
  4. สิ่งแวดล้อมและมูลค่าทรัพย์สิน ลดการปล่อยคาร์บอนและเพิ่มมูลค่าบ้านในระยะยาว
  5. นโยบายสนับสนุน รัฐบาลไทยมีนโยบายส่งเสริมพลังงานหมุนเวียน รวมถึงการซื้อไฟคืนจากระบบออนกริด

เหตุผลที่อาจจะเลือกไม่ติดตั้ง

  1. เงินลงทุนเริ่มต้นสูง 230,000 บาทอาจเป็นภาระสำหรับบางครัวเรือน โดยเฉพาะหากต้องใช้เงินกู้ ซึ่งจะเพิ่มดอกเบี้ยและยืดจุดคุ้มทุน
  2. การใช้ไฟในช่วงกลางวันต่ำ การใช้ไฟในช่วงกลางวันเพียง 2.025 kWh/วัน หมายความว่าระบบขนาด 5 kW อาจใหญ่เกินความจำเป็น หากติดตั้งระบบขนาดเล็กกว่า (เช่น 3 kW ราคา 170,000 บาท) อาจคุ้มทุนเร็วกว่า (ประมาณ 6-7 ปี)
  3. ความเสี่ยงจากนโยบาย หากนโยบายการซื้อไฟคืนเปลี่ยนแปลง (เช่น ลดราคาซื้อไฟส่วนเกิน) อาจกระทบรายได้และยืดจุดคุ้มทุน
  4. การบำรุงรักษา แม้ระบบออนกริดจะบำรุงรักษาน้อย แต่ต้องทำความสะอาดแผงและตรวจสอบอินเวอร์เตอร์ทุก 5-10 ปี ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเล็กน้อย

ข้อแนะนำ:

  • ควรติดตั้งหากมีงบประมาณเพียงพอและวางแผนอยู่อาศัยในบ้านนานกว่า 8 ปี ระบบออนกริดขนาด 5 kW เหมาะสมสำหรับบ้านนี้ เพราะครอบคลุมการใช้ไฟทั้งหมดและสร้างรายได้เสริม จุดคุ้มทุนที่ 7.5-8.1 ปีถือว่าดี และหลังจากนั้นจะได้กำไรสุทธิ
  • พิจารณาระบบขนาดเล็กกว่าหากงบจำกัด ระบบ 3 kW (170,000 บาท) อาจครอบคลุมการใช้ไฟประมาณ 70% และมีจุดคุ้มทุนสั้นกว่า (6-7 ปี) แต่จะมีไฟส่วนเกินน้อยลง
  • ตรวจสอบเงื่อนไขเพิ่มเติม: ตรวจสอบความแข็งแรงของหลังคาและเงื่อนไขการขออนุญาตจากทางการ รวมถึงเปรียบเทียบใบเสนอราคาจากผู้ติดตั้งหลายรายเพื่อให้ได้ราคาที่ดีที่สุด

ปัจจัยที่ต้องพิจารณาก่อนเลือกโซลาร์เซลล์

การเลือกโซลาร์เซลล์ต้องคำนึงถึงหลายปัจจัยเพื่อให้ได้ระบบที่เหมาะสมและคุ้มค่าที่สุด:

  1. การใช้ไฟฟ้าในบ้าน ตรวจสอบบิลค่าไฟเพื่อคำนวณหน่วยไฟฟ้าที่ใช้ต่อวัน โดยเฉพาะในช่วงกลางวัน
  2. พื้นที่ติดตั้ง ควรมีพื้นที่หลังคาที่รับแสงแดดเต็มที่ โดยทิศใต้ให้ประสิทธิภาพสูงสุด
  3. งบประมาณ ระบบออนกริดขนาด 5 kW ราคาประมาณ 230,000 บาท ระยะคืนทุนเฉลี่ย 5-9 ปี
  4. คุณภาพอุปกรณ์ เลือกแผงโซลาร์เซลล์จากแบรนด์ Tier 1 เช่น AE Solar และอินเวอร์เตอร์ที่ได้รับการรับรอง
  5. การบำรุงรักษา ทำความสะอาดแผงทุก 6 เดือนและตรวจสอบระบบไฟฟ้าปีละครั้ง

ขั้นตอนการติดตั้งและการดูแลรักษา

การติดตั้งโซลาร์เซลล์ควรดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญที่มีวิศวกรโยธารับรองความแข็งแรงของหลังคา ขั้นตอนหลัก ได้แก่

  • สำรวจหน้างาน ประเมินพื้นที่และการใช้ไฟฟ้า
  • ออกแบบระบบ คำนวณขนาดแผง อินเวอร์เตอร์ และแบตเตอรี่ (ถ้ามี)
  • ติดตั้ง ติดตั้งแผง อินเวอร์เตอร์ และระบบควบคุม
  • ตรวจสอบ ทดสอบระบบและเชื่อมต่อกับการไฟฟ้า

การดูแลรักษาไม่ยุ่งยาก เพียงทำความสะอาดแผง 2-3 ครั้งต่อปีและตรวจสอบระบบไฟผ่านแอปพลิเคชัน

ประโยชน์และความคุ้มค่าในระยะยาว

การติดตั้งโซลาร์เซลล์ให้ประโยชน์ทั้งด้านการเงินและสิ่งแวดล้อม:

  • ประหยัดค่าไฟ ลดค่าไฟได้ 100% สำหรับระบบ 5 kW
  • รายได้เสริม ขายไฟส่วนเกินในระบบออนกริด
  • ความยั่งยืน ลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิล
  • ความสวยงาม แผงสีดำล้วนกลมกลืนกับหลังคา

ระยะคืนทุน 7.5-8.1 ปี และอายุการใช้งานถึง 25 ปี ทำให้โซลาร์เซลล์เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า

บทสรุป เริ่มต้นใช้พลังงานสะอาดได้ง่ายกว่าที่คิด

โซลาร์เซลล์เป็นทางเลือกที่ทั้งประหยัดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จากตัวอย่าง บ้านที่ใช้ไฟ 452.1 kWh/เดือน เหมาะกับระบบออนกริดขนาด 5 kW ซึ่งให้จุดคุ้มทุนที่ 7.5-8.1 ปี และประหยัดค่าไฟได้ 100% พร้อมรายได้เสริม ด้วยการวางแผนที่ดีและการเลือกผู้ให้บริการที่น่าเชื่อถือ คุณสามารถเปลี่ยนบ้านให้ประหยัดและยั่งยืนด้วยพลังงานสะอาดได้อย่างมั่นใจ

Photo : freepik

10 คำถามสุดฮิตก่อนติดโซล่าร์เซลล์ที่บ้าน (Solar Rooftop)

ใครที่คิดกำลังจะติดโซล่าร์เซลล์ที่บ้าน แนะนำให้อ่านเนื้อหาในบทความนี้ก่อน อาจจะช่วยให้การตัดสินใจทำได้ง่ายขึ้น คุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่ ซึ่งเนื้อหาก็เป็นการนำเสนอจากทางกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ได้รวมเอา 10 คำถามหรือข้อสังสัยต่างๆ เกี่ยวกับการติดโซล่าร์เซลล์ที่บ้านอยู่อาศัยแบบ Solar…

10 ข้อควรรู้ เกี่ยวกับที่มาและตลาดคาร์บอนเครดิต / ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการณ์

คาร์บอนเครดิต เป็นเรื่องที่กำลังได้รับความสนใจในวงกว้าง โดยเฉพาะภาคธุรกิจที่เห็นว่า ในกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศได้กำหนดให้มีการใช้กลไกทางตลาดในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเปิดโอกาสให้เกิดการซื้อขาย และการใช้คาร์บอนเครดิตในการบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกขององค์กรและการตอบสนองต่อการบรรลุการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (Nationally Determined Contribution: NDC)…