ในงาน IAA Transportation 2024 ทาง CATL หรือชื่อเต็มๆ Contemporary Amperex Technology Co., Limited ผู้ผลิตแบตเตอรี่ระดับโลก หรือจะเรียกได้ว่าเป็นเบอร์ 1 ในตลาดแบตเตอรี่ก็ว่าได้ ได้เปิดตัวแบตเตอรี่รุ่นใหม่ที่มีชื่อว่า “Tecrtrans” ที่มีอายุการใช้งานมากถึง 1.5 ล้านกิโลเมตร ใช้ได้ยาวนานสูงสุดถึง 15 ปี และทาง CATL ยังมีการรับประกันให้ 10 ปี ซึ่งถือว่าอาจจะเป็นการปฏิวัติวางการรถบรรทุกไฟฟ้าของโลกเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นแบเตอรี่ที่ใช้งานได้ยาวนาน และมีความทนทานมาก ทำให้ผู้ผลิตรถบรรทุกน่าจะเริ่มนำไปใช้กันมากยิ่งขึ้น

แบตเตอรี่ Tectrans พลิกโฉมอุตสาหกรรมการขนส่ง

แบตเตอรี่ Tectrans รุ่นใหม่คาดกันว่าจะเป็นการพลิกโฉมอุตสาหกรรมการขนส่งกันเลยทีเดียว แบตเตอรี่มีความหนาแน่นของพลังงานมากถึง 175 Wh/kg ชาร์จครั้งเดียวสามารถวิ่งได้ระยะทางไกลกว่าเดิม ในการเปิดตัวแบตเตอรี่ใหม่ครั้งนี้ มีการเปิดมาใน 2 เวอร์ชั่น นั่นก็คือ TECTRANS – T Superfast Charging Edition และ TECTRANS – T Long Life Edition โดยรุ่นชาร์จเร็วพิเศษ TECTRANS – T Superfast Charging Edition นั้นสามารถชาร์จได้ถึง 70% โดยใช้เวลาเพียง 15 นาทีเท่านั้น ซึ่งจะช่วยให้การใช้งานรถบรรทุกทำได้ดีขึ้น ไม่ต้องรอชาร์จนานๆ อีกต่อไป ส่วนอีกรุ่น TECTRANS – T Long Life Edition มีจุดเด่นในเรื่องของอายุการใช้งานที่ยาวนานมากถึง 15 ปี ซึ่งเน้นไปทีความทนทานเป็นพิเศษ เหมาะกับการใช้งานเชิงพาณิชย์ที่ต้องการรถบรรทุกสำหรับการใช้งานหนัก เช่น การวิ่งขนส่งในระยะทางไกลๆ อย่างต่อเนื่อง เป็นต้น

แบตเตอรี่ทั้ง 2 รุ่นนี้ ชาร์จเต็ม 100% จะสามารถวิ่งได้ระยะทางสูงสุด 500 กิโลเมตร เป็นระยะทางที่มีความเหมาะสมในภาคขนส่ง ทำให้รองรับการขนส่งในระยะทางไกลๆ ได้ ในเรื่องของความปลอดภัยนั้น แบตเตอรี่ TECTRANS พร้อมใช้งานในประเทศโซนร้อนที่อุณหภูมิกว่า 45°C ทนทานต่ออากาศหนาวติดลบ -35°C ซึ่งมีการทดลองใช้งานในประเทศโซนร้อนอย่างการ์ตา , ดูไบ และในประเทศที่หนาวติดลบอย่าง นอร์เวร์ และสวีเดน เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตัวแบตเตอรี่สามารถกันน้ำได้ในระดับ IP69 ที่สามารถต้านแรงดันฝุ่นแลแรงดันน้ำในระดับสูงได้ สามารถทนต่อการจมอยู่ในน้ำได้นานมากถึง 72 ชั่วโมง

สำหรับแบตเตอรี่รุ่นใหม่มี จะออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ใน 3 กลุ่มด้วยกันคือ

  • Tectrans – T สำหรับรถบรรทุกไฟฟ้าสำหรับงานหนัก
  • Tectrans – L (L-Series) สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อการพาณิชย์ทั่วไป
  • Tectrans – B (Bus Edition) สำหรับรถบัสไฟฟ้า

จุดเด่นของ แบตเตอรี่ Tectrans

  • อายุการใช้งานยาวนาน หนึ่งในจุดเด่นที่สำคัญที่สุดของแบตเตอรี่ Tectrans คืออายุการใช้งานที่ยาวนานถึง 15 ปี และสามารถวิ่งได้ระยะทางสูงสุดถึง 1.5 ล้านกิโลเมตร ทำให้ลดต้นทุนในการเปลี่ยนแบตเตอรี่และเพิ่มความคุ้มค่าในการลงทุน
  • ความหนาแน่นของพลังงานสูง แบตเตอรี่ Tectrans มีความหนาแน่นของพลังงานสูง ทำให้สามารถเก็บพลังงานได้มากขึ้นในขนาดที่เท่ากัน ส่งผลให้รถยนต์ไฟฟ้าสามารถวิ่งได้ระยะทางไกลขึ้น
  • เทคโนโลยีที่ทันสมัย แบตเตอรี่ Tectrans ผลิตโดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย ทำให้มีความปลอดภัยสูง และสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย
  • การรับประกัน แบตเตอรี่ Tectrans มาพร้อมกับการรับประกัน 10 ปี หรือ 1 ล้านกิโลเมตร ซึ่งเป็นการการันตีถึงคุณภาพและความทนทาน

ล่าสุดทาง CATL ได้มีความร่วมมือกับผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ถึง 13 รายด้วยกันอาทิเช่น Yutong Bus, Golden Dragon และ Dongfeng Moto เพื่อนำเทคโนโลยีและแบตเตอรี่รุ่นใหม่นี้ไปใช้กับรถเมล์ไฟฟ้า 80 รุ่น และยังจะมีการนำไปใช้กับรถบรรทุกไฟฟ้าอีกด้วย ซึ่งคาดว่าจะมีการเริ่มผลิตในแบบจำนวนมากเร็วๆ นี้

และทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของแบตเตอรี่รุ่นใหม่ล่าสุด Tectrans ที่จะเข้ามาปฏิวัติวงการขนส่งให้กับทั่วโลกอย่างแน่นอน และเราจะเห็นรถบรรทุกขนาดใหญ่ รถบรรทุกขนาดเล็ก รวมถึงรถสาธารณะต่างๆ ที่เป็นรถไฟฟ้า 100% ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยลดต้นทุนในเรื่องของการขนส่งแล้ว ยังช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซค์ในโลกใบนี้อีกด้วย

ภาพ : Freepik, CATL

ทั่วโลกต่างก็มีแผนการปรับเปลี่ยนประเทศของตัวเองเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อค์ไซค์ให้เป็นศูนย์ ซึ่งประเทศไทยเองก็มีการวางแผน และตั้งเป้าหมายเรื่องนี้เหมือนกัน และคาดว่าจะไปถึงเป้าหมายได้ภายในปี 2065 ซึ่งเป็นความจำเป็นที่ต้องไปให้ถึงเป้าหมายให้ได้ เพื่อดำรงไว้ซึ่งความร่วมมือในด้านต่างๆ กับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ทั้งเรื่องของความสัมพันธ์ และการค้านั่นเอง

ในประเทศไทยก็มีโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ เช่นกัน โดยใช้เทคโนโลยีที่มีชื่อว่า CCS (Carbon Capture and Storage) ซึ่งก็มีอยู่ 2 บริษัทที่มีการลงทุนและพัฒนากันอย่างจริงจังก็คือ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP และ บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU โดย PTTEP กำลังพัฒนา CCS ที่โครงการผลิตก๊าซแหล่งอาทิตย์ โดยมีกำลังการกักเก็บคาร์บอนที่ 1 ล้านตันต่อปี โดยโครงการดังกล่าวคาดว่าจะสามารถดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ภายในปี 2569-2570 ขณะเดียวกัน BANPU มีโครงการ CCS จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ Barnett Zero และ Cotton Cove ในสหรัฐอเมริกา โดยมีกำลังการกักเก็บคาร์บอนรวม 0.3 ล้านตันต่อปี ซึ่งทั้ง 2 โครงการนี้เริ่มดำเนินการในปี 2566 และ 2567 ตามลำดับ และวันนี้ทางทีมงานจะพาทุกท่านไปรู้จักโครงการ และเทคโนโลยีนี้ รวมถึงกระบวนการที่ใช้ในการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซค์กันครับ

เทคโนโลยี CCS คืออะไร?

CCS ย่อมาจาก Carbon Capture and Storage หรือ การดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดอ็อกไซด์ เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับความสนใจอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นหนึ่งในวิธีการสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยจะดักจับก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์จากแหล่งกำเนิดในภาคอุตสาหกรรม และนำมากักเก็บไว้ในชั้นหินใต้ดินอย่างถาวร โดยไม่ปล่อยกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ นอกจากนี้ยังมีการติดตาม และตรวจสอบการจัดเก็บก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซค์ เพื่อให้มีความปลอดภัย

กระบวนการของเทคโนโลยี CCS

ภาพจาก : PTTEP

เทคโนโลยี CCS จะมีกระบวนการทำงาน 3 อย่างด้วยกันดังนี้

1.การดักจับ (Capture)

  • แหล่งกำเนิด CO₂ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ที่เราต้องการดักจับนั้นมาจากแหล่งต่างๆ เช่น โรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล โรงงานอุตสาหกรรม และกระบวนการผลิตบางอย่าง
  • การแยก ก๊าซ CO₂ จะถูกแยกออกจากก๊าซอื่นๆ ที่เกิดจากกระบวนการผลิต โดยใช้วิธีทางเคมีหรือทางกายภาพ เช่น การใช้สารละลายเอมีน (amine) ดูดซับ CO₂ หรือการใช้เยื่อหุ้มเซลล์ที่มีรูพรุนขนาดเล็กเพื่อกรองก๊าซ
  • การทำให้บริสุทธิ์ หลังจากการแยกแล้ว ก๊าซ CO₂ จะถูกทำให้บริสุทธิ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่งและกักเก็บ

2.การขนส่ง (Transport)

  • การอัด ก๊าซ CO₂ ที่บริสุทธิ์แล้วจะถูกอัดให้มีความดันสูง เพื่อลดปริมาตรและสะดวกในการขนส่ง
  • ท่อส่ง ก๊าซ CO₂ ที่ถูกอัดจะถูกส่งผ่านท่อไปยังสถานที่กักเก็บ ซึ่งอาจอยู่ห่างไกลจากแหล่งกำเนิดก๊าซก็ได้

3.การกักเก็บ (Storage)

  • แหล่งกักเก็บ สถานที่กักเก็บก๊าซ CO₂ มักจะเป็นชั้นหินใต้ดินที่มีความพรุนและมีโครงสร้างทางธรณีวิทยาที่เหมาะสม เช่น ชั้นหินทรายหรือชั้นหินปูน
  • การฉีด ก๊าซ CO₂ จะถูกฉีดเข้าไปในชั้นหินใต้ดินด้วยแรงดันสูง ทำให้ก๊าซซึมเข้าไปในรูพรุนของหินและถูกกักเก็บไว้
  • การกักเก็บถาวร หากชั้นหินมีความแน่นหนาและมีโครงสร้างที่มั่นคง ก๊าซ CO₂ จะถูกกักเก็บไว้ได้เป็นเวลานานหลายพันปี

สรุปเรื่องกระบวนการได้แบบง่ายๆ ก็คือ จะเริ่มจากการดักจับก๊าซ CO₂ ที่เกิดขึ้นก่อน จากนั้นก็จะมีการปรับความดันให้เหมาะสมเพื่อขนส่งไปยังแหล่งกักเก็บซึ่งจะถูกกักเก็บไว้บนฝั่งหรือนอกชายฝั่งในชั้นหินทางธรณีวิทยาไว้อย่างปลอดภัย

ตัวอย่างโครงการ CCS ที่ประสบความสำเร็จทั่วโลก

เทคโนโลยี CCS นี้ถือว่าเป็นเทคโนโลยีในการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่มีประสิทธิภาพสูง มีหลายประเทศให้การยอมรับ และนำไปใช้กันอย่างแพร่หลาย มีโครงการที่ใช้เทคโนโลยี CCS นี้อยู่ 41 โครงการทั่วโลก ส่วนใหญ่จะอยู่ในประเทศอเมริกา และเป็นที่น่าดีใจว่าในประเทศไทยก็มีโครงการที่ใช้เทคโนโลยี CCS นี้แล้วเช่นกัน

1.โครงการ Sleipner ในนอร์เวย์

เป็นหนึ่งในโครงการ CCS ที่เก่าแก่ที่สุดและประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 1996 โดยดักจับก๊าซ CO₂ จากแหล่งผลิตก๊าซธรรมชาติ แล้วนำไปกักเก็บในชั้นหินทรายใต้ทะเลเหนือ โครงการนี้สามารถกักเก็บ CO₂ ได้หลายล้านตัน และกลายเป็นมาตรฐานสำหรับโครงการ CCS อื่นๆ ทั่วโลก

2.โครงการ Quest ในแคนาดา

เป็นโครงการ CCS ขนาดใหญ่ที่ดักจับ CO₂ จากโรงไฟฟ้าถ่านหิน ใช้เทคโนโลยีการดักจับแบบ amine เพื่อแยก CO₂ ออกจากก๊าซไอเสีย จากนั้นนำไปกักเก็บในชั้นหินใต้ดิน โครงการนี้ช่วยลดการปล่อย CO₂ ของโรงไฟฟ้าได้อย่างมีนัยสำคัญ

3.โครงการ Boundary Dam ในแคนาดา

ภาพจาก : CSS Knowledge

เป็นโครงการ CCS ที่ดักจับ CO₂ จากโรงไฟฟ้าถ่านหินและนำไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมน้ำมัน CO₂ ที่ดักจับได้จะถูกนำไปฉีดเข้าไปในแหล่งน้ำมันเพื่อเพิ่มการผลิตน้ำมันดิบ โครงการนี้แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของการใช้ CO₂ ในกระบวนการทางอุตสาหกรรมอื่นๆ นอกจากการกักเก็บ

4. โครงการ Northern Lights ในนอร์เวย์

เป็นโครงการ CCS ขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมทั้งการดักจับ การขนส่ง และการกักเก็บ CO₂ จากหลายแหล่งในยุโรป CO₂ จะถูกขนส่งทางท่อไปยังชายฝั่งนอร์เวย์ ก่อนจะถูกฉีดเข้าไปในชั้นหินใต้ทะเล โครงการนี้เป็นตัวอย่างของความร่วมมือระหว่างประเทศในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ภาพจาก : PTTEP

ประโยชน์ของเทคโนโลยี CCS

  • ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก CCS ช่วยลดปริมาณก๊าซ CO₂ ที่ปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของภาวะโลกร้อน ในไทยสามารถลดการปล่อยก๊าซ CO₂ ได้มากถึง 10 ล้านตันต่อปี จากโครงการ Eastern CCS Hub ของกลุ่ม ปตท.
  • ยืดอายุการใช้งานของเชื้อเพลิงฟอสซิล CCS ทำให้สามารถใช้ประโยชน์จากเชื้อเพลิงฟอสซิลได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องลดการผลิตพลังงานจากเชื้อเพลิงเหล่านี้ลงทันที
  • ส่งเสริมการลงทุน และการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ การพัฒนาเทคโนโลยี CCS นำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การพัฒนาวัสดุใหม่ๆ สำหรับการดักจับ CO₂ , น้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานชีวภาพ, ไฮโดรเจนสีฟ้า และยังสามารถสร้างตำแหน่งงานต่างๆ ได้มากกว่า 10,000 ตำแหน่ง

แม้ว่าประโยชน์ของเทคโนโลยี CCS จะมีค่อนข้างมาก แต่ก็ยังมีข้อจำกัด และความท้าทายอยู่เช่นกัน

ข้อจำกัดและความท้าทายของเทคโนโลยี CCS

  • ต้นทุนยังสูงอยู่ กระบวนการ CCS ยังมีต้นทุนสูง ทั้งในด้านการลงทุนและการดำเนินงาน
  • ความเสี่ยงในการรั่วไหล มีความเสี่ยงที่ก๊าซ CO₂ อาจรั่วไหลออกมาจากแหล่งกักเก็บได้
  • ความไม่แน่นอนทางธรณีวิทยา การเลือกแหล่งกักเก็บที่เหมาะสมมีความสำคัญอย่างยิ่ง แต่ยังมีความไม่แน่นอนทางธรณีวิทยาที่อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของการกักเก็บ
  • การยอมรับจากสังคม ยังมีประชาชนบางส่วนที่กังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของเทคโนโลยี CCS

บทสรุป

เทคโนโลยี CCS เป็นเครื่องมือสำคัญในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แม้ว่ายังมีข้อจำกัดอยู่บ้าง แต่ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง CCS มีศักยภาพที่จะเป็นส่วนหนึ่งของโซลูชันในการสร้างโลกที่ยั่งยืน สำหรับในประเทศไทยก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี และหวังว่าในอนาคตจะสามารถก้าวผ่านข้อจำกัดต่างๆ และความท้าทายเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions)

ขอบคุณข้อมูลจาก : PTTEP
Cover Photo : Freepik

วันนี้ขอนำเทคโนโลยีเกี่ยวกับรถไฟฟ้ามาแนะนำให้รู้จักกัน ซึ่งมีชื่อว่า NanoFlowCell จริงๆ เทคโนโลยีนี้มีการพัฒนามาค่อนข้างนานแล้ว จนปัจจุบันก็ยังไม่ได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ความน่าสนใจของเทคโนโลยีตัวนี้หลักๆ เลยก็คือ วิ่งได้ไกลมากถึง 2,000 กิโลเมตร และที่สำคัญไม่ต้องใช้แบตเตอรี่เหมือนรถไฟฟ้าทั่วๆ ไป จะเป็นยังไงมาติดตามอ่านกันได้เลยครับ

เทคโนโลยี NanoFlowCell

เทคโนโลยีของ NanoFlowCell นั้นคล้ายกับเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน ซึ่งเป็นการเปลี่ยนพลังงานเคมีเป็นพลังงานไฟฟ้าโดยตรง การเติมเชื้อเพลิงนั้นทำได้รวดเร็วเช่นเดียวกัน แต่ NanoFlowCell นั้นจะมีความปลอดภัยมากกว่าเนื่องจากเป็นสารที่ไม่ติดไฟและไม่จำเป็นต้องเก็บในถังแรงดันสูง เทคโนโลยีนี้ทำงานโดยอาศัยหลักการของเซลล์เชื้อเพลิงแบบหนึ่ง โดยใช้สารละลายพิเศษสองชนิดที่เรียกว่า ไบไอออน (bi-ion) เมื่อสารละลายทั้งสองชนิดสัมผัสกันผ่านแผ่นเมมเบรนพิเศษ จะเกิดปฏิกิริยาเคมีที่ผลิตกระแสไฟฟ้าออกมา ซึ่งกระแสไฟฟ้านี้จะถูกนำไปใช้ขับเคลื่อนมอเตอร์ของรถยนต์

ในส่วนของสถานีเติมเชื้อเพลิงของ NanoFlowCell สามารถใช้สถานีเติมน้ำมันเดิมได้เลย โดยจำเป็นต้องมีการดัดแปลงเล็กน้อยเท่านั้น ทำให้ประหยัดต้นทุนในการจัดทำสถานีเติมเชื้อเพลิงไปได้ค่อนข้าง ซึ่งถ้าพูดโดยสรุปแล้ว หลักการก็จะคล้ายๆ การใช้สารละลายมาผ่านกระบวนการแล้วเปลี่ยนเป็นไฟฟ้า ทำให้ไม่จำเป็นต้องมีแบตเตอรี่อยู่ในรถเพื่อเก็บพลังงานแต่อย่างใด ซึ่งสารละลายที่ใช้นั้นก็ต้องบอกว่า มันก็หมดไปเช่นเดียวกัน และต้องเติมกลับเข้าไปแบบเดียวกับรถน้ำมัน

ข้อดีของเทคโนโลยี NanoFlowCell

  • ระยะทางในการขับขี่ที่ยาวนาน รถยนต์ที่ใช้เทคโนโลยีนี้สามารถวิ่งได้ไกลกว่า 2,000 กิโลเมตรต่อการเติมสารละลายหนึ่งครั้ง ซึ่งมากกว่ารถยนต์ไฟฟ้าทั่วไปที่ใช้แบตเตอรี่มาก
  • การเติมพลังงานที่รวดเร็ว การเติมสารละลายใหม่นั้นทำได้รวดเร็วคล้ายกับการเติมน้ำมันเชื้อเพลิง ทำให้สะดวกต่อการใช้งาน
  • ความปลอดภัย สารละลายที่ใช้ไม่ติดไฟและไม่เป็นพิษ ทำให้มีความปลอดภัยสูงกว่าแบตเตอรี่แบบดั้งเดิม
  • เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม กระบวนการผลิตไฟฟ้าจากเทคโนโลยีนี้สร้างมลพิษน้อยกว่าการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล

ข้อจำกัดต่างๆ

  • เทคโนโลยียังอยู่ในขั้นพัฒนา เทคโนโลยี NanoFlowCell ยังอยู่ในขั้นเริ่มต้นและยังมีข้อจำกัดหลายประการ เช่น ปัญหาเรื่องความเสถียรของสารละลาย และต้นทุนการผลิตที่สูง
  • โครงสร้างพื้นฐาน การขาดแคลนสถานีบริการเติมสารละลายเป็นอุปสรรคสำคัญในการนำเทคโนโลยีนี้มาใช้งานในวงกว้าง
  • ความหนาแน่นของพลังงาน แม้ว่าระยะทางในการขับขี่จะยาวนาน แต่ความหนาแน่นของพลังงานของสารละลายอาจยังไม่สูงเท่ากับแบตเตอรี่บางชนิด

QUANTiNO 25 รถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้เทคโนโลยี NanoFlowCell

QUANTiNO 25 รถยนต์ไฟฟ้าที่สามารถวิ่งได้ระยะทางสูงสุดถึง 2,000 กิโลเมตร ด้วยเทคโนโลยี NamoFlowCell ซึ่งออกแบบมาเป็นรอสปอร์ตไฟฟ้า 2 ที่นั่ง ติดตั้งมอเตอร์ 48 โวลต์จำนวน 4 ตัว ให้กำลังสูงสุด 79 แรงม้าต่อมอเตอร์ 1 ตัว ทำให้รถคันนี้มีแรงม้าสูงสุดอยู่ที่ 316 แรงม้า ทำความเร็วได้สูงสุดถึง 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สามารถทำอัตราเร่ง 0 – 100 ได้ภายในเวลาเพียง 3 วินาทีเท่านั้น ตัวรถมีการติดตั้งถังสำหรับใส่เชื้อเพลิงจำนวน 2 ถัง มีความจุ 125 ลิตร สำหรับแยกสารละลาย 2 ชนิด เมื่อเติมเชื้อเพลิงเต็มถังจะสามารถวิ่งได้ไกลถึง 2,000 กม โดยไม่ต้องจอดเติมเชื้อเพลิง ตัวโครงสร้างและวัสดุของรถถูกออกแบบให้มีน้ำหนักเบาเป็นพิเศษทำให้สามารถวิ่งได้ระยะทางไกลและประหยัดเชื้อเพลงมากยิ่งขึ้น

สำหรับระยะทางการวิ่งขอบรถคันนี้ ขึ้นอยู่กับปริมาณความเข้มข้นของสารละลายด้วย โดยทางผู้คิดค้นนั้นบอกเอาไว้ว่า เราสามารถเพิ่มความเข้มข้นของสารละลายให้มากขึ้นได้เพื่อให้รถสามารถวิ่งได้ไกลขึ้น ส่วนการเติมเชื้อเพลิงหรือการรีชาร์จพลังงานใหม่นั้นเป็นการเติมรูปแบบเดียวกันกับการเติมน้ำมันในยุคปัจจุบัน โดยจุดเด่นของสารละลายไบไอออนนั้นคือไม่อันตราย ไม่ติดไฟ ไม่เป็นพิษ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ให้การขับขี่ที่ปลอดภัยทั้งบุคคลและสิ่งแวดล้อม ส่วนระยะเวลาในการเติมพลังงานนั้นใกล้เคียงกับการเติมน้ำมันในยุคปัจจุบัน ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาในการรีชาร์จพลังงานลงไปได้เมื่อเทียบกับรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่

บทสรุปของ เทคโนโลยี NanoFlowCell

เทคโนโลยี NanoFlowCell มีจุดเด่นและข้อดีต่างๆ มากมาย น่าจะสามารถจะปฏิวัติวงการยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการแก้ปัญหาเรื่องระยะทางในการขับขี่ และเวลาในการชาร์จพลังงาน อย่างไรก็ตาม ยังมีอุปสรรคหลายประการที่ต้องได้รับการแก้ไขก่อน โดยเฉพาะเรื่องของราคาพลังงานนั้นยังมีราคาที่สูงเมื่อเทียบกับราคาน้ำมันและพลังงานไฟฟ้า ในอนาคตเทคโนโลยีนี้คาดว่าจะกลายเป็นมาตรฐานในอุตสาหกรรมยานยนต์ และต้องมีการพัฒนาและวิจัยเพิ่มเติมเพื่อให้เทคโนโลยีนี้มีความพร้อมสำหรับการใช้งานในเชิงพาณิชย์อย่างแพร่หลาย

Photo : NanoFlowCell

วันนี้จะพาทุกท่านมารู้จักกับโครงการใหม่ล่าสุดที่เพิ่งมีการทำข้อตกลง เพื่อเปลี่ยนเมืองไทยสู่เมืองคาร์บอนต่ำ ซึ่งเป็นโครงการที่ได้รับความร่วมมือจาก องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (ESCAP) องค์การเมืองและรัฐบาลท้องถิ่นแห่งเอเชียแปซิฟิก (UCLG ASPAC) มหาวิทยาลัยชตุทการ์ท และมหาวิทยาลัยดอร์ทมุนท์ ประเทศเยอรมนี และ สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย (สป.มท.) กระทรวงมหาดไทย ที่จะเป็นหน่วยงานหลักในดำเนินการโครงการ Urban-Act ในประเทศไทย

Urban-Act เป็นโครงการในระดับภูมิภาคที่ดำเนินการใน 5 ประเทศ ได้แก่ จีน อินเดีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย ประเทศพันธมิตรเหล่านี้มุ่งมั่นที่จะปฏิบัติตามการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (NDC) และนโยบายเมืองระดับชาติของแต่ละประเทศพันธมิตร ปัจจุบันยังคงมีอุปสรรคและความท้าทายมากมายในการเปลี่ยนผ่านการจัดการเมือง เพื่อนำไปสู่การพัฒนาเมืองที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นการประสานงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ การเข้าถึงข้อมูลสภาพอากาศที่จำกัด และทักษะในการหาแนวทางแก้ไขไม่เพียงพอ การเตรียมการเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการเข้าถึงการสนับสนุนทางการเงิน

ที่มาของโครงการ Urban-Act

โครงการ Urban-Act หรือ โครงการพัฒนาเมืองแบบองค์รวมเพื่อส่งเสริมการเติบโตแบบคาร์บอนต่ำและการเป็นเมืองที่ฟื้นตัวได้ เป็นโครงการระดับภูมิภาคที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเยอรมนี มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงไปสู่การพัฒนาเมืองแบบคาร์บอนต่ำและฟื้นตัวได้ในประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย

เป้าหมายหลักของโครงการ Urban-Act

  1. ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อมุ่งเน้นการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในเมือง ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
  2. เพิ่มความสามารถในการปรับตัว เสริมสร้างความสามารถของเมืองในการรับมือกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น อุณหภูมิที่สูงขึ้น ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น และเหตุการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ
  3. ส่งเสริมการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน สนับสนุนการพัฒนาเมืองที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจอย่างสมดุล

โครงการ Urban-Act ในประเทศไทย

ในประเทศไทย สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย (สป.มท.) กระทรวงมหาดไทย เป็นหน่วยงานร่วมดำเนินงานหลักในบ้านเรา ซึ่งได้มีการลงนามกับทาง GIZ เพื่อร่วมดำเนินการโครงการ Urban-Act โดยจะเริ่มที่ 3 จังหวัดก่อน ประกอบไปด้วย เชียงใหม่ ภูเก็ต และขอนแก่น ซึ่งจะมีการดูแลปรับปรุงในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้เข้ากับแผนและงบประมาณที่มีอยู่ของจังหวัด รวมถึงการกำหนดมาตรการเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการปรับปรุลในเรื่องของสภาพแวดล้อมในเมือง อาคาร บ้านเรือนต่างๆ

สาเหตุที่มีการเริ่มดำเนินโครงการ Urban-Act ในไทย เป็นเพราะว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเสี่ยงสูงจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกนั่นเอง หากไม่รีบริเริ่มโครงการ อาจจะส่งผลกระทบต่อประเทศไทยได้ในระยะทาง สำหรับโครงการนี้ได้รับงบประมาณจากแผนงานปกป้องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศระดับสากล (IKI) โดยกระทรวงเศรษฐกิจและการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี (BMWK) มีระยะเวลาดำเนินโครงการตั้งแต่เดือนเมษายน พ.ศ. 2565 ถึงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2570 

แนวทางการดำเนินงานโครงการ Urban-Act

  1. การให้ความช่วยเหลือทางวิชาการ: ให้การสนับสนุนการวางนโยบาย กฎระเบียบ และบริการที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและเป้าหมายความยั่งยืนในการพัฒนาเมือง
  2. การถ่ายทอดความรู้และพัฒนาขีดความสามารถ: มุ่งเน้นการเพิ่มพูนความสามารถของผู้มีอำนาจตัดสินใจและเจ้าหน้าที่ด้านเทคนิค ผ่านการถ่ายทอดความรู้และการฝึกอบรม เพื่อส่งเสริมให้เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงไปสู่อนาคตของเมืองคาร์บอนต่ำและฟื้นตัวได้
  3. การบูรณาการในระดับท้องถิ่น: ร่วมมือกับพันธมิตรภาครัฐในระดับท้องถิ่นในการสนับสนุนเมืองนำร่อง 12 เมืองใน 5 ประเทศพันธมิตร เพื่อบูรณาการหลักฐานการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเข้ากับแผนพัฒนาเชิงพื้นที่และเมืองและการวางผังเมือง รวมทั้งการจัดทำงบประมาณท้องถิ่น
  4. การวางมาตรการเป้าหมาย: ส่งเสริมเมืองพันธมิตรในการระบุมาตรการที่มีผลกระทบสูงในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเสริมสร้างความสามารถในการเป็นเมืองที่ฟื้นตัวได้ โดยเน้นที่การคมนาคมในเมือง ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางของผู้คน ยานพาหนะ และขนส่งมวลชน การสร้างพื้นที่สีสีฟ้า-เขียว, อาคารสีเขียว และเศรษฐกิจหมุนเวียน
  5. การใช้ประโยชน์จากกลไกการสนับสนุนทางการเงิน: สนับสนุนการบริหารเมืองให้ใช้กลไกสนับสนุนทางการเงินสำหรับการเตรียมโครงการและการดำเนินการตามมาตรการด้านสภาพอากาศในเมือง
  6. ความร่วมมือระหว่างประเทศ การสนับสนุนระดับภูมิภาค และการแบ่งปันความรู้: การมีส่วนร่วมกับ UNESCAP และ UCLG ASPAC ในระดับเอเชียแปซิฟิก อำนวยความสะดวกในการสนับสนุนระดับภูมิภาคผ่านการเจรจาระหว่างรัฐบาลและระหว่างเมือง รวมทั้งการอำนวยความสะดวกให้เกิดการแบ่งปันความรู้ การยกระดับขนายผลลัพธ์ของโครงการ และการเผยแพร่แนวปฏิบัติที่ดี โดยร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคนิคดอร์ทมุนด์ และมหาวิทยาลัยสตุตการ์ต พร้อมด้วยพันธมิตรด้านการดำเนินการระดับประเทศจากห้าประเทศพันธมิตร

หน่วยงานร่วมดำเนินงาน

  • กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ (MNR) – จีน
  • กระทรวงนิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อม (MEE) – จีน
  • กระทรวงการวางแผนพัฒนาแห่งชาติ (BAPPENAS) – อินโดนีเซีย
  • กระทรวงการเคหะและกิจการเมือง (MoHUA) – อินเดีย
  • กรมการภายในและรัฐบาลท้องถิ่น (DILG) – ฟิลิปปินส์
  • สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย กระทรวงมหาดไทย (สป. มท.) – ไทย

โครงการ Urban-Act มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ การดำเนินโครงการนี้จะช่วยให้เมืองต่างๆ ในประเทศไทยมีความพร้อมในการรับมือกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในอนาคต และสร้างสภาพแวดล้อมที่น่าอยู่สำหรับคนรุ่นปัจจุบันและคนรุ่นหลัง

ขอบคุณข้อมูลจาก : องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ)
Photo : freepik

เนื้อหาในวันนี้ เราจะพาทุกท่านไปรู้จักกับร่างแผนบริหารจัดการเชื้อเพลิงของ กรมธุรกิจพลังงาน ซึ่งได้จัดทำร่างแผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2567–2580 (Oil Plan 2024) ออกมาเรียบร้อยแล้ว โดยเป็น 1 ใน แผนพลังงานชาติ ที่ประกอบไปด้วย

  1. แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ.2567-2580 (PDP 2024)
  2. แผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ พ.ศ.2567-2580 (Gas Plan 2024)
  3. แผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2567-2580 (Oil Plan 2024)
  4. แผนปฏิบัติการด้านพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พ.ศ.2567-2580 (AEDP2024)
  5. แผนปฏิบัติการด้านการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ.2567-2580 (EEP2024)

รวมทั้งหมด 5 แผน ซึ่งในครั้งที่แล้ว เราได้ทำเนื้อหาเกี่ยวกับแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ.2567-2580 (PDP 2024) กันไปเรียบร้อยแล้ว สามารถอ่านได้โดยคลิกที่นี่เลยครับ คราวนี้เราก็จะนำ แผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิง (Oil Plan 2024) มาให้ทุกท่านได้รับทราบรายละเอียดกันบ้าง ซึ่งแผนนี้ค่อนข้างสำคัญมาก เพราะจะเกี่ยวของกับเรื่องของการจัดการพลังงานโดยเฉพาะน้ำมันที่เราใช้อยู่กันในทุกวันนี้

เป้าหมาย แผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิง (Oil Plan 2024)

  1. มีความสามารถในการรับมือกับภาวะวิกฤต ด้านน้ำมันสูงขึ้น
  2. การจัดหาและการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงในภาคขนส่ง สอดคล้องความต้องการตามเทคโนโลยี่ที่เปลี่ยนไป
  3. การผลิตและการขนส่ง น้ำมันเชื้อเพลิงมีประสิทธิภาพ
  4. ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวเพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนผ่านพลังงาน

กรอบดำเนินงาน 4 ด้าน

  1. การบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อความมั่นคง ศึกษาความเหมาะสมการจัดทำ Strategic Petroleum Reserve (SPR) และรูปที่เหมาะสมกับไทย และมีการปรับปรุงวิธีการคำนวณอัตราสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงตามกฏหมายให้สอดคล้องกับความเสี่ยงที่เปลี่ยนไป นอกจากนี้ยังมีการพัฒนากลไกการเตรียมความพร้อม เพื่อรองรับสถานการณ์วิกฤติด้านน้ำมันเชื้อเพลิง
  2. การบริหารจัดการน้ำมันภาคขนส่ง มีการสนับสนุนการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และส่งเสริมการผลิต การใช้เชื้อเพลิงชีวภาพ และเชื้อเพลิงสะอาดจากวัตถุดิบที่มีในประเทศ รวมถึงกำกับดูแลน้ำมันเชื้อเพลิงให้มีราคาที่เหมาะสม ไม่เป็นภาระกับประชาชน
  3. การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านการผลิตและขนส่ง เริ่มจากในส่วนของโรงกลั่น มีการกำกับดูแลการผลิตน้ำมันสำเร็จรูปของโรงกลั่นให้มีเพียงพอ และสอดคล้องกับความต้องการใช้ ในส่วนของท่อขนส่งน้ำมัน มีการผลกดันให้เกิดการใช้ประโยชน์จากระบบขนส่งน้ำมันทางท่ออย่างเต็มประสิทธิภาพ และศึกษาแนวทางการปรับปรุงค่าขนส่งให้ราคาน้ำมันเท่ากันทุกภูมิภาค สำหรับสถานีบริการน้ำมัน จะมีการเพิ่มจำนวนสถานีอัดประจุไฟฟ้าในสถานีบริการน้ำมัน และกำกับดูแลการติดตั้งและการใชงานสถานีอัดประจุไฟฟ้าในสถานีบริการน้ำมันให้มีควมปลอดภัย
  4. การส่งเสริมธุรกิจใหม่ในอนาคต ในธุรกิจปิโตรเคมีและไบโอพลาสติก จะมีการส่งเริ่มการลงทุนปิโตรเคมีขั้นปลาย และพลาสติกชีวภาพ ในส่วนของเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน ก็จะมีการสนับสนุนการลงทุนผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยื่น (SAF) เพื่อใช้ในประเทศและส่งออก มีการส่งเสริมการลงทุนผลิต SAF ทั้งรูปแบบ Co-processed และ Stand Alone รวมถึงผลักดันการลงทุนผลิต SAF ในประเทศโดยใช้วัตถุดิบที่ไทยมีศักยภาพ และสุดท้ายในส่วนของน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพ จะสนับสนุนการลงทุนผลิตน้ำมันหม้อแปลไฟฟ้าชีวภาพอีกด้วย
source : กรมธุรกิจพลังงาน
source : กรมธุรกิจพลังงาน

source : กรมธุรกิจพลังงาน

source : กรมธุรกิจพลังงาน

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ

ด้านเศรษฐกิจ

  • ภาคการขนส่งทางบก โดยสร้างรายได้ให้ผู้ผลิตเอทานอล – ไบโอดีเซล 71,300 ล้านบาท / ปี
  • ประหยัดเงินจากการนำเข้าน้ำมันดิบ 59,000 ล้านบาท/ ปี
  • เกิดการลงทุนในธุรกิจใหม่ เม็ดเงินรวม 113,901 ล้านบาท

ด้านสังคม

  • ได้สร้างรายได้ให้เกษตรกรจากการปลูกพืชพลังงาน 41,500 ล้านบาท/ปี

ด้านสิ่งแวดล้อม

  • ลดการปล่อยก๊าซ CO2 7.1 ล้านตัน CO2 เทียบเท่า/ปี

ปรับเปลี่ยนชนิดน้ำมันให้เหมาะสม

source : กรมธุรกิจพลังงาน

ในร่างแผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2567–2580 (Oil Plan 2024) นี้ยังได้มีการวางแผนปรับเปลี่ยนชนิดน้ำมันพื้นฐานให้เหมาะสมใหม่ด้วย รวมถึงการปรับลดชนิดน้ำมันในประเทศลง โดยน้ำมันดีเซลจะกำหนดให้ไบโอดีเซล B7 และให้ดีเซล B20 เป็นน้ำมันทางเลือก และกำหนดสัดส่วนการผสมน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ระหว่าง 5-9.9% (จากปัจจุบันกำหนดสัดส่วนผสมน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ที่ 6.6-7%) ในส่วนของน้ำมันเบนซินอยู่ระหว่างกำหนดให้น้ำมันชนิดใดเป็นน้ำมันพื้นฐาน ระหว่างแก๊สโซฮอล์ 95 หรือ แก๊สโซฮอล์ E20 หรือแก๊สโซฮอล์ 91 หรือ E10  ทั้งนี้จะยกเลิกการจำหน่ายแก๊สโซฮอล์ 91 ออกไปภายในปี 2568 

source : กรมธุรกิจพลังงาน

อย่างไรก็ตามหลังจากรับฟังความคิดเห็นร่างแผน Oil Plan 2024 แล้ว กระทรวงพลังงานจะรวบรวมทั้ง 5 แผนดังกล่าวไว้ในแผนพลังงานชาติ ซึ่งคาดว่าจะจัดทำเสร็จในเดือน ก.ย. 2567 เพื่อเสนอให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.), คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) พิจารณาและนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อเห็นชอบและประกาศใช้อย่างเป็นทางการต่อไป และมีการคาดการณ์เอาไว้ว่า แผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2567–2580 (Oil Plan 2024) นี้จะเกิดเม็ดเงินลงทุนในธุรกิจใหม่ มากถึง 113,901 ล้านบาท

Source : กรมธุรกิจพลังงาน