ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตพลังงานและปัญหาสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle: EV) กลายเป็นหนึ่งในทางออกที่สำคัญ อย่างไรก็ตาม ความท้าทายใหญ่ของรถยนต์ไฟฟ้าคือระยะเวลาในการชาร์จที่ยังช้ากว่าการเติมน้ำมันในรถยนต์สันดาปภายใน (ICE) แต่ล่าสุด บริษัท BYD ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำจากจีน ได้เปิดตัว “Super E-Platform” เทคโนโลยีชาร์จไฟฟ้าด้วยพลังงาน 1,000 กิโลวัตต์ ที่สามารถชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าให้วิ่งได้ไกลถึง 400 กิโลเมตรในเวลาเพียง 5 นาที ซึ่งเทียบเท่ากับความเร็วในการเติมน้ำมันรถยนต์ทั่วไป บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจความเป็นมา ข้อดี ข้อเสีย และอนาคตของเทคโนโลยีนี้ที่อาจเปลี่ยนโฉมวงการยานยนต์ไฟฟ้าไปตลอดกาล

BYD กับเทคโนโลยี Super E-Platform

BYD บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนที่เติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดโลก โดยเฉพาะในด้านนวัตกรรมแบตเตอรี่และเทคโนโลยีพลังงานสะอาด เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2568 BYD ได้เปิดตัว Super E-Platform อย่างเป็นทางการที่สำนักงานใหญ่ในเมืองเซินเจิ้น ประเทศจีน โดยนายหวัง ชวนฟู (Wang Chuanfu) ผู้ก่อตั้งและประธานบริษัท ระบุว่าเทคโนโลยีนี้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อแก้ปัญหาความกังวลเรื่องการชาร์จ (Charging Anxiety) ของผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการยอมรับรถยนต์ไฟฟ้าในวงกว้าง

Source : BYD

Super E-Platform ใช้ระบบไฟฟ้าแรงดันสูง 1,000 โวลต์ กระแสไฟ 1,000 แอมป์ และพลังงานสูงสุด 1,000 กิโลวัตต์ รองรับการชาร์จด้วยแบตเตอรี่แบบ “Flash Charge” ที่พัฒนาขึ้นใหม่ นอกจากนี้ BYD ยังประกาศแผนสร้างสถานีชาร์จเร็วพิเศษ (Ultra-Fast Charging Stations) กว่า 4,000 แห่งทั่วประเทศจีน เพื่อสนับสนุนเทคโนโลยีนี้ โดยมีเป้าหมายให้การชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเร็วเทียบเท่าการเติมน้ำมัน และแข่งขันกับคู่แข่งอย่าง Tesla ซึ่งปัจจุบันมี Supercharger ที่ให้พลังงานสูงสุด 500 กิโลวัตต์

ข้อดีของ Super E-Platform

  1. ความเร็วในการชาร์จที่เหนือชั้น การชาร์จที่ให้ระยะทาง 400 กิโลเมตรใน 5 นาที ทำให้ผู้ใช้สามารถเดินทางระยะไกลได้โดยไม่ต้องรอนาน ช่วยลดข้อจำกัดเรื่องเวลาเมื่อเทียบกับเทคโนโลยีชาร์จเร็วในปัจจุบัน เช่น DC Fast Charging (20-60 นาที) หรือ Tesla Supercharger (15-40 นาที)
  2. ลดความกังวลเรื่องระยะทาง (Range Anxiety) ความสามารถในการชาร์จที่รวดเร็วนี้ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ผู้ขับขี่ โดยเฉพาะในการเดินทางไกลที่ต้องการการชาร์จระหว่างทาง
  3. สนับสนุนการขยายตลาด EV ความสะดวกในการชาร์จจะกระตุ้นให้ผู้บริโภคหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มที่ยังลังเลเพราะข้อจำกัดของโครงสร้างพื้นฐาน
  4. เทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่ล้ำสมัย แบตเตอรี่ Flash Charge ที่พัฒนาคู่กับ Super E-Platform มีประสิทธิภาพสูง ทนทานต่อการชาร์จเร็ว และลดการเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่เมื่อเทียบกับระบบชาร์จทั่วไป
  5. การแข่งขันในตลาดโลก BYD สามารถตั้งตัวเป็นผู้นำในเทคโนโลยีชาร์จเร็ว แซงหน้าคู่แข่งอย่าง Tesla, NIO และผู้ผลิตรถยนต์จากยุโรป สร้างความได้เปรียบในตลาด EV ทั่วโลก
Source : BYD

ข้อสังเกตของ Super E-Platform

  1. โครงสร้างพื้นฐานที่ท้าทาย การติดตั้งสถานีชาร์จ 1,000 กิโลวัตต์ต้องใช้โครงข่ายไฟฟ้าที่มีกำลังสูง ซึ่งอาจเป็นภาระต่อระบบไฟฟ้าในบางพื้นที่ โดยเฉพาะในประเทศที่โครงสร้างพื้นฐานยังไม่พร้อม
  2. ต้นทุนสูง ทั้งการพัฒนาสถานีชาร์จและแบตเตอรี่ Flash Charge อาจทำให้ราคารถยนต์และค่าบริการชาร์จสูงขึ้น ซึ่งอาจไม่เหมาะกับผู้บริโภคที่มีงบจำกัด
  3. ความเข้ากันได้จำกัด ในช่วงเริ่มต้น เฉพาะรถยนต์รุ่นใหม่ของ BYD เช่น Han L และ Tang L เท่านั้นที่รองรับเทคโนโลยีนี้ ทำให้ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นเก่าหรือยี่ห้ออื่นยังไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้
  4. ผลกระทบต่ออายุแบตเตอรี่ แม้ BYD จะระบุว่าแบตเตอรี่ Flash Charge ทนทานต่อการชาร์จเร็ว แต่การชาร์จด้วยพลังงานสูงซ้ำๆ อาจส่งผลต่ออายุการใช้งานของแบตเตอรี่ในระยะยาว ซึ่งต้องรอการพิสูจน์จากผู้ใช้งานจริง
  5. การพึ่งพาตลาดจีน แผนการติดตั้งสถานีชาร์จ 4,000 แห่งจำกัดอยู่ในจีนเป็นหลัก ทำให้ผู้ใช้ในประเทศอื่นอาจยังไม่ได้รับประโยชน์เต็มที่ในระยะสั้น

การพัฒนาแบตเตอรี่ Flash Charge

หัวใจสำคัญของ Super E-Platform คือ Flash Charge Battery ซึ่ง BYD พัฒนาขึ้นเพื่อรองรับการชาร์จด้วยพลังงานสูงถึง 1,000 กิโลวัตต์ และให้ระยะทาง 400 กิโลเมตรในเวลาเพียง 5 นาที แบตเตอรี่รุ่นนี้ถือเป็นก้าวกระโดดจากเทคโนโลยี Blade Battery อันโด่งดังของ BYD ที่เปิดตัวในปี 2563 โดยมุ่งเน้นความเร็ว ความปลอดภัย และความทนทาน

Flash Charge Battery พัฒนาต่อจากเคมีแบบ Lithium Iron Phosphate (LFP) ซึ่ง Blade Battery ใช้เป็นพื้นฐาน โดยมีการปรับปรุงโครงสร้างภายในเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการชาร์จเร็ว โดยเฉพาะการถ่ายโอนไอออนในอิเล็กโทรไลต์ที่เร็วขึ้น และการลดความต้านทานของไดอะแฟรม (Diaphragm) ผลลัพธ์คืออัตราการชาร์จสูงถึง 10C ซึ่งหมายความว่าแบตเตอรี่สามารถชาร์จเต็มได้ในเวลาเพียง 1/10 ของชั่วโมง หรือประมาณ 6 นาทีในทางทฤษฎี นับเป็นอัตราที่สูงที่สุดในแบตเตอรี่ที่ผลิตในปริมาณมาก

จุดเด่นของ Flash Charge Battery อยู่ที่ความทนทานต่อการชาร์จเร็วซ้ำๆ ซึ่งมักเป็นจุดอ่อนของแบตเตอรี่ทั่วไป BYD อ้างว่าเทคโนโลยีนี้ลดการเสื่อมสภาพของเซลล์แบตเตอรี่ แม้จะรับพลังงานสูงถึง 1,000 kW อย่างต่อเนื่อง โดยยังคงรักษาความปลอดภัยในระดับสูงตามมาตรฐานของ Blade Battery ที่ทนต่อการเจาะและไม่ลุกไหม้เมื่อเกิดอุบัติเหตุ

เมื่อเปรียบเทียบกับแบตเตอรี่ชนิดอื่น เช่น NMC (Nickel Manganese Cobalt) หรือ NCA (Nickel Cobalt Aluminum) ที่ Tesla ใช้ Flash Charge มีพลังงานหนาแน่นน้อยกว่า (Energy Density) แต่ชดเชยด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า ความทนทานสูง และความสามารถในการชาร์จเร็วที่เหนือกว่า การพัฒนานี้ไม่เพียงสนับสนุน Super E-Platform แต่ยังเป็นรากฐานให้ BYD ขยายไปสู่ยานพาหนะขนาดใหญ่ เช่น รถบัสหรือรถบรรทุกไฟฟ้าในอนาคต

อย่างไรก็ตาม ความทนทานในระยะยาวของ Flash Charge Battery ยังต้องรอการพิสูจน์จากผู้ใช้งานจริง ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดว่าเทคโนโลยีนี้จะปฏิวัติวงการ EV ได้อย่างแท้จริงหรือไม่

ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า

การเปิดตัว Super E-Platform ของ BYD ซึ่งสามารถชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าด้วยพลังงาน 1,000 กิโลวัตต์และเพิ่มระยะทาง 400 กิโลเมตรในเวลาเพียง 5 นาที ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยเทคโนโลยีนี้ไม่เพียงยกระดับมาตรฐานการชาร์จเร็ว แต่ยังส่งผลกระทบต่อทั้งผู้ผลิต คู่แข่ง และผู้บริโภคในมิติต่างๆ

ประการแรก Super E-Platform ได้จุดชนวนการแข่งขันครั้งใหม่ในวงการ EV โดยเฉพาะกับผู้นำตลาดอย่าง Tesla ซึ่งครองตำแหน่งด้วย Supercharger V4 ที่ให้กำลังสูงสุด 500 กิโลวัตต์ ขณะที่ NIO ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนอีกราย มีสถานีชาร์จ 500 kW และระบบเปลี่ยนแบตเตอรี่ (Battery Swapping) การมาของ BYD ที่เหนือกว่าด้วยพลังงาน 1,000 kW อาจบังคับให้คู่แข่งเร่งพัฒนาเทคโนโลยีชาร์จให้ทัดเทียมหรือแซงหน้า ซึ่งอาจนำไปสู่ “สงครามชาร์จเร็ว” ที่ผู้บริโภคจะได้รับประโยชน์จากนวัตกรรมที่เร็วขึ้น

Source : BYD

ประการที่สอง เทคโนโลยีนี้เปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างมีนัยสำคัญ การชาร์จที่เร็วเทียบเท่าการเติมน้ำมันช่วยลดความกังวลเรื่องระยะทาง (Range Anxiety) และทำให้รถยนต์ไฟฟ้ากลายเป็นทางเลือกที่ใช้งานได้จริงสำหรับการเดินทางไกล ส่งผลให้ความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าสูงขึ้น โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่ เช่น อาเซียนหรืออินเดีย ที่โครงสร้างพื้นฐานการชาร์จยังเป็นจุดอ่อน

สุดท้าย Super E-Platform อาจช่วยให้ BYD ก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาด EV ระดับโลก ปัจจุบัน BYD เป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอันดับสองของโลก (รองจาก Tesla) ด้วยยอดขาย 3.02 ล้านคันในปี 2567 หากสามารถขยายสถานีชาร์จ 1,000 kW ออกนอกจีนได้สำเร็จ บริษัทอาจแซงหน้า Tesla ในแง่ส่วนแบ่งตลาดและนวัตกรรม สร้างแรงกดดันให้ผู้ผลิตรายอื่นต้องปรับกลยุทธ์ทั้งด้านเทคโนโลยีและราคา อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จนี้ขึ้นอยู่กับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและการยอมรับจากผู้บริโภคทั่วโลก ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดว่า Super E-Platform จะเปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรม EV ได้มากน้อยเพียงใด

ตารางเปรียบเทียบระหว่างเทคโนโลยีชาร์จรถไฟฟ้าของ BYD Super E-Platform และ Tesla V4 Supercharger โดยอิงจากข้อมูลเชิงเทคนิคที่มีอยู่ ณ วันที่ 18 มีนาคม 2568

หัวข้อBYD Super E-PlatformTesla V4 Supercharger
กำลังไฟสูงสุด (Peak Power)1,000 กิโลวัตต์ (1 MW)500 กิโลวัตต์ (ปัจจุบันสูงสุด 325 kW, วางแผนถึง 500 kW ในอนาคต)
แรงดันไฟฟ้า (Voltage)สูงสุด 1,000 โวลต์สูงสุด 1,000 โวลต์
กระแสไฟฟ้า (Current)สูงสุด 1,000 แอมป์สูงสุด 615 แอมป์ (บางแหล่งระบุถึง 1,000 แอมป์ในอนาคต)
ระยะเวลาชาร์จ5 นาที (เพิ่มระยะทาง 400 กม.)15 นาที (เพิ่มระยะทาง 275-300 กม. ที่ 250 kW)
ระยะทางต่อการชาร์จ400 กิโลเมตร (ประมาณ 249 ไมล์) ใน 5 นาที275-300 กิโลเมตร (171-186 ไมล์) ใน 15 นาที
อัตราการชาร์จ (Charging Rate)2 กิโลเมตรต่อวินาที (ตามการระบุของ BYD)1,400 ไมล์ต่อชั่วโมง (ประมาณ 23.3 ไมล์/นาที หรือ 37.5 กม./นาที ที่ 350 kW ในอนาคต)
ประเภทแบตเตอรี่Flash Charge Battery (พัฒนาจาก LFP)NCA/NMC (Tesla’s Lithium-Ion)
ความเข้ากันได้รองรับเฉพาะรุ่น BYD (เช่น Han L, Tang L) ในระยะแรกรองรับ Tesla และรถยนต์ EV อื่นผ่าน NACS/CCS
ความยาวสายชาร์จไม่ระบุชัดเจน (คาดว่าปรับให้เหมาะสมกับรถ BYD)3 เมตร (ประมาณ 9.8 ฟุต)
โครงข่ายสถานีชาร์จวางแผน 4,000+ สถานีในจีนมากกว่า 7,000 สถานีทั่วโลก (65,800+ หัวชาร์จ)
เทคโนโลยีเพิ่มเติมระบบกักเก็บพลังงานในสถานีชาร์จMagic Dock (CCS Adapter), การชาร์จไร้สัมผัส
เป้าหมายการใช้งานชาร์จเร็วเทียบเท่าเติมน้ำมันรองรับการเดินทางระยะไกลและ EV หลากยี่ห้อ
Source : BYD

บทสรุป

Super E-Platform ของ BYD เป็นนวัตกรรมที่ปฏิวัติวงการรถยนต์ไฟฟ้า ด้วยความสามารถในการชาร์จพลังงาน 1,000 กิโลวัตต์ ที่ให้ระยะทาง 400 กิโลเมตรในเวลาเพียง 5 นาที เทคโนโลยีนี้ไม่เพียงตอบโจทย์ความต้องการด้านความเร็วและความสะดวก แต่ยังเป็นก้าวสำคัญในการผลักดันให้รถยนต์ไฟฟ้ากลายเป็นมาตรฐานใหม่ของการเดินทาง แม้จะมีข้อจำกัดเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน ต้นทุน และความเข้ากันได้ แต่ด้วยวิสัยทัศน์ของ BYD และแผนการขยายสถานีชาร์จทั่วจีน Super E-Platform มีศักยภาพที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้รถยนต์ของมนุษยชาติ และนำไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จในระยะยาวจะขึ้นอยู่กับการพัฒนาเทคโนโลยีควบคู่ไปกับการสนับสนุนจากรัฐบาลและผู้บริโภคทั่วโลก

ในยุคที่เทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้ากำลังพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว การมีแบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพสูงเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมนี้ให้ก้าวหน้าขึ้น Farasis Energy บริษัทผู้ผลิตแบตเตอรี่ชั้นนำของจีน ได้ประกาศเปิดตัวแบตเตอรี่รุ่นใหม่ที่รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 6C ซึ่งสามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 10% ถึง 80% ในเวลาเพียง 8 นาที 55 วินาที เทคโนโลยีนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดเวลาชาร์จเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการใช้งานอีกด้วย

ด้วยการเปิดตัวแบตเตอรี่รุ่นใหม่นี้ Farasis Energy กำลังเดินหน้าสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพมากขึ้นสำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะช่วยลดการอาศัยน้ำมันเชื้อเพลิงและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระยะยาว นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มความน่าสนใจของรถยนต์ไฟฟ้าให้กับผู้บริโภคในวงกว้าง การปรับปรุงแบตเตอรี่ให้มีความสามารถในการชาร์จเร็วและปลอดภัยยิ่งขึ้นเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยให้รถยนต์ไฟฟ้าสามารถแข่งขันกับรถยนต์แบบดั้งเดิมได้อย่างเต็มที่ และช่วยให้ผู้ใช้สามารถเดินทางได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น ด้วยความก้าวหน้าในด้านเทคโนโลยีแบตเตอรี่ Farasis Energy จึงเป็นหนึ่งในผู้นำที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าของอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต

Photo : arenaev.com

เทคโนโลยีแบตเตอรี่รุ่นใหม่จาก Farasis Energy

ในด้านเทคโนโลยีของแบตเตอรี่รุ่นใหม่จาก Farasis Energy มีการนำเสนอระบบชาร์จเร็วที่ล้ำสมัย โดยใช้เทคโนโลยี 6C ที่ช่วยให้สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย นอกจากนี้ยังมีการใช้โครงสร้างแบบใหม่ “Super Pouch Solution” (SPS) เพื่อปรับปรุงการกระจายความร้อนของแบตเตอรี่ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยระหว่างการชาร์จเร็ว เทคโนโลยีเหล่านี้เป็นก้าวสำคัญที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าของอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต ด้วยการลดเวลาชาร์จและเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งาน ซึ่งรายละเอียดของเทคโนโลยีต่างๆ มีดังนี้

เทคโนโลยีชาร์จเร็ว 6C

เทคโนโลยีชาร์จเร็ว 6C ของ Farasis Energy เป็นนวัตกรรมที่ช่วยให้แบตเตอรี่สามารถชาร์จได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย โดยสามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 10% ถึง 80% ในเวลาเพียง 8 นาที 55 วินาที เทคโนโลยีนี้ใช้แบตเตอรี่ลิเธียมเหล็กฟอสเฟต (LFP) ซึ่งเป็นที่นิยมเนื่องจากมีราคาถูกกว่าและปลอดภัยกว่าแบตเตอรี่ชนิดอื่นๆ

การชาร์จเร็ว 6C นี้ช่วยลดข้อจำกัดด้านเวลาชาร์จ ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญสำหรับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า และช่วยให้การเดินทางระยะไกลมีความสะดวกสบายมากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มความน่าสนใจของรถยนต์ไฟฟ้าให้กับผู้บริโภคในวงกว้าง ด้วยความสามารถในการชาร์จเร็วและปลอดภัย เทคโนโลยีนี้จึงเป็นก้าวสำคัญที่จะขับเคลื่อนอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าให้ก้าวหน้าขึ้นในอนาคต

Photo : Farasis Energy

โครงสร้าง Super Pouch Solution (SPS)

โครงสร้าง Super Pouch Solution (SPS) ของ Farasis Energy เป็นนวัตกรรมแบตเตอรี่ที่ใช้เซลล์แบบ Pouch ขนาดใหญ่ ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อเพิ่มความหนาแน่นของพลังงานและลดน้ำหนักของแบตเตอรี่ SPS นี้มีคุณสมบัติเด่นดังนี้

  1. ความหนาแน่นของพลังงานสูง SPS มีความหนาแน่นของพลังงานมากกว่า 220 Wh/kg ซึ่งช่วยให้รถยนต์ไฟฟ้าสามารถเดินทางได้ระยะทางมากกว่า 1,000 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มครั้งหนึ่ง
  2. การชาร์จเร็ว SPS รองรับการชาร์จเร็ว โดยสามารถชาร์จได้ถึง 400 กิโลเมตรในเวลาเพียง 10 นาที ซึ่งเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งาน
  3. การกระจายความร้อน SPS ใช้ระบบการกระจายความร้อนที่มีประสิทธิภาพ โดยใช้แผ่นกระจายความร้อนและระบบทำความเย็นแบบเหลว ซึ่งช่วยลดอุณหภูมิและเพิ่มความปลอดภัยระหว่างการชาร์จเร็ว
  4. การผลิตที่มีประสิทธิภาพ SPS ใช้กระบวนการผลิตที่ทันสมัย ซึ่งช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตแบตเตอรี่
  5. ความปลอดภัยและอายุการใช้งาน SPS ได้รับการออกแบบมาเพื่อเพิ่มความปลอดภัยและอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ โดยสามารถรักษาความจุได้มากกว่า 90% ในสภาพอากาศหนาวเย็น
Photo : arenaev.com

Reduced Order Modelling (ROM)

Reduced Order Modelling (ROM) เป็นเทคนิคการจำลองแบบที่ Farasis Energy ใช้เพื่อปรับปรุงและพัฒนาแบตเตอรี่อย่างรวดเร็ว ROM ช่วยให้สามารถทดสอบและวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว โดยมีคุณสมบัติเด่นดังนี้

  1. การจำลองแบบเร็ว ROM สามารถสรุปการจำลองได้ภายใน 10 วินาที ซึ่งเร็วกว่าซอฟต์แวร์แบบดั้งเดิมที่ต้องใช้เวลา 8-10 ชั่วโมง นี่ช่วยให้สามารถทดสอบและปรับปรุงการออกแบบแบตเตอรี่ได้อย่างรวดเร็ว
  2. ความแม่นยำสูง ROM มีความแม่นยำสูงในการจำลองพฤติกรรมของแบตเตอรี่ ทำให้สามารถคาดการณ์ประสิทธิภาพและความปลอดภัยได้อย่างแม่นยำ
  3. การปรับปรุงการออกแบบ ด้วยความสามารถในการจำลองแบบที่รวดเร็วและแม่นยำ ROM ช่วยให้สามารถปรับปรุงการออกแบบแบตเตอรี่ได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้แบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
  4. การประหยัดเวลาและต้นทุน การใช้ ROM ช่วยลดเวลาและต้นทุนในการทดสอบและพัฒนาแบตเตอรี่ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากในการผลิตแบตเตอรี่ในปริมาณมาก
  5. การรองรับเทคโนโลยีต่างๆ ROM สามารถใช้ได้กับแบตเตอรี่หลายประเภท เช่น LFP, NMC และโซเดียม ซึ่งช่วยให้สามารถพัฒนาและปรับปรุงแบตเตอรี่สำหรับเทคโนโลยีต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ

แบตเตอรี่รุ่นใหม่ของ Farasis Energy ส่งผลต่อตลาดรถ EV อย่างไร?

แบตเตอรี่รุ่นใหม่ของ Farasis Energy มีผลกระทบอย่างมากต่อตลาดรถยนต์ไฟฟ้า โดยเฉพาะในด้านการชาร์จเร็วและความปลอดภัย เทคโนโลยีชาร์จเร็ว 6C ช่วยลดเวลาชาร์จลงอย่างมาก โดยสามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 10% ถึง 80% ในเวลาเพียง 8 นาที 55 วินาที นี่ช่วยให้รถยนต์ไฟฟ้าสามารถใช้งานได้คล้ายกับการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงแบบดั้งเดิม ซึ่งเพิ่มความน่าสนใจให้กับผู้บริโภค

การปรับปรุงความปลอดภัยของแบตเตอรี่ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญ โดยใช้ “Super Pouch Solution” (SPS) เพื่อปรับปรุงการกระจายความร้อน ทำให้สามารถรักษาอุณหภูมิไว้ต่ำกว่า 50 องศาเซลเซียสระหว่างการชาร์จเร็ว ซึ่งเพิ่มความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการชาร์จ. การพัฒนาแบตเตอรี่ที่มีความสามารถในการชาร์จเร็วและปลอดภัยจะช่วยขยายตลาดรถยนต์ไฟฟ้าให้กว้างขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่เคยลังเลเนื่องจากเวลาชาร์จที่นาน

การเปิดตัวเทคโนโลยีใหม่นี้แสดงถึงการก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในด้านนวัตกรรม ซึ่งอาจช่วยเพิ่มส่วนแบ่งตลาดของ Farasis Energy ในอนาคต แม้ว่าปัจจุบันจะมีส่วนแบ่งตลาดเพียงเล็กน้อย แต่การลงทุนในเทคโนโลยีชาร์จเร็วและความปลอดภัยจะช่วยให้บริษัทสามารถแข่งขันกับผู้ผลิตแบตเตอรี่รายใหญ่อื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แผนการพัฒนาของ Farasis Energy

Farasis Energy มีแผนการในอนาคตที่น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการพัฒนาแบตเตอรี่รุ่นใหม่และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง ซึ่งทางบริษัทได้มีแผนในเรื่องของการพัฒนาแบตเตอรี่เอาไว้ดังนี้

  1. การพัฒนาแบตเตอรี่แบบ Solid-State Farasis Energy กำลังพัฒนาแบตเตอรี่แบบ Solid-State ซึ่งมีพลังงานสูงถึง 400 Wh/kg และกำลังอยู่ในขั้นตอนการทดสอบในโลกแห่งความเป็นจริง นอกจากนี้ยังมีแบตเตอรี่ที่ใช้ลิเธียมเมทัลแอนโอดและมีคาโธดไนเกิลสูง โดยมีพลังงานสูงถึง 500 Wh/kg
  2. การขยายการผลิตแบตเตอรี่แบบ Semi-Solid-State Farasis Energy มีแบตเตอรี่แบบ Semi-Solid-State สามรุ่น โดยรุ่นแรกมีพลังงานสูงถึง 280-300 Wh/kg และได้เริ่มการผลิตจำนวนมากในปี 2022 รุ่นที่สองมีพลังงานสูงถึง 330 Wh/kg และสามารถชาร์จเร็วได้ถึง 3C ส่วนรุ่นที่สามมีพลังงานสูงถึง 400 Wh/kg และกำลังอยู่ในขั้นตอนการรับรองมาตรฐานสำหรับรถยนต์
  3. การร่วมมือเชิงกลยุทธ์ Farasis Energy ได้ลงนามข้อตกลงเชิงกลยุทธ์กับ JMEV เพื่อพัฒนาแบตเตอรี่แบบ Solid-State โดยมีเป้าหมายที่จะเสร็จสิ้นการเปลี่ยนจากแบตเตอรี่แบบ Semi-Solid-State ไปเป็น Solid-State ภายในห้าปี
  4. การพัฒนาแบตเตอรี่ไอออนโซเดียม Farasis Energy ยังกำลังพัฒนาแบตเตอรี่ไอออนโซเดียม โดยได้เริ่มการผลิตแบตเตอรี่ไอออนโซเดียมรุ่นแรกและกำลังวางแผนเปิดตัวรุ่นที่สองในปี 2024 โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มความหนาแน่นของพลังงานให้ถึง 180-200 Wh/kg ภายในปี 2026

โดยรวมแล้ว Farasis Energy มีแผนการในอนาคตที่เน้นการปรับปรุงและพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ให้มากขึ้น เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ในขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่ารถยนต์รุ่นใดจะใช้แบตเตอรี่รุ่นใหม่ของ Farasis Energy โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบตเตอรี่ที่รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 6C ก็ต้องมาติดตามกันว่า ในเร็วๆ นี้จะได้เห็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นไหน ใช้แบตเตอรี่รุ่นใหม่นี้ ซึ่งจะช่วยปลดล็อคข้อจำกัดในเรื่องของระยะเวลาการชาร์จไฟได้ทันที

Cover Photo : freepik

ตลาดไฟฟ้าท้องถิ่นเป็นแนวคิดที่กำลังได้รับความสนใจอย่างมากในหลายประเทศ เนื่องจากมุ่งเน้นการผลิตและบริโภคไฟฟ้าในท้องถิ่น ซึ่งช่วยลดการสูญเสียพลังงานระหว่างการขนส่งและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน การใช้พลังงานทดแทนในท้องถิ่นยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสนับสนุนการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ตลาดไฟฟ้าท้องถิ่นเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตขนาดเล็กเข้าร่วม ซึ่งเพิ่มการแข่งขันและความหลากหลายของแหล่งพลังงาน

นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มความมั่นคงด้านพลังงานและสนับสนุนเศรษฐกิจท้องถิ่น ในหลายประเทศกำลังพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการเติบโตของตลาดไฟฟ้าท้องถิ่น เทคโนโลยีสมาร์ทกริดและระบบการจัดการพลังงานที่ทันสมัยเป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการการผลิตและบริโภคไฟฟ้า การใช้เทคโนโลยี Peer-to-Peer Trading ช่วยให้ผู้ผลิตและผู้บริโภคสามารถซื้อขายไฟฟ้าได้โดยตรง การพัฒนาตลาดไฟฟ้าท้องถิ่นในประเทศไทยยังคงอยู่ในขั้นตอนเริ่มต้น แต่มีความเป็นไปได้ที่จะเติบโตในอนาคต การสนับสนุนจากภาครัฐและภาคเอกชนเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของตลาดไฟฟ้าท้องถิ่น

แนวคิดของ ตลาดไฟฟ้าท้องถิ่น

แนวคิดของตลาดไฟฟ้าท้องถิ่น (Local Electricity Market) มุ่งเน้นการสร้างระบบการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพและยืดหยุ่น โดยเน้นการผลิตและบริโภคไฟฟ้าในท้องถิ่น ซึ่งช่วยลดการสูญเสียพลังงานระหว่างการขนส่งและเพิ่มความมั่นคงด้านพลังงาน นอกจากนี้ยังสนับสนุนการใช้พลังงานทดแทนและช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

แนวคิดหลัก

  1. การผลิตและบริโภคในท้องถิ่น เน้นการผลิตไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานทดแทน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเพิ่มความมั่นคงด้านพลังงาน
  2. การซื้อขายไฟฟ้าแบบ Peer-to-Peer (P2P) ผู้ผลิตและผู้บริโภคสามารถซื้อขายไฟฟ้าได้โดยตรงผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้พลังงาน
  3. โครงสร้างตลาดที่ยืดหยุ่น ตลาดไฟฟ้าท้องถิ่นสามารถปรับตัวเข้ากับความต้องการของผู้บริโภคได้ดีขึ้น โดยใช้เทคโนโลยีสมาร์ทกริดและระบบการจัดการพลังงานที่ทันสมัย
  4. การสนับสนุนเศรษฐกิจท้องถิ่น การผลิตไฟฟ้าในท้องถิ่นสามารถสร้างรายได้และสร้างงานให้กับชุมชน ซึ่งช่วยเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจท้องถิ่น

โครงสร้างของ ตลาดไฟฟ้าท้องถิ่น

โครงสร้างของตลาดไฟฟ้าท้องถิ่นประกอบด้วยผู้ผลิตและผู้บริโภคในท้องถิ่น ซึ่งสามารถซื้อขายไฟฟ้าได้โดยตรงผ่านแพลตฟอร์ม Peer-to-Peer โครงสร้างนี้ยังรวมถึงระบบการจัดการพลังงานสมาร์ทกริดที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความมั่นคงของระบบไฟฟ้า การใช้เทคโนโลยีสมาร์ทกริดและระบบการจัดการพลังงานที่ทันสมัยเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างตลาดไฟฟ้าท้องถิ่นที่มีประสิทธิภาพ โดยสามารถสรุปโครงสร้างได้ดังนี้

1. ผู้ผลิตไฟฟ้าในท้องถิ่น (Local Generators)

  • พลังงานทดแทน การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์, ลม, น้ำ, และอื่นๆ
  • การผลิตไฟฟ้าขนาดเล็ก การผลิตไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานที่มีขนาดเล็ก เช่น โซลาร์รูฟท็อป

2. ผู้บริโภคไฟฟ้าในท้องถิ่น (Local Consumers)

  • ผู้ใช้ไฟฟ้าในพื้นที่ บ้านเรือน, อาคารพาณิชย์, และอุตสาหกรรมขนาดเล็ก
  • ผู้ผลิตและบริโภคไฟฟ้า (Prosumers) บุคคลหรือองค์กรที่ผลิตและบริโภคไฟฟ้าในเวลาเดียวกัน

3. ระบบการจัดการพลังงาน (Energy Management System)

  • สมาร์ทกริด (Smart Grid) ระบบที่ใช้เทคโนโลยีเพื่อจัดการการผลิตและบริโภคไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ
  • ระบบควบคุมและตรวจสอบ (Monitoring and Control Systems) ช่วยติดตามและควบคุมการผลิตและบริโภคไฟฟ้าในท้องถิ่น

4. โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure)

  • สายส่งและสายจ่ายไฟฟ้า โครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการส่งและจ่ายไฟฟ้า
  • สถานีแปลงกระแส (Substations) ใช้สำหรับการแปลงกระแสไฟฟ้าให้เหมาะสมกับการใช้งาน

5. นโยบายและกฎระเบียบ (Policies and Regulations)

  • การสนับสนุนจากภาครัฐ นโยบายที่ช่วยส่งเสริมการผลิตและบริโภคไฟฟ้าในท้องถิ่น
  • การกำกับดูแลตลาด กฎระเบียบที่ควบคุมการซื้อขายไฟฟ้าในท้องถิ่นเพื่อรักษาความเป็นธรรมและความมั่นคงของระบบ

6. เทคโนโลยี (Technology)

  • การเก็บพลังงาน (Energy Storage) เทคโนโลยีที่ช่วยเก็บพลังงานไว้ใช้ในยามจำเป็น
  • การแลกเปลี่ยนข้อมูล (Data Exchange) เทคโนโลยีที่ช่วยแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภคเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ

โครงสร้างเหล่านี้ทำงานร่วมกันเพื่อให้ตลาดไฟฟ้าท้องถิ่นมีความยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพในการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในท้องถิ่น

ข้อดีของ ตลาดไฟฟ้าท้องถิ่น

ตลาดไฟฟ้าท้องถิ่นมีข้อดีหลายประการ ดังนี้

  1. การลดการสูญเสียพลังงาน การผลิตและบริโภคไฟฟ้าในท้องถิ่นช่วยลดการสูญเสียพลังงานระหว่างการขนส่ง ซึ่งสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานได้
  2. การเพิ่มความยืดหยุ่นและความมั่นคง ตลาดไฟฟ้าท้องถิ่นสามารถช่วยลดความต้องการพลังงานจากแหล่งที่มาหลักและเพิ่มความมั่นคงด้านพลังงานโดยรวม
  3. การสนับสนุนเศรษฐกิจท้องถิ่น การผลิตไฟฟ้าในท้องถิ่นสามารถสร้างรายได้และสร้างงานให้กับชุมชน ซึ่งช่วยเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจท้องถิ่น
  4. การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การใช้พลังงานทดแทนในท้องถิ่นช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสนับสนุนการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
  5. การแข่งขันและความหลากหลาย ตลาดไฟฟ้าท้องถิ่นเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตขนาดเล็กเข้าร่วม ซึ่งเพิ่มการแข่งขันและความหลากหลายของแหล่งพลังงาน
  6. การควบคุมต้นทุน ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงแหล่งพลังงานที่มีต้นทุนต่ำกว่าและเลือกผู้ผลิตที่เหมาะสมกับความต้องการของตนเอง
  7. การเพิ่มความสามารถในการปรับตัว ตลาดไฟฟ้าท้องถิ่นช่วยให้ผู้บริโภคสามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของความต้องการพลังงานได้ดีขึ้น

เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่มีการนำมาใช้ในตลาดไฟฟ้าท้องถิ่น

มีการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ในตลาดไฟฟ้าท้องถิ่นและอุตสาหกรรมพลังงานที่เกี่ยวข้องหลายอย่าง เช่น

  1. สมาร์ทกริด (Smart Grid) ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อจัดการการผลิตและบริโภคไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถติดตามและควบคุมการไหลของพลังงานได้แบบเรียลไทม์
  2. ระบบการจัดการพลังงาน (Energy Management Systems) ช่วยในการจัดการการผลิตและบริโภคพลังงานโดยใช้ข้อมูลแบบเรียลไทม์เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพและลดการสูญเสียพลังงาน
  3. การเก็บพลังงาน (Energy Storage Systems) เทคโนโลยีการเก็บพลังงาน เช่น แบตเตอรี่ ช่วยให้สามารถเก็บพลังงานไว้ใช้ในยามจำเป็น ซึ่งเพิ่มความมั่นคงและยืดหยุ่นของระบบไฟฟ้า
  4. เทคโนโลยี Peer-to-Peer (P2P) Trading ช่วยให้ผู้ผลิตและผู้บริโภคสามารถซื้อขายไฟฟ้าได้โดยตรงผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งเพิ่มความยืดหยุ่นและลดต้นทุน
  5. การเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) และปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลและคาดการณ์ความต้องการพลังงาน เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพและความมั่นคงของระบบไฟฟ้า
  6. Internet of Thing (IoT) ใช้ในการติดตามและควบคุมการไหลของพลังงานในระบบสมาร์ทกริด
  7. โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล (Digital Infrastructure) รวมถึงระบบการสื่อสารและเครือข่ายข้อมูลที่ช่วยให้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ

ตลาดไฟฟ้าท้องถิ่นในประเทศไทย

ในประเทศไทยยังไม่มีการดำเนินการตลาดไฟฟ้าท้องถิ่นอย่างเต็มรูปแบบ แต่มีการพัฒนานโยบายและโครงการที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าในท้องถิ่นอยู่บ้าง ตัวอย่างเช่น

  1. โครงการ Peer-to-Peer (P2P) Electricity Trading มีการทดลองโครงการ P2P ในบางพื้นที่เพื่อให้ผู้ผลิตและผู้บริโภคสามารถซื้อขายไฟฟ้าได้โดยตรง แต่ยังไม่ได้ขยายไปทั่วประเทศ
  2. การสนับสนุนพลังงานทดแทน รัฐบาลไทยมีนโยบายสนับสนุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเพิ่มความมั่นคงด้านพลังงาน
  3. โครงสร้างตลาดไฟฟ้าแบบ Enhanced Single Buyer (ESB) ปัจจุบันประเทศไทยใช้โครงสร้างตลาดไฟฟ้าแบบ ESB โดย EGAT เป็นผู้ซื้อและจ่ายไฟฟ้าหลัก แต่ไม่อนุญาตให้ผู้บริโภคซื้อไฟฟ้าโดยตรงจากผู้ผลิต
  4. การเรียกร้องให้มีการเปิดเสรีตลาดไฟฟ้า มีการเรียกร้องจากภาคเอกชนให้รัฐบาลเร่งเปิดเสรีตลาดไฟฟ้าเพื่อให้มีการซื้อขายไฟฟ้าได้อย่างเสรี ซึ่งจะช่วยเพิ่มการแข่งขันและสนับสนุนการผลิตพลังงานสะอาด

ในประเทศไทย มีความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาตลาดไฟฟ้าท้องถิ่นในอนาคต เนื่องจากมีการสนับสนุนการผลิตพลังงานสะอาดและนโยบายที่มุ่งเน้นการเพิ่มสัดส่วนของพลังงานทดแทนในระบบไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายหลายประการ เช่น โครงสร้างตลาดไฟฟ้าที่มีการควบคุมอย่างเข้มงวด และความไม่แน่นอนของราคาก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดราคาไฟฟ้า

ความเป็นไปได้ในการพัฒนาตลาดไฟฟ้าท้องถิ่นในประเทศไทยมีความหวังมากขึ้นเมื่อมีการสนับสนุนพลังงานสะอาดอย่างชัดเจนจากภาครัฐ รัฐบาลไทยได้ตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนของพลังงานสะอาดให้ถึง 51% ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดภายในปี 2037 ซึ่งเป็นนโยบายที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของพลังงานสะอาดในประเทศ นอกจากนี้ ยังมีการเรียกร้องให้มีการเปิดเสรีตลาดไฟฟ้าเพื่อให้มีการซื้อขายไฟฟ้าได้อย่างเสรี ซึ่งจะช่วยเพิ่มการแข่งขันและสนับสนุนการผลิตพลังงานสะอาด การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าสมาร์ทกริด ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ตลาดไฟฟ้าท้องถิ่นมีความยืดหยุ่นและสามารถรองรับการเติบโตของพลังงานสะอาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

บทสรุป

ตลาดไฟฟ้าท้องถิ่นเป็นแนวคิดที่มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า โดยเน้นการผลิตและบริโภคไฟฟ้าในท้องถิ่น ซึ่งช่วยลดการสูญเสียพลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน การใช้พลังงานทดแทนและเทคโนโลยีสมาร์ทกริดเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของตลาดไฟฟ้าท้องถิ่น ในประเทศไทย มีความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาตลาดไฟฟ้าท้องถิ่น โดยมีการสนับสนุนจากภาครัฐในการเพิ่มสัดส่วนของพลังงานสะอาดและปรับปรุงโครงสร้างตลาดไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม เพื่อให้สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีที่ทันสมัยจะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างตลาดไฟฟ้าท้องถิ่นที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ

Photo : freepik

ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์ด้านพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไฮโดรเจนได้ก้าวขึ้นมาเป็นความหวังใหม่ของมนุษยชาติในฐานะพลังงานสะอาดแห่งอนาคต ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่น ทั้งให้พลังงานสูง ไม่ปล่อยมลพิษเมื่อเผาไหม้ และสามารถผลิตได้จากหลากหลายแหล่ง ไฮโดรเจนจึงได้รับการขนานนามว่าเป็น “เชื้อเพลิงแห่งอนาคต”

แต่น้อยคนนักที่จะทราบว่า ไฮโดรเจนไม่ได้มีเพียงประเภทเดียว หากแต่ถูกแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามแหล่งที่มาและกระบวนการผลิต โดยใช้สีเป็นสัญลักษณ์แทนคุณลักษณะที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ “สีเทา” ที่ยังพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล ไปจนถึง “สีเขียว” ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง

การทำความเข้าใจเกี่ยวกับไฮโดรเจนประเภทต่างๆ จึงเป็นกุญแจสำคัญในการมองเห็นภาพรวมของการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของโลก และเส้นทางสู่อนาคตที่ยั่งยืนมากขึ้น บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกถึง 7 ประเภทของไฮโดรเจนที่กำลังเปลี่ยนแปลงโลกพลังงาน พร้อมทั้งข้อดีข้อเสียและศักยภาพในการนำไปใช้งานจริง

1.ไฮโดรเจนสีเขียว (Green Hydrogen)

ไฮโดรเจนสีเขียวเป็นพลังงานสะอาดที่กำลังได้รับความสนใจอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากศักยภาพในการเป็นแหล่งพลังงานที่ยั่งยืนและไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในขณะที่โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไฮโดรเจนสีเขียวจึงถูกมองว่าเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญที่จะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์และนำไปสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ด้วยคุณสมบัติที่สามารถนำไปใช้ได้หลากหลายทั้งในภาคการขนส่ง อุตสาหกรรม และการผลิตไฟฟ้า ไฮโดรเจนสีเขียวจึงมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบพลังงานที่สะอาดและยั่งยืนมากขึ้น

การผลิตไฮโดรเจนสีเขียว

ไฮโดรเจนสีเขียวผลิตผ่านกระบวนการอิเล็กโทรลิซิส (Electrolysis) ซึ่งเป็นการแยกน้ำ (H₂O) ออกเป็นไฮโดรเจน (H₂) และออกซิเจน (O₂) โดยใช้กระแสไฟฟ้าที่มาจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์หรือพลังงานลม กระบวนการนี้ทำให้ไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระหว่างการผลิต จึงเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง

ในระหว่างอิเล็กโทรลิซิส โมเลกุลของน้ำจะถูกแบ่งออกเป็นอะตอมของไฮโดรเจนและออกซิเจนเมื่อกระแสไฟฟ้าไหลผ่านน้ำ1 อุปกรณ์ที่ใช้ในกระบวนการนี้เรียกว่า Electrolyzer ซึ่งปัจจุบันมีจำหน่ายในท้องตลาดแล้ว แต่ยังต้องการการพัฒนาเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ

ล่าสุด นักวิจัยได้นำระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาช่วยค้นหาวิธีการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในการพัฒนากระบวนการผลิต ซึ่งสามารถลดต้นทุนการผลิตได้ถึง 20% และเพิ่มประสิทธิภาพของการใช้พลังงานได้ถึง 15%

ข้อดีของไฮโดรเจนสีเขียว

  1. เป็นพลังงานสะอาด 100% – ไม่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งในกระบวนการผลิตและการใช้งาน เมื่อเผาไหม้จะได้เพียงน้ำเป็นผลพลอยได้
  2. เป็นแหล่งจัดเก็บพลังงานที่ยั่งยืน – สามารถจัดเก็บและนำไปใช้ได้เมื่อไม่มีแหล่งพลังงานหมุนเวียน ช่วยรักษาเสถียรภาพและความสมดุลของโครงข่ายไฟฟ้า
  3. ความหลากหลายในการใช้งาน – สามารถนำไปใช้ได้ในหลายภาคส่วน ทั้งการขนส่ง อุตสาหกรรม การผลิตไฟฟ้า และเป็นวัตถุดิบในกระบวนการทางเคมี
  4. ประสิทธิภาพเทียบเท่าน้ำมันเชื้อเพลิง – ให้พลังงานสูงและประหยัดกว่าน้ำมัน 40-60%
  5. กระตุ้นเศรษฐกิจ – สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจและโอกาสงานใหม่ในภาคพลังงานหมุนเวียน ขับเคลื่อนนวัตกรรมและดึงดูดการลงทุน

ข้อเสียของไฮโดรเจนสีเขียว

  1. ต้นทุนการผลิตสูง – ปัจจุบันมีต้นทุนการผลิตสูงกว่า 6-7 เหรียญสหรัฐ/กิโลไฮโดรเจน ซึ่งสูงกว่าราคานำเข้า
  2. ข้อจำกัดด้านโครงสร้างพื้นฐาน – ยังต้องการการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการผลิต จัดเก็บ และขนส่งในวงกว้าง
  3. สัดส่วนการผลิตน้อย – ปัจจุบันมีสัดส่วนเพียง 1% ของไฮโดรเจนทั้งหมดที่ผลิตได้ทั่วโลก9
  4. ขึ้นอยู่กับแหล่งพลังงานหมุนเวียน – ประสิทธิภาพการผลิตขึ้นอยู่กับความเข้มของแสงแดดหรือความเร็วลม ซึ่งแต่ละพื้นที่มีศักยภาพไม่เท่ากัน
  5. ต้องการการพัฒนาเทคโนโลยี – อิเล็กโทรลิซิสสำหรับการผลิตไฮโดรเจนสีเขียวยังจำเป็นต้องขยายขนาดและลดต้นทุนอย่างมีนัยสำคัญในอนาคต

2.ไฮโดรเจนสีเหลือง (Yellow Hydrogen)

ไฮโดรเจนสีเหลืองเป็นทางเลือกที่น่าสนใจในการผลิตพลังงานสะอาด โดยเป็นการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนและเชื้อเพลิงฟอสซิล ทำให้มีความยืดหยุ่นในการผลิตมากกว่าไฮโดรเจนสีเขียว ในขณะที่ยังคงมีการปล่อยคาร์บอนน้อยกว่าไฮโดรเจนสีเทาหรือสีน้ำตาล ไฮโดรเจนสีเหลืองจึงถูกมองว่าเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดอย่างเต็มรูปแบบ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีข้อจำกัดด้านแหล่งพลังงานหมุนเวียน

การผลิตไฮโดรเจนสีเหลือง

ไฮโดรเจนสีเหลืองผลิตจากพลังงานไฟฟ้าที่มาจากทั้งเชื้อเพลิงฟอสซิลและพลังงานทดแทน ร่วมกับกระบวนการอิเล็กโทรลิซิส (Electrolysis) กระบวนการนี้ใช้พลังงานไฟฟ้าในการแยกไฮโดรเจนออกจากน้ำ โดยความแตกต่างระหว่างไฮโดรเจนสีเหลืองกับไฮโดรเจนสีเขียวอยู่ที่พลังงานที่นำมาใช้ผลิตจะมีส่วนของเชื้อเพลิงฟอสซิลเข้ามาร่วมด้วย

บางแหล่งข้อมูลระบุว่าไฮโดรเจนสีเหลืองอาจหมายถึงไฮโดรเจนที่ผลิตจากกระบวนการแยกไฮโดรเจนจากน้ำด้วยพลังงานไฟฟ้าที่ได้มาจากแหล่งพลังงานหลากหลาย (mixed sources) หรืออาจเจาะจงว่าเป็นไฮโดรเจนที่พึ่งพาพลังงานแสงอาทิตย์โดยเฉพาะ

กระบวนการผลิตไฮโดรเจนสีเหลืองจึงเป็นทางเลือกที่ยืดหยุ่นกว่า เนื่องจากไม่จำเป็นต้องพึ่งพาแหล่งพลังงานหมุนเวียนเพียงอย่างเดียว ทำให้สามารถผลิตได้อย่างต่อเนื่องแม้ในช่วงที่แหล่งพลังงานหมุนเวียนไม่เสถียร

ข้อดีของไฮโดรเจนสีเหลือง

  1. ความยืดหยุ่นในการผลิต – สามารถผลิตได้โดยใช้แหล่งพลังงานผสมผสาน ทำให้มีความเสถียรในการผลิตมากกว่าการพึ่งพาพลังงานหมุนเวียนเพียงอย่างเดียว
  2. ต้นทุนต่ำกว่าไฮโดรเจนสีเขียว – เนื่องจากใช้พลังงานผสมผสานทำให้มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าการใช้พลังงานหมุนเวียนล้วน
  3. เป็นทางเลือกในช่วงเปลี่ยนผ่าน – เหมาะสำหรับเป็นทางเลือกในช่วงเปลี่ยนผ่านจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลไปสู่พลังงานสะอาด
  4. ลดการปล่อยคาร์บอนบางส่วน – แม้จะมีการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลร่วมด้วย แต่ก็ยังช่วยลดการปล่อยคาร์บอนเมื่อเทียบกับไฮโดรเจนสีเทาหรือสีน้ำตาล
  5. เหมาะกับพื้นที่ที่มีข้อจำกัดด้านพลังงานหมุนเวียน – สามารถผลิตได้ในพื้นที่ที่มีศักยภาพด้านพลังงานหมุนเวียนไม่สูงมาก

ข้อเสียของไฮโดรเจนสีเหลือง

  1. ยังคงมีการปล่อยคาร์บอน – เนื่องจากยังมีการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในกระบวนการผลิต จึงยังคงมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกบางส่วน
  2. ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเท่าไฮโดรเจนสีเขียว – ยังไม่ถือว่าเป็นพลังงานสะอาด 100% เหมือนไฮโดรเจนสีเขียว
  3. ต้นทุนการผลิตยังสูง – แม้จะต่ำกว่าไฮโดรเจนสีเขียว แต่ก็ยังสูงกว่าไฮโดรเจนสีเทาที่ผลิตจากเชื้อเพลิงฟอสซิลล้วน
  4. ขาดมาตรฐานที่ชัดเจน – ยังไม่มีการกำหนดสัดส่วนที่ชัดเจนระหว่างพลังงานหมุนเวียนและเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ใช้ในการผลิต
  5. ความท้าทายในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน – ต้องการการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการผลิต จัดเก็บ และขนส่ง เช่นเดียวกับไฮโดรเจนประเภทอื่น

3.ไฮโดรเจนสีชมพู (Pink Hydrogen)

ไฮโดรเจนสีชมพูเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับการผลิตพลังงานสะอาดโดยใช้พลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานที่มีความเสถียรและสามารถผลิตไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขั้นตอนการผลิตไฟฟ้า ไฮโดรเจนสีชมพูจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับประเทศที่มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์อยู่แล้ว และต้องการลดการปล่อยคาร์บอนในภาคพลังงาน ในขณะที่ยังสามารถผลิตไฮโดรเจนได้อย่างต่อเนื่องไม่ขึ้นกับสภาพอากาศเหมือนพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ

การผลิตไฮโดรเจนสีชมพู

ไฮโดรเจนสีชมพูผลิตโดยใช้พลังงานไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มาขับเคลื่อนกระบวนการอิเล็กโทรลิซิส (Electrolysis) เพื่อแยกน้ำเป็นไฮโดรเจนและออกซิเจน กระบวนการนี้ไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในขั้นตอนการผลิตไฮโดรเจน ทำให้เป็นทางเลือกที่มีคาร์บอนต่ำ

โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ผลิตไฟฟ้าโดยใช้ความร้อนจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิชชัน (nuclear fission) ซึ่งเกิดจากการแยกอะตอมของยูเรเนียมหรือพลูโตเนียม ความร้อนที่เกิดขึ้นจะถูกใช้ในการต้มน้ำให้กลายเป็นไอน้ำแรงดันสูง ซึ่งจะไปหมุนกังหันเพื่อผลิตไฟฟ้า

ข้อดีของการใช้พลังงานนิวเคลียร์คือสามารถผลิตไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง ไม่ขึ้นกับสภาพอากาศหรือเวลากลางวัน-กลางคืน ทำให้สามารถผลิตไฮโดรเจนได้อย่างสม่ำเสมอ

ข้อดีของไฮโดรเจนสีชมพู

  1. ไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขั้นตอนการผลิต – กระบวนการผลิตไฮโดรเจนสีชมพูไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ช่วยลดผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
  2. ความเสถียรในการผลิต – สามารถผลิตได้อย่างต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง ไม่ขึ้นกับสภาพอากาศหรือช่วงเวลากลางวัน-กลางคืน
  3. ประสิทธิภาพสูง – โรงไฟฟ้านิวเคลียร์มีประสิทธิภาพสูงในการผลิตไฟฟ้าปริมาณมาก ทำให้สามารถผลิตไฮโดรเจนได้ในปริมาณมากเช่นกัน
  4. ใช้พื้นที่น้อย – เมื่อเทียบกับพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์หรือลม โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ใช้พื้นที่น้อยกว่ามากในการผลิตไฟฟ้าปริมาณเท่ากัน
  5. เป็นทางเลือกสำหรับประเทศที่มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์อยู่แล้ว – สามารถใช้โครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่แล้วให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ข้อเสียของไฮโดรเจนสีชมพู

  1. ความกังวลด้านความปลอดภัย – โรงไฟฟ้านิวเคลียร์มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและอาจเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงได้ เช่น กรณีเชอร์โนบิลและฟูกูชิมา
  2. การจัดการกากนิวเคลียร์ – กระบวนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์ก่อให้เกิดกากนิวเคลียร์ที่มีรังสีและต้องใช้เวลานานในการสลายตัว
  3. ต้นทุนสูง – การก่อสร้างและบำรุงรักษาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มีต้นทุนสูง รวมถึงมาตรการความปลอดภัยที่เข้มงวด
  4. การยอมรับจากสังคม – พลังงานนิวเคลียร์ยังคงเป็นประเด็นที่มีการถกเถียงและไม่ได้รับการยอมรับจากสังคมในหลายประเทศ
  5. ข้อจำกัดด้านเทคโนโลยี – ไม่ใช่ทุกประเทศที่มีความพร้อมด้านเทคโนโลยีและบุคลากรในการพัฒนาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์

4.ไฮโดรเจนสีฟ้า (Blue Hydrogen)

ไฮโดรเจนสีฟ้าเป็นทางเลือกที่น่าสนใจในการลดการปล่อยคาร์บอนจากการผลิตไฮโดรเจนโดยใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ด้วยการนำเทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage – CCS) มาใช้ ทำให้สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 85-95% เมื่อเทียบกับไฮโดรเจนสีเทา ไฮโดรเจนสีฟ้าจึงเป็นตัวเลือกที่สำคัญในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด โดยเฉพาะในประเทศที่มีแหล่งก๊าซธรรมชาติจำนวนมากและมีความพร้อมด้านเทคโนโลยี CCS

การผลิตไฮโดรเจนสีฟ้า

ไฮโดรเจนสีฟ้าผลิตจากก๊าซธรรมชาติหรือถ่านหินผ่านกระบวนการ Steam Methane Reforming (SMR) หรือ Auto Thermal Reforming (ATR) ที่อุณหภูมิสูงประมาณ 800-1,000 องศาเซลเซียส โดยในกระบวนการนี้ ก๊าซธรรมชาติ (CH₄) จะทำปฏิกิริยากับไอน้ำ (H₂O) ภายใต้ความร้อนและความดันสูง เกิดเป็นไฮโดรเจน (H₂) และคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂)

สิ่งที่ทำให้ไฮโดรเจนสีฟ้าแตกต่างจากไฮโดรเจนสีเทาคือการนำเทคโนโลยี CCS มาใช้ในการดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิต แล้วนำไปกักเก็บใต้ดินหรือใต้ทะเลลึก ทำให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศได้มากกว่า 85-95%

ปัจจุบันมีโครงการผลิตไฮโดรเจนสีฟ้าขนาดใหญ่ในหลายประเทศ เช่น โครงการ H2H Saltend ในสหราชอาณาจักร และโครงการ H-Vision ในเนเธอร์แลนด์

ข้อดีของไฮโดรเจนสีฟ้า

  1. ลดการปล่อยคาร์บอนได้มาก – สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 85-95% เมื่อเทียบกับไฮโดรเจนสีเทา
  2. ต้นทุนต่ำกว่าไฮโดรเจนสีเขียว – ในปัจจุบัน ไฮโดรเจนสีฟ้ามีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าไฮโดรเจนสีเขียวประมาณ 50%
  3. ใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่แล้ว – สามารถใช้โครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีการผลิตที่มีอยู่แล้วในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี
  4. เป็นทางเลือกในช่วงเปลี่ยนผ่าน – เหมาะสำหรับเป็นทางเลือกในช่วงเปลี่ยนผ่านจากเชื้อเพลิงฟอสซิลไปสู่พลังงานสะอาด
  5. สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมก๊าซธรรมชาติ – ช่วยให้อุตสาหกรรมก๊าซธรรมชาติสามารถปรับตัวสู่อนาคตที่มีคาร์บอนต่ำ

ข้อเสียของไฮโดรเจนสีฟ้า

  1. ยังคงพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล – ยังคงต้องใช้ก๊าซธรรมชาติหรือถ่านหินในกระบวนการผลิต ซึ่งเป็นทรัพยากรที่มีจำกัด
  2. ไม่สามารถดักจับคาร์บอนได้ 100% – เทคโนโลยี CCS ในปัจจุบันยังไม่สามารถดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ทั้งหมด
  3. ความท้าทายในการกักเก็บคาร์บอน – การหาพื้นที่ที่เหมาะสมและปลอดภัยสำหรับการกักเก็บคาร์บอนระยะยาวยังเป็นความท้าทาย
  4. ต้นทุนเทคโนโลยี CCS สูง – การติดตั้งและดำเนินการระบบดักจับและกักเก็บคาร์บอนมีต้นทุนสูง ทำให้ราคาไฮโดรเจนสีฟ้าสูงกว่าไฮโดรเจนสีเทา
  5. การรั่วไหลของมีเทน – ในกระบวนการผลิตและขนส่งก๊าซธรรมชาติอาจมีการรั่วไหลของก๊าซมีเทน ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่มีผลกระทบต่อโลกร้อนมากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 25-86 เท่า

5.ไฮโดรเจนสีเทา (Grey Hydrogen)

ไฮโดรเจนสีเทาเป็นประเภทที่มีการผลิตมากที่สุดในปัจจุบัน คิดเป็นประมาณ 95% ของไฮโดรเจนทั้งหมดที่ผลิตได้ทั่วโลก เนื่องจากมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำและใช้เทคโนโลยีที่พัฒนามายาวนาน อย่างไรก็ตาม ไฮโดรเจนสีเทามีข้อเสียสำคัญคือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณมาก ทำให้ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในยุคที่ทั่วโลกกำลังมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ไฮโดรเจนสีเทาจึงถูกมองว่าเป็นเทคโนโลยีที่กำลังถูกแทนที่ด้วยทางเลือกที่สะอาดกว่า

การผลิตไฮโดรเจนสีเทา

ไฮโดรเจนสีเทาผลิตจากเชื้อเพลิงฟอสซิล โดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติ ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า Steam Methane Reforming (SMR) ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้กันอย่างแพร่หลายที่สุดในอุตสาหกรรม ในกระบวนการนี้ ก๊าซมีเทน (CH₄) จะทำปฏิกิริยากับไอน้ำ (H₂O) ที่อุณหภูมิสูงประมาณ 700-1,000 องศาเซลเซียส และความดันสูง โดยมีตัวเร่งปฏิกิริยาเป็นนิกเกิล

ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นคือ:
CH₄ + H₂O (ไอน้ำ) → CO + 3H₂ (ไฮโดรเจน)
CO + H₂O → CO₂ + H₂

จากปฏิกิริยานี้ จะได้ไฮโดรเจนเป็นผลิตภัณฑ์หลัก และคาร์บอนไดออกไซด์เป็นผลพลอยได้ โดยในกระบวนการผลิตไฮโดรเจน 1 ตัน จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 9-12 ตัน ซึ่งถูกปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศโดยตรง ต่างจากไฮโดรเจนสีฟ้าที่มีการดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์

ข้อดีของไฮโดรเจนสีเทา

  1. ต้นทุนการผลิตต่ำ – มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าไฮโดรเจนประเภทอื่นๆ ประมาณ 1-2 เหรียญสหรัฐ/กิโลกรัม
  2. เทคโนโลยีที่พัฒนาแล้ว – ใช้เทคโนโลยีที่มีการพัฒนาและใช้งานมานานกว่า 50 ปี มีความเสถียรและเชื่อถือได้
  3. โครงสร้างพื้นฐานพร้อม – มีโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการผลิต จัดเก็บ และขนส่งที่พัฒนาแล้ว
  4. ผลิตได้ในปริมาณมาก – สามารถผลิตได้ในปริมาณมากเพื่อตอบสนองความต้องการในอุตสาหกรรมต่างๆ
  5. ไม่ขึ้นกับสภาพอากาศ – สามารถผลิตได้อย่างต่อเนื่องไม่ว่าสภาพอากาศจะเป็นอย่างไร ต่างจากไฮโดรเจนสีเขียวที่ต้องพึ่งพาพลังงานหมุนเวียน

ข้อเสียของไฮโดรเจนสีเทา

  1. ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง – ในการผลิตไฮโดรเจน 1 ตัน จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 9-12 ตัน
  2. ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม – ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและไม่สอดคล้องกับเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
  3. พึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล – ต้องใช้ก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นทรัพยากรที่มีจำกัดและราคาผันผวน
  4. ไม่ได้รับการสนับสนุนในอนาคต – หลายประเทศมีนโยบายลดการสนับสนุนเชื้อเพลิงฟอสซิลและหันไปสนับสนุนพลังงานสะอาดมากขึ้น
  5. ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ – อาจเผชิญกับภาษีคาร์บอนหรือข้อจำกัดด้านการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอนาคต

6.ไฮโดรเจนสีฟ้าน้ำทะเล (Turquoise Hydrogen)

ไฮโดรเจนสีฟ้าน้ำทะเลเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่กำลังได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นทางเลือกที่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บคาร์บอนที่ซับซ้อนและมีต้นทุนสูง ไฮโดรเจนสีฟ้าน้ำทะเลจึงถูกมองว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจไฮโดรเจน โดยเฉพาะในประเทศที่มีแหล่งก๊าซธรรมชาติจำนวนมาก

การผลิตไฮโดรเจนสีฟ้าน้ำทะเล

ไฮโดรเจนสีฟ้าน้ำทะเลผลิตโดยใช้กระบวนการ Methane Pyrolysis หรือการแยกสลายมีเทนด้วยความร้อน (Thermal Decomposition) ซึ่งเป็นการแยกก๊าซมีเทน (CH₄) ออกเป็นไฮโดรเจน (H₂) และคาร์บอนในรูปของแข็ง (Carbon Black) โดยไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นคือ:
CH₄ → C (ของแข็ง) + 2H₂

กระบวนการนี้ต้องใช้พลังงานความร้อนสูงประมาณ 650-1,200 องศาเซลเซียส และอาจใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาเพื่อลดอุณหภูมิที่ต้องใช้ เทคโนโลยีนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาและยังไม่มีการใช้งานในเชิงพาณิชย์อย่างแพร่หลาย

ข้อดีของกระบวนการนี้คือไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์โดยตรง และคาร์บอนที่ได้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การผลิตยางรถยนต์ แบตเตอรี่ หรือวัสดุก่อสร้าง

ข้อดีของไฮโดรเจนสีฟ้าน้ำทะเล

  1. ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก – ไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์โดยตรงในกระบวนการผลิต
  2. ได้ผลิตภัณฑ์พลอยได้ที่มีมูลค่า – คาร์บอนที่ได้จากกระบวนการสามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ สร้างมูลค่าเพิ่ม
  3. ไม่ต้องใช้เทคโนโลยี CCS – ไม่จำเป็นต้องลงทุนในระบบดักจับและกักเก็บคาร์บอนที่มีต้นทุนสูง
  4. ใช้โครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ – สามารถใช้โครงสร้างพื้นฐานด้านก๊าซธรรมชาติที่มีอยู่แล้ว
  5. ต้นทุนต่ำกว่าไฮโดรเจนสีเขียว – มีศักยภาพที่จะมีต้นทุนต่ำกว่าไฮโดรเจนสีเขียวในอนาคต

ข้อเสียของไฮโดรเจนสีฟ้าน้ำทะเล

  1. เทคโนโลยียังอยู่ในขั้นพัฒนา – ยังไม่มีการใช้งานในเชิงพาณิชย์อย่างแพร่หลาย และต้องการการวิจัยและพัฒนาเพิ่มเติม
  2. ใช้พลังงานสูง – กระบวนการ Pyrolysis ต้องใช้พลังงานความร้อนสูง ซึ่งหากใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลก็จะยังคงมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อม
  3. ความท้าทายในการจัดการคาร์บอน – ต้องมีตลาดรองรับคาร์บอนที่ผลิตได้ในปริมาณมาก
  4. ต้นทุนการลงทุนเริ่มต้นสูง – การสร้างโรงงานผลิตไฮโดรเจนสีฟ้าน้ำทะเลต้องใช้เงินลงทุนสูงในช่วงเริ่มต้น เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีใหม่
  5. ข้อจำกัดด้านการขยายขนาด – ยังมีความท้าทายในการขยายขนาดการผลิตให้ใหญ่พอที่จะตอบสนองความต้องการในระดับอุตสาหกรรม

7.ไฮโดรเจนสีดำและน้ำตาล (Black and Brown Hydrogen)

ไฮโดรเจนสีดำและน้ำตาลเป็นประเภทที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงที่สุดในบรรดาไฮโดรเจนทั้งหมด เนื่องจากผลิตจากถ่านหินซึ่งเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิลที่มีคาร์บอนสูง ไฮโดรเจนประเภทนี้มีการใช้งานมานานในอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในประเทศที่มีแหล่งถ่านหินจำนวนมาก เช่น จีน อินเดีย และออสเตรเลีย อย่างไรก็ตาม ด้วยผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่รุนแรง ทำให้ไฮโดรเจนสีดำและน้ำตาลกำลังถูกลดบทบาทลงในยุคที่ทั่วโลกมุ่งสู่พลังงานสะอาด

การผลิตไฮโดรเจนสีดำและน้ำตาล

ไฮโดรเจนสีดำผลิตจากถ่านหินบิทูมินัส (ถ่านหินสีดำ) ในขณะที่ไฮโดรเจนสีน้ำตาลผลิตจากลิกไนต์ (ถ่านหินสีน้ำตาล) ซึ่งมีคุณภาพต่ำกว่า กระบวนการผลิตที่ใช้คือการแปรรูปถ่านหินด้วยไอน้ำ (Coal Gasification) โดยนำถ่านหินมาทำปฏิกิริยากับไอน้ำและออกซิเจนภายใต้ความดันและอุณหภูมิสูง (800-1,800 องศาเซลเซียส)

ในกระบวนการนี้ ถ่านหินจะถูกเปลี่ยนเป็นก๊าซสังเคราะห์ (Syngas) ซึ่งประกอบด้วยไฮโดรเจน คาร์บอนมอนอกไซด์ และคาร์บอนไดออกไซด์ จากนั้นจะผ่านกระบวนการ Water-Gas Shift Reaction เพื่อเพิ่มปริมาณไฮโดรเจนและแยกก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออก

ในการผลิตไฮโดรเจน 1 ตัน จากถ่านหินจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 18-20 ตัน ซึ่งสูงกว่าการผลิตจากก๊าซธรรมชาติถึง 2 เท่า

ข้อดีของไฮโดรเจนสีดำและน้ำตาล

  1. ต้นทุนวัตถุดิบต่ำ – ถ่านหินมีราคาถูกกว่าก๊าซธรรมชาติในหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่มีแหล่งถ่านหินจำนวนมาก
  2. เทคโนโลยีที่พัฒนาแล้ว – เทคโนโลยีการแปรรูปถ่านหินมีการพัฒนาและใช้งานมานาน มีความเสถียรและเชื่อถือได้
  3. ความมั่นคงด้านพลังงาน – ประเทศที่มีแหล่งถ่านหินสามารถพึ่งพาทรัพยากรภายในประเทศได้ ลดการนำเข้าพลังงาน
  4. ผลิตได้ในปริมาณมาก – สามารถผลิตไฮโดรเจนได้ในปริมาณมากเพื่อตอบสนองความต้องการในอุตสาหกรรมหนัก
  5. ไม่ขึ้นกับสภาพอากาศ – สามารถผลิตได้อย่างต่อเนื่องไม่ว่าสภาพอากาศจะเป็นอย่างไร

ข้อเสียของไฮโดรเจนสีดำและน้ำตาล

  1. ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงมาก – มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงที่สุดในบรรดาไฮโดรเจนทุกประเภท
  2. มลพิษทางอากาศ – การเผาไหม้ถ่านหินก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ เช่น ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ไนโตรเจนออกไซด์ และฝุ่นละออง
  3. ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการทำเหมือง – การทำเหมืองถ่านหินส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ คุณภาพน้ำ และการใช้ที่ดิน
  4. ไม่สอดคล้องกับเป้าหมายการลดคาร์บอน – ขัดแย้งกับเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและข้อตกลงปารีส
  5. แนวโน้มการเลิกใช้ถ่านหิน – หลายประเทศมีนโยบายลดและเลิกใช้ถ่านหินในอนาคต ทำให้ไฮโดรเจนประเภทนี้มีแนวโน้มลดลง

สรุปเปรียบเทียบไฮโดรเจนทั้ง 7 ประเภท

ประเภทแหล่งพลังงานกระบวนการผลิตการปล่อยคาร์บอนต้นทุนโดยประมาณข้อดีหลักข้อเสียหลัก
ไฮโดรเจนสีเขียวพลังงานหมุนเวียน (ลม, แสงอาทิตย์)อิเล็กโทรลิซิสไม่มี (0 CO₂)5-6 USD/kg– เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 100%
– ยั่งยืนในระยะยาว
– ต้นทุนสูง
– ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ
ไฮโดรเจนสีเหลืองพลังงานผสมผสาน (หมุนเวียนและฟอสซิล)อิเล็กโทรลิซิสปานกลาง3-5 USD/kg– มีความยืดหยุ่นในการผลิต
– เสถียรกว่าสีเขียว
– ยังมีการปล่อยคาร์บอน
– ขาดมาตรฐานที่ชัดเจน
ไฮโดรเจนสีชมพูพลังงานนิวเคลียร์อิเล็กโทรลิซิสต่ำมาก3-5 USD/kg– ผลิตได้ต่อเนื่อง 24 ชม.
– ไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก
– ความกังวลด้านความปลอดภัย
– การจัดการกากนิวเคลียร์
ไฮโดรเจนสีฟ้าก๊าซธรรมชาติSteam Methane Reforming + CCSต่ำ (ลดลง 85-95%)2-3 USD/kg– ต้นทุนต่ำกว่าสีเขียว
– ใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่แล้ว
– ยังพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล
– ดักจับคาร์บอนไม่ได้ 100%
ไฮโดรเจนสีเทาก๊าซธรรมชาติSteam Methane Reformingสูง (9-12 ตัน CO₂/ตัน H₂)1-2 USD/kg– ต้นทุนต่ำที่สุด
– เทคโนโลยีพัฒนาแล้ว
– ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง
– ไม่สอดคล้องกับเป้าหมายลดคาร์บอน
ไฮโดรเจนสีฟ้าน้ำทะเลก๊าซธรรมชาติMethane Pyrolysisต่ำมาก (ได้คาร์บอนเป็นของแข็ง)2-3 USD/kg– ไม่ปล่อย CO₂ โดยตรง
– ได้ผลิตภัณฑ์พลอยได้มีมูลค่า
– เทคโนโลยียังอยู่ในขั้นพัฒนา
– ใช้พลังงานสูง
ไฮโดรเจนสีดำ/น้ำตาลถ่านหินสีดำ/ลิกไนต์Coal Gasificationสูงมาก (18-20 ตัน CO₂/ตัน H₂)1.5-2.5 USD/kg– ต้นทุนวัตถุดิบต่ำ
– เหมาะกับประเทศที่มีถ่านหินมาก
– ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงที่สุด
– มลพิษทางอากาศสูง

บทสรุป

ไฮโดรเจนทั้ง 7 ประเภทแสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการของเทคโนโลยีพลังงานที่กำลังเปลี่ยนผ่านจากเชื้อเพลิงฟอสซิลสู่พลังงานสะอาด โดยไฮโดรเจนสีเขียวถือเป็นเป้าหมายสูงสุดด้วยการไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก แม้จะมีต้นทุนสูงในปัจจุบัน ขณะที่ไฮโดรเจนสีฟ้าและสีฟ้าน้ำทะเลเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในช่วงเปลี่ยนผ่าน ด้วยการลดการปล่อยคาร์บอนได้มากกว่าไฮโดรเจนสีเทา สีดำและสีน้ำตาล การพัฒนาเทคโนโลยีและการลดต้นทุนจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ไฮโดรเจนสีเขียวกลายเป็นพลังงานหลักในอนาคต ซึ่งจะช่วยให้โลกบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนและการพัฒนาที่ยั่งยืน

ท้ายที่สุด การเลือกใช้ไฮโดรเจนประเภทใดขึ้นอยู่กับบริบทของแต่ละประเทศ ทั้งด้านทรัพยากรธรรมชาติ โครงสร้างพื้นฐาน นโยบายพลังงาน และเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งการผสมผสานเทคโนโลยีที่หลากหลายอาจเป็นแนวทางที่เหมาะสมที่สุดในการเปลี่ยนผ่านสู่อนาคตพลังงานที่ยั่งยืน

Photo : freepik

ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตพลังงานและขยะอิเล็กทรอนิกส์ นักวิทยาศาสตร์จากห้องปฏิบัติการ Empa ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ด้วยการพัฒนาแบตเตอรี่มีชีวิตที่ทำจากเชื้อรา

ซึ่งเป็นแบตเตอรี่ที่สามารถย่อยสลายตัวเองได้หลังใช้งาน เพียงแค่เติมน้ำและสารอาหารก็พร้อมทำงาน และที่สำคัญมีความปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม 100% นี่คือนวัตกรรมที่ผสานความมหัศจรรย์ของธรรมชาติเข้ากับเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ แบตเตอรี่ชีวภาพนี้อาศัยการทำงานร่วมกันของเชื้อราสองชนิด – ยีสต์ที่ปล่อยอิเล็กตรอน และเชื้อราขาวที่ทำหน้าที่จับอิเล็กตรอน สามารถผลิตไฟฟ้าได้ต่อเนื่องหลายวันด้วยพลังงาน 300-600 มิลลิโวลต์

แม้จะมีขนาดจิ๋ว แต่แบตเตอรี่มีชีวิตนี้อาจเป็นกุญแจสำคัญในการแก้ปัญหาพลังงานของโลก ด้วยคุณสมบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและความสามารถในการย่อยสลายตัวเอง มันจึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการใช้งานในอุปกรณ์เซนเซอร์ขนาดเล็ก ทั้งในพื้นที่ห่างไกล งานด้านการเกษตร หรือแม้แต่ภารกิจสำรวจอวกาศ นวัตกรรมนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติวงการพลังงานสะอาดที่โลกกำลังรอคอย

ความเป็นมาของการวิจัยแบตเตอรี่จากเชื้อรา

นักวิจัยจากห้องปฏิบัติการ Empa ในสวิตเซอร์แลนด์ได้พัฒนาแบตเตอรี่ชีวภาพที่ทำจากเชื้อราสองชนิด ในโครงการวิจัยที่ใช้เวลา 3 ปี โดยได้รับทุนสนับสนุนจาก Gebert Rüf Stiftung ภายใต้โครงการ Microbials ทีมวิจัยนำโดย Dr. Carolina Reyes และ Dr. Gustav Nyström ได้พัฒนาเทคนิคการผสมเซลล์เชื้อราลงในหมึกพิมพ์ที่ทำจากเซลลูโลส เพื่อสร้างขั้วไฟฟ้าด้วยเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ

การค้นพบที่สำคัญคือ การผสมผสานเชื้อราสองชนิดเข้าด้วยกัน โดยใช้ยีสต์ที่ปล่อยอิเล็กตรอนเป็นขั้วลบ และเชื้อราขาวที่ผลิตเอนไซม์พิเศษเป็นขั้วบวก ทำให้สามารถผลิตไฟฟ้าได้ 300-600 มิลลิโวลต์ ปัจจุบันทีมวิจัยกำลังพัฒนาต่อยอดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าและความทนทาน รวมถึงการทดลองใช้เชื้อราชนิดอื่นๆ ที่อาจเหมาะสมกว่าในการผลิตไฟฟ้า ความสำเร็จของงานวิจัยนี้อาจนำไปสู่การพัฒนาแหล่งพลังงานทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะสำหรับอุปกรณ์เซ็นเซอร์ในพื้นที่ห่างไกลหรืองานวิจัยด้านสิ่งแวดล้อม

การผลิตแบตเตอรี่จากเชื้อรา

การผลิตแบตเตอรี่จากเชื้อราเป็นนวัตกรรมที่น่าสนใจ ซึ่งผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติและความมหัศจรรย์ของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก โดยใช้วัสดุหลักคือเชื้อราสองชนิด ได้แก่ ยีสต์ขนมปัง (Saccharomyces cerevisiae) ที่ทำหน้าที่เป็นขั้วลบ และราผุสีขาว (Trametes pubescens) ที่ทำหน้าที่เป็นขั้วบวก

ส่วนประกอบสำคัญอีกอย่างคือหมึกพิมพ์พิเศษที่ทำจากนาโนคริสตัลเซลลูโลสและนาโนไฟบริลเซลลูโลส ผสมกับคาร์บอนแบล็กและเกล็ดกราไฟต์ วัสดุเหล่านี้ไม่เพียงทำหน้าที่เป็นโครงสร้างให้เชื้อราเติบโต แต่ยังช่วยนำไฟฟ้าได้ดีอีกด้วย โดยสรุปแล้ว วัสดุสำหรับทำหมึกพิมพ์ จะประกอบไปด้วย

  • เกล็ดกราไฟต์
  • นาโนคริสตัลเซลลูโลส
  • นาโนไฟบริลเซลลูโลส
  • คาร์บอนแบล็ก

กระบวนการผลิตอาศัยเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ ที่จะขึ้นรูปแบตเตอรี่โดยผสมเชื้อราลงในหมึกพิมพ์พิเศษ เมื่อต้องการใช้งาน เพียงเติมน้ำและสารอาหารเพื่อกระตุ้นให้เชื้อราทำงาน แบตเตอรี่จะเริ่มผลิตไฟฟ้าได้ทันที

กระบวนการทำงานของแบตเตอรี่จากเชื้อรา

แบตเตอรี่ชนิดนี้ทำงานในรูปแบบของเซลล์เชื้อเพลิงจุลินทรีย์ (Microbial Fuel Cell) โดยอาศัยความร่วมมือระหว่างเชื้อราสองชนิดที่มีคุณสมบัติพิเศษในการผลิตและถ่ายโอนอิเล็กตรอน ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าที่สามารถนำไปใช้งานได้จริง และยังมีความพิเศษตรงที่สามารถเก็บรักษาในสภาพแห้งและกระตุ้นให้ทำงานได้ด้วยการเติมน้ำและสารอาหาร เปรียบเสมือนการปลุกชีวิตให้กับแบตเตอรี่ ทำให้สะดวกต่อการเก็บรักษาและขนส่ง

การทำงานของขั้วไฟฟ้า

  • ขั้วบวก (แอโนด): ยีสต์ขนมปังจะเผาผลาญน้ำตาลและปล่อยอิเล็กตรอนออกมา
  • ขั้วลบ (แคโทด): ราผุสีขาวผลิตเอนไซม์พิเศษที่ช่วยจับและถ่ายโอนอิเล็กตรอน

วงจรการผลิตไฟฟ้า

  • อิเล็กตรอนที่ถูกปล่อยจากยีสต์จะเคลื่อนที่ผ่านวัสดุนำไฟฟ้าในหมึกพิมพ์
  • อิเล็กตรอนจะเดินทางผ่านสายไฟภายนอกไปยังขั้วแคโทด
  • ที่ขั้วแคโทด อิเล็กตรอนจะรวมตัวกับออกซิเจนและน้ำ เพื่อครบวงจรและปล่อยพลังงานออกมา

การกระตุ้นการทำงาน

  • แบตเตอรี่สามารถเก็บในสภาพแห้งได้
  • เมื่อต้องการใช้งาน เพียงเติมน้ำและสารอาหารเพื่อกระตุ้นเชื้อรา
  • สามารถผลิตไฟฟ้าได้ 300-600 มิลลิโวลต์ต่อเนื่องหลายวัน

ข้อดีของแบตเตอรี่จากเชื้อรา

  • เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 100% เพราะย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ
  • ต้นทุนการผลิตต่ำ เนื่องจากใช้วัสดุที่หาได้ง่ายและกระบวนการผลิตไม่ซับซ้อน
  • สามารถเก็บรักษาในสภาพแห้งได้นาน ทำให้สะดวกในการขนส่งและจัดเก็บ
  • กระตุ้นการทำงานได้ง่ายเพียงเติมน้ำและสารอาหาร
  • ไม่มีสารเคมีอันตราย จึงปลอดภัยต่อผู้ใช้งานและสิ่งแวดล้อม
  • สามารถผลิตได้ด้วยเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ ทำให้ปรับแต่งรูปแบบได้ตามต้องการ
  • เหมาะสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็กที่ต้องการพลังงานต่ำ
  • มีความเสถียรในการผลิตไฟฟ้าต่อเนื่องได้หลายวัน
  • ไม่ต้องการการบำรุงรักษาพิเศษ เพียงเติมน้ำและสารอาหารตามกำหนด
  • มีศักยภาพในการพัฒนาต่อยอดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในอนาคต

ข้อสังเกตของแบตเตอรี่จากเชื้อรา

แม้ว่าแบตเตอรี่เชื้อราจะเป็นนวัตกรรมที่น่าสนใจและมีศักยภาพสูง แต่ยังมีประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณาในการพัฒนาต่อยอด การทำความเข้าใจข้อจำกัดและความท้าทายต่างๆ จะช่วยให้การพัฒนาเทคโนโลยีนี้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

  • กำลังการผลิตไฟฟ้ายังอยู่ในระดับต่ำ (300-600 มิลลิโวลต์) จึงจำกัดการใช้งานเฉพาะอุปกรณ์ที่ต้องการพลังงานต่ำเท่านั้น
  • อายุการใช้งานยังสั้น (2-3 วัน) เมื่อเทียบกับแบตเตอรี่ทั่วไป ต้องมีการเติมสารอาหารและน้ำบ่อยครั้ง
  • ความเสถียรของเชื้อราอาจแปรผันตามสภาพแวดล้อม เช่น อุณหภูมิ ความชื้น และปริมาณออกซิเจน
  • การควบคุมคุณภาพในการผลิตเชิงอุตสาหกรรมอาจทำได้ยาก เนื่องจากใช้สิ่งมีชีวิตเป็นวัตถุดิบหลัก
  • ต้องมีการควบคุมการเติบโตของเชื้อราให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อป้องกันการแพร่กระจายที่ไม่พึงประสงค์
  • การเก็บรักษาในสภาพแห้งอาจส่งผลต่อความมีชีวิตของเชื้อรา จำเป็นต้องมีการศึกษาอายุการเก็บรักษาที่เหมาะสม
  • ต้นทุนการผลิตอาจสูงขึ้นเมื่อผลิตในระดับอุตสาหกรรม เนื่องจากต้องควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวด

แผนการพัฒนาแบตเตอรี่จากเชื้อรา

ในปัจจุบัน แผนการพัฒนาแบตเตอรี่เชื้อราในอนาคตมีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยทีมวิจัยจาก Empa มีเป้าหมายการพัฒนาหลายด้าน ทีมวิจัยกำลังมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้าให้มีกำลังมากขึ้น ควบคู่ไปกับการพัฒนาให้แบตเตอรี่มีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการค้นหาและทดสอบเชื้อราชนิดใหม่ๆ ที่อาจมีประสิทธิภาพดีกว่าชนิดที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน โดยมุ่งหวังที่จะพัฒนาให้แบตเตอรี่ชีวภาพนี้มีความเสถียรและเชื่อถือได้มากขึ้น

นักวิจัยมองเห็นศักยภาพในการประยุกต์ใช้งานที่หลากหลาย โดยเฉพาะในด้านไมโครคอมพิวเตอร์กำลังต่ำและการพัฒนาหุ่นยนต์นุ่ม (Soft robots) ซึ่งต้องการแหล่งพลังงานที่มีความยืดหยุ่นและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะนำไปใช้ในไมโครคอนโทรลเลอร์และระบบการเรียนรู้ของเครื่อง รวมถึงการพัฒนาเพื่อใช้ในการสำรวจอวกาศ ซึ่งต้องการแบตเตอรี่ที่มีน้ำหนักเบาและสามารถย่อยสลายได้

อย่างไรก็ตาม ทาง Empa ยังไม่ได้เปิดเผยแผนการผลิตเชิงพาณิชย์อย่างเป็นทางการ แต่กำลังมุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ให้ดียิ่งขึ้น โดยคาดว่าในอนาคตอันใกล้ จะมีการทดสอบการใช้งานในสภาพแวดล้อมจริงมากขึ้น เพื่อประเมินความเป็นไปได้ในการผลิตเชิงพาณิชย์ต่อไป

บทสรุป

แบตเตอรี่เชื้อราเป็นนวัตกรรมที่น่าจับตามองในวงการพลังงานสะอาด ด้วยการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีชีวภาพและการพิมพ์ 3 มิติ ทำให้ได้แหล่งพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง แม้ว่าในปัจจุบัน แบตเตอรี่ชนิดนี้จะยังมีข้อจำกัดในด้านกำลังการผลิตไฟฟ้าและอายุการใช้งาน แต่ด้วยคุณสมบัติพิเศษที่สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ และความสามารถในการเก็บรักษาในสภาพแห้ง ทำให้มีศักยภาพสูงในการพัฒนาต่อยอด

ทีมวิจัยจาก Empa กำลังมุ่งมั่นพัฒนาประสิทธิภาพในหลายด้าน ทั้งการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้า การยืดอายุการใช้งาน และการค้นหาเชื้อราชนิดใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยคาดว่าในอนาคตอันใกล้ เทคโนโลยีนี้จะสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริงในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็ก ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาแหล่งพลังงานทางเลือกที่ยั่งยืน

นวัตกรรมนี้ไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ในการใช้สิ่งมีชีวิตผลิตพลังงาน แต่ยังเป็นตัวอย่างที่ดีของการพัฒนาเทคโนโลยีที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมตั้งแต่กระบวนการผลิตไปจนถึงการกำจัดทิ้ง ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง