สำหรับคนที่ใช้รถไฟฟ้า หรือไปจองรถไฟฟ้าในงาน MotorExpo 2023 มาเรียบร้อยแล้ว แนะนำว่าให้ดาวน์โหลดแอพสถานทีชาร์จรถไฟฟ้าใส่มือถือกันไว้เลย เพราะหลังจากนี้เชื่อได้ว่า ทุกท่านจะมีโอกาสได้ใช้แอพใดแอพหนึ่ง หรือบางท่านที่เดินทางบ่อยๆ อาจจะต้องใช้ทุกแอพเลยก็ว่าได้

ซึ่งวันนี้มีมาแนะนำ 7 แอพที่เกือบจะครอบคลุมทุกสถานีชาร์จในประเทศไทย พร้อมอีก 1 แอพที่มีบริการเช่ารถยนต์ไฟฟ้าไปขับรายวัน โดยทุกแอพนั้นหลังจากดาวน์โหลดแล้ว จะต้องทำการลงทะเบียนให้เรียบร้อยก่อน การลงทะเบียนของแต่ละแอพนั้นก็จะคล้ายๆ กันเกือบทั้งหมด จะมีแตกต่างกันบ้างตรงที่บางแอพให้ยืนยันเบอร์มือถือ บางแอพให้ยืนยันอีเมล์ที่ใช้งาน ซึ่งทุกแอพก็จะส่งโค้ดให้เรา เพื่อไปกรอกในขั้นตอนของการลงทะเบียน และยังมีบางแอพนั้นสามารถเข้าใช้งานได้เลย แต่ถ้าจะใช้สถานีชาร์จก็จะต้องลงทะเบียน ซึ่งแน่นอนว่าสามารถทำภายหลังได้ แต่แนะนำว่าไหนๆ ก็ใช้รถไฟฟ้าแล้ว และตอนนี้สถานีชาร์จในบางจุดก็ไม่เพียงพอ ก็ควรจะลงทะเบียนสมัครสมาชิกให้เรียบร้อย พร้อมใช้งานกันเลยดีกว่าครับ

นอกจากนี้หากใครกำลังรอรถไฟฟ้าที่จองไว้อยู่ ก็สามารถเปิดแอพขึ้นมาลองใช้งานได้ หรือจะผูกบัตรเครดิตสำหรับชำระเงิน หรือใครจะวางแผนล่วงหน้าเพื่อเติมเงินเข้าแอพ ก็ไม่ว่ากันครับ ในการใช้งานแอพทั้งหมด ก็แทบจะเหมือนกันเลยคือ เมื่อเปิดขึ้นมา เราก็สามารถกดเปิดดูสถานีชาร์จได้ โดยแอพจะขอเปิดการระบุตำแหน่งของเราจากมือถือ จากนั้นก็จะแสดงสถานีชาร์จที่อยู่ใกล้เคียงขึ้นมา เราก็สามารถกดเปิดดูข้อมูลของสถานีชาร์จได้เลยว่า มีหัวชาร์จแบบไหนบ้าง มีคนใช้งานอยู่หรือเปล่า รวมถึงกำลังไฟที่ชาร์จได้ก็มีระบุเอาไว้ด้วย บางแอพก็จะแสดงค่าใช้จ่ายในการชาร์จ พร้อมเงื่อนไขต่างๆ เอาไว้ได้เลย และสถานีชาร์จไหนที่มีระบบการจองเราก็สามารถกดจองได้เลย ส่วนสถานีที่เป็นแบบ Walk-in ก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย สามารถกดในแอพเพื่อให้นำทางไปสถานีชาร์จผ่าน Google Maps หรือแอพนำทางอื่นๆ ได้เลย

สำหรับใครที่จะไปชาร์จในสถานีชาร์จต่างๆ จะมีค่าบริการจอดรถเพิ่มเติมด้วยนะครับ เท่าที่มีข้อมูลก็คือ ตอนนี้จะคิดชั่วโมงละ 60 บาง ไม่รวมกับค่าชาร์จไฟ ดังนั้นหากใครต้องการวางแผนเรื่องค่าใช้จ่าย ก็อาจจะเลือกสถานีชาร์จบริเวณอื่นๆ แทน

ตอนนี้มาดูกันว่าว 7 แอพที่ควรมีติดมือถือไว้ มีแอพอะไรกันบ้าง

1.EV Anywhere
ดาวน์โหลดคลิ้กที่นี่

2. EleXA
ดาวน์โหลดคลิ้กที่นี่

3. EV Station PluZ
ดาวน์โหลดคลิ้กที่นี่

4.EVolt
ดาวน์โหลดคลิ้กที่นี่

5. MEA EV
ดาวน์โหลดคลิ้กที่นี่

6.Onion EV Charger
ดาวน์โหลดคลิ้กที่นี่

7.PEA VOLTA
ดาวน์โหลดคลิ้กที่นี่

8.EVme สำหรับแอพสุดท้ายนี้แถมให้ครับ เป็นแอพที่ช่วยค้นหาสถานีชาร์จ ที่สามารถแสดงข้อมูลสถานี และรายละเอียดหัวชาร์จได้ พร้อมกดนำทางได้ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ในแอพยังมีบริการให้เช่ารถไฟฟ้าด้วย สามารถกดดูราคาได้เลย ใครที่ยังไม่ได้ซื้อ ไม่ได้จอง แต่อยากลองขับก่อน ก็กดเช่าได้เลยครับ

ดาวน์โหลดคลิ้กที่นี่

ช่วงนี้กำลังมีงาน Motor Expo 2023 หรือ มหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 10 ซึ่งจัดขึ้นที่ อาคารชาลเลนเจอร์ IMPACT เมืองทองธานี วันที่ 30 พฤศจิกายน-11 ธันวาคม 2566 ในงานนี้ต้องบอกเลยว่า มีรถยนต์ไฟฟ้ามาเปิดตัวกันเยอะมาก และแน่นอนว่า เป็นงานที่หลายคนที่กำลังสนใจรถยนต์ไฟฟ้าต้องไม่พลาดอย่างแน่นอน สำหรับบทความนี้ทางทีมงานขอนำเสนอ X รถยนต์ไฟฟ้ายอดนิยมในงาน Motor Expo 2023 ให้ท่านที่กำลังสนใจรถไฟฟ้าอยู่ เผื่อใครกำลังจะไปงาน จะได้มีข้อมูลเบื้องต้น เวลาอยู่ในงานก็สามารถเดินไปดูรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นที่สนใจกันได้เลย มาเริ่มกันเลยครับ

1.TESLA MODEL 3 2024

ถือว่าเป็นครั้งแรกของ TESLA กับการนำรถมาจัดแสดงในงาน Expo ใหญ่ๆ ในบ้านเรา ซึ่งคราวนี้ก็มาพร้อมกับ TESLA MODEL 3 2024 หรือบางคนอาจจะเรียกว่า TESLA MODEL 3 (Refreshed) มาพร้อมกับดีไซน์โดยรวมใกล้เคียงกับรุ่นเดิม แต่มีการปรับทุกส่วนใหญ่ทั้งหมด ทั้งภายนอกและภายใน มีการใช้กระจกกันเสียงแบบ 2 ชั้น ตัดก้านเกียร์ กับก้านไฟเลี้ยวออก มารวมอยู่ในหน้าจอ และพวงมาลัยแทน สำหรับ TESLA MODEL 3 มีให้เลือกด้วยกัน 2 รุ่น รุ่น Standard Range เริ่มต้น 1,599,000 บาท สำหรับมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุดที่ 283 แรงม้า แรงบิต 420 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 6.1 วินาที แบตเตอรี่ความจุ 57.5 kWh วิ่งได้ระยะทางสูงสุดที่ 513 กิโลเมตร และ รุ่น Long Range AWD เริ่มต้น 1,899,000 บาท มาพร้อมมอเตอร์คู่ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 4.4 วินาที แบตเตอรี่ความจุ 57.5 kWh วิ่งได้ระยะทางสูงสุดที่ 629 กิโลเมตร

2.AION Y PLUS 490

รถยนต์ไฟฟ้าเอสยูวีขนาดกลาง ขนาด ความยาว 4,535 มม. ความกว้าง 1,870 มม. ความสูง 1,650 มม. และระยะฐานล้อ 2,750 มิลลิเมตร ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ กำลังสูงสุด 225 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ภายใน 7.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 180 กม./ชม. แบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออนความจุ 70.8 กิโลวัตต์ชั่วโมง ระยะทางขับขี่สูงสุด 550 กม. ตามมาตรฐาน NEDC ราคาเริ่มต้น 969,900 บาท ในรุ่น 490 Elite ส่วน 490 Premium ราคา 1,099,000 บาท

3.CHANGAN L07

รถยนต์ฟาสต์แบ็คไฟฟ้าดีกรีรางวัลชนะเลิศการออกแบบผลิตภัณฑ์จากงาน Red Dot Design Award โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์ล้ำสมัยกับดีไซน์กันชนหน้าแบบ grille-less และระบบไฟอัจฉริยะ มิติตัวรถมีขนาด 4,820 x 1,890 x 1,480 มม. ระยะฐานล้อ 2,900 มม. ใต้ท้องรถสูง 150 มม. ขนาดยาง 254/45R19 มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาด 66.8 kWh ซึ่งสามารถวิ่งได้ด้วยระยะทาง 540 กม. ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง มอเตอร์ไฟฟ้า 1 ตัว ขับเคลื่อนล้อหลัง ให้กำลังสูงสุด 190 กิโลวัตต์ แรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตร ราคา 1,359,000 บาท วางจำหน่ายในประเทศไทยทั้งหมด 5 สี ได้แก่ สีขาว (Comet White) สีเขียว (Nebula Green) สีเทา (Lunar Grey) สีดำ (Eclipse Black) และ สีน้ำเงิน (Stellar Blue)

4.ORA 07

ORA 07 (ชื่อเดิมคือ ORA Grand Cat) สปอร์ตคูเป้สมรรถนะสูง มิติตัวรถ 4,871 x 1,862 x 1,500 มม. มีให้เลือก 2 รุ่ด้วยกัน Long Range มาพร้อมมอเตอร์ 150 kW ให้กำลัง 204 แรงม้า แรงบิต 340 นิวตันเมตร ขนาดแบตเตอรี่ 83.499 kWh ทำระยะทางได้สูงสุดที่ 640 กิโลเมตร ส่วนรุ่น Peformance นั้น ขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchronous Motor 2 ตัว  ให้กำลัง 408 แรงม้า แรงบิต 680 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ที่ 4.3 วินาที ขนาดแบตเตอรี่ 83.499 kWh ทำระยะทางได้สูงสุดที่ 550 กิโลเมตร

ORA 07 เปิดตัวด้วยกัน 2 รุ่น  ได้แก่ รุ่น Long Range 2WD (640 กม.) 1,299,000 บาท และ รุ่น Performance 4WD (550 กม.) 1,499,000 บาท

5.LOTUS ELETRE R

ไฮเปอร์เอสยูวี ไฟฟ้า ที่เร็วที่สุดในโลก กับราคาเริ่มต้น 5.89 ล้านบาท สำหรับรุ่นที่มีมาให้เลือกนั้นจะมี 2 รุ่นด้วยกันคือ ELETRE S 603 แรงม้า ราคา 5,890,000 บาท ขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 603 แรงม้า (HP) แรงบิดสูงสุด 710 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 km/h ภายใน 4.5 วินาที ความเร็วสูงสุด Top Speed ทำได้ 250 km/h ติดตั้งแบตเตอรี่ Lithium Ion Polymer ความจุ 112 kW รองรับการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ AC สูงสุด 22 kW และรองรับการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสตรง DC สูงสุด 355 kW ระยะทางวิ่งสูงสุดต่อการชาร์จเต็ม ทำได้ 600 กิโลเมตร (มาตรฐาน WLTP) และอีกรุ่นจะเป็น ELETRE E 905 แรงม้า ราคา 6,590,000 บาท ขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 905 แรงม้า (HP) แรงบิดสูงสุด 985 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 km/h ภายใน 2.95 วินาที ความเร็วสูงสุด Top Speed ทำได้ 260 km/h ติดตั้งแบตเตอรี่ Lithium Ion Polymer ความจุ 112 kW รองรับการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ AC สูงสุด 22 kW และรองรับการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสตรง DC สูงสุด 355 kW ระยะทางวิ่งสูงสุดต่อการชาร์จเต็ม ทำได้ 490 กิโลเมตร (มาตรฐาน WLTP)

6.NETA GT

รถยนต์ไฟฟ้าแบบสปอร์ตแบบ 2 ประตู NETA GT ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ กำลังสูงสุด 456 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 620 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ภายใน 3.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. แบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออนความจุ 80.4 กิโลวัตต์ชั่วโมง ระยะทางขับขี่สูงสุด 660 กม. ตามมาตรฐาน NEDC ราคาเริ่มต้น 1,299,000 บาท

7.NEX BEV PICKUP TRUCK DOUBLE CAB

NEX Pickup Truck รถกระบะไฟฟ้าล้วนจาก NEX Point บริษัทผลิตรถยนต์พลังไฟฟ้าล้วนโดยคนไทย NEX Pickup Truck มีตัวถังแบบ 2 ตอนหรือดับเบิ้ลแคป สเปคมิติตัวรถความยาว 5,330 มม. ความกว้าง 1,870 มม. ความสูง 1,864 มม. กับฐานล้อ 3,100 มม. ระยะต่ำสุดจากพื้น 210 มม.  น้ำหนักรถ 2,200 กก. สามารถบรรทุกได้ 800 กก. ใส่ล้อขนาด 17 นิ้ว พร้อมยาง 245/70R17 ส่วนพละกำลังนั้นมาพร้อมกับ มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนล้อหลัง ให้กำลัง 122 แรงม้า กับแรงบิดสูงสุด 360 นิวตันเมตร ทำความเร็วสูงสุด 120 กม./ชม. ใช้แบตเตอรี่ Lithium Ion ขนาด 65 kWh ใช้ช่องชาร์จแบบ EU standard รองรับการชาร์จด่วย DC จากความจุ 20% – 80% ได้ภายในเวลา 45 นาที วิ่งไกล 300 กม. บรรทุกได้ 3 ตัน

8.POCCO

Pocco รถยนต์ไฟฟ้า EV คันจิ๋ว จากประเทศจีน ที่บริษัท BRG (ผู้จัดจำหน่ายรถนำเข้าชั้นนำ) นำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ มี 2 รุ่น คือ Pocco รุ่น MM เป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบบ 3 ประตู และ Pocco รุ่น DD เป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบบ 5 ประตู โดยทั้ง 2 รุ่น จะมีให้เลือกทั้งหมดรุ่นละ 2 สเปค รวม 4 สเปค ได้แก่ Pocco รุ่น MM YX ราคา 399,000 บาท มาพร้อมแบทเตอรีลิเธียม-ไอออน ความจุอยู่ที่ 9.2 กิโลวัตต์ชั่วโมง ให้ระยะทางวิ่งสูงสุด 116 กม. สำหรับอีกรุ่นจะเป็น Pocco รุ่น MM ZX ราคา 469,000 บาท มาพร้อมกับ แบทเตอรีลิเธียม-ไอออน ความจุอยู่ที่ 14.0 กิโลวัตต์ชั่วโมง ให้ระยะทางวิ่งได้สูงสุด 170 กม.

สำหรับ Pocco รุ่น DD L ราคา 389,000 บาท มาพร้อมแบทเตอรีลิเธียม-ไอออน ความจุอยู่ที่ 10.3 กิโลวัตต์ชั่วโมง ให้ระยะทางวิ่งสูงสุด 128 กม. ทุกรุ่นรุ่นสามารถชาร์จด้วยไฟบ้าน จาก 0-100 % ใน เวลา 6-8 ชั่วโมง และอีกรุ่นก็คือ Pocco รุ่น DD K ราคา 449,000 บาท มาพร้อม แบทเตอรีลิเธียม-ไอออน ความจุอยู่ที่ 14.5 กิโลวัตต์ชั่วโมง ให้ระยะทางวิ่งสูงสุด 178 กม. ทุกรุ่นย่อย สามารถชาร์จด้วยไฟบ้าน จาก 0-100 % ใน เวลา 6-8 ชั่วโมง

9.VOLVO EX30 PURE ELECTRIC

รถยนต์ไฟฟ้าอเนกประสงค์ขนาดเล็ก มีมิติตัวถังยาว 4,233 มม. กว้าง 1,837 มม. สูง 1,549 มม. และความยาวฐานล้อ 2,650 มม.  แบ่งเป็น 2 เกรด 2 ระบบขับเคลื่อน รวม 3 รุ่นย่อย รุ่น Single Motor (มอเตอร์เดี่ยว) กำลังสูงสุด 272 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 343 นิวตันเมตร จ่ายไฟด้วยแบตเตอรี่ NMC ขนาด 69 kWh ขับเคลื่อนล้อหลัง ระยะทางวิ่ง 600 กม./ชาร์จ (NEDC) และ รุ่น Twin Motor (มอเตอร์คู่) กำลังสูงสุด 428 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 542 นิวตันเมตร จ่ายไฟด้วยแบตเตอรี่ NMC ขนาด 64 kWh ขับเคลื่อน4 ล้อ ระยะทางวิ่ง 590 กม./ชาร์จ (NEDC) มีสีให้เลือกทั้งหมด 5 สี ได้แก่ สีเหลือง Moss Yellow, สีฟ้า Cloud Blue, สีขาว Crystal White, สีเทา Vapour Grey และสีดำ Onyx Black ราคาจำหน่าย Volvo EX30 เกรด Core รุ่น Single Motor ราคา 1,590,000 บาท , Volvo EX30 เกรด Ultra รุ่น Single Motor ราคา 1,790,000 บาท และ Volvo EX30 เกรด Ultra รุ่น Twin Motor ราคา 1,890,000 บาท

10.WULING MINI EV

รถไฟฟ้าไซส์เล็กน่ารัก เปิดประทุน 2 ที่นั่ง ไฟฟ้าวิ่งได้ 280 กม. มิติตัวรถความยาว 3,059 มม. กว้าง 1,521 มม. สูง 1,614 มม. ระยะฐานล้อ 2,010 มม มาพร้อมมอเตอร์ขนาด 30 kW ให้กำลังที่ 41 แรงม้า แรงบิด 110 นิวตันเมตร ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 100 กม./ชม. ขนาดแบตเตอรี่ 26.5 kWh วิ่งได้ระยะทางสูงสุด 280 กม. (CLTC) ใครที่ชอบรถสไตล์นี้ แนะนำให้ลองนั่งกันดีงานจะดีที่สุดครับ สำหรับราคาจำหน่ายอยู่ที่ ราคา 440,000 บาท

11.MG Cyberster

สำหรับรุ่นนี้เคยเป็นคอนเซปต์คาร์เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ตอนนี้มาเปิดตัวจริงๆ กันแล้ว เป็นรถแนวโรสเตอร์ ประตูเปิดแบบปีกนก มีมอเตอร์ 2 ตัว กำลังขับเคลื่อน 400 กิโลวัตต์ กำลังสูงสุดที่ 530 แรงม้า แรงบิตสูงสุด 725 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ที่ 3.2 วินาที แบตขนาด 77 kWh ทำระยะทางได้สูงสุด 520 กิโลเมตร ใครชอบรถแนวสปอร์ต เปิดประทุน ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอีกรุ่นหนึ่ง

12.MG IM LS6

IM LS6 เป็นรถ SUV ขนาดใหญ่ ตัวถังยาว 4,904 มิลลิเมตร กว้าง 1,988 มิลลิเมตร พละกำลังตั้งแต่ 314 – 787 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 – 800 นิวตันเมตร แบตเตอรี่ Ternary Lithium-ion 400V –  800V ขนาดความจุ 71 – 100kWh  , วิ่งระยะไกลสุด 560 – 702 km. (CLTC), ความเร็วสูงสุด Top Speed 200 – 220 km/h สำหรับรถรุ่นนี้มีด้วยกัน 6 รุ่น รุ่น Standard Range รุ่น Long Range รุ่น Super Long Range รุ่น Super Performance AWD

13.Hyundai Ioniq 5

IONIQ 5 รถยนต์ไฟฟ้าอีวี 100% สไตล์แฮทช์แบค มาพร้อม 3 รุ่นย่อย นั่นคือ รุ่น Premium ราคา 1,699,000 บาท , รุ่น Exclusive ราคา 1,899,000 บาท และ  รุ่น First Edition ราคา 2,399,000 บาท นำเข้าทั้งคันจากประเทศเกาหลีใต้ ขับเคลื่อนล้อหลัง RWD ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 170 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร พ่วงด้วยแบตเตอรี่ Lithium-ion ความจุ 58.0 kWh รองรับการชาร์จไฟฟ้ากระแสสลับ AC สูงสุด 11 kW และรองรับการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสตรง DC สูงสุด 350 kW (Ultra Fast Charging) อัตราเร่ง 0-100 km/h ภายใน 8.5 วินาทีระยะทางวิ่งสูงสุดต่อการชาร์จเต็ม ทำได้ 336 กิโลเมตร (มาตรฐาน WLTP)

14.BYD Seal

รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นสุดฮอตจาก BYD ที่มีจุดเด่นในเรื่องของอัตราเร่ง 0 – 100 กม./ชม. เพียง 3.8 วินาทีเท่านั้น ตอนนี้ได้รับการตอบรับที่ดีมากๆ เป็นรถที่ออกแบบมาแนวสปอร์ต แต่มีความกว้างขวาง สะดวกสบาย มาพร้อมหน้าจอขนาดใหญ่ 12.8 นิ้ว พร้อมระบบอินโฟเทนเมนท์ DiLink 4.0 ระบบเสียง Harman Kardon เบาะนั่งปรับไฟฟ้า โดยมีให้เลือกด้วยกัน 2 รุ่น คือ Dynamic มาพร้อมอเตอร์ไฟฟ้า 204 แรงม้า แรงบิตสูงสุด 310 นิวตันเมตร สามารถวิ่งได้ระยะทางสูงสุดที่ 650 กิโลเมตรต่อการชาร์จ สำหรับอีกรุ่นจะเป็นรุ่น Performance รุ่นนี้มาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้าถึง 2 ตัว ให้กำลังรวมอยู่ที่ 530 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 670 นิวตันเมตร วิ่งได้ระยะทางสูงสุดที่ 650 กิโลเมตรต่อชาร์จ สำหรับราคารุ่น Dynamic 1,3250,000 บาท และรุ่น Performance 1,599,000 บาท

สำหรับใครที่สนใจรถไฟฟ้าอยู่ แนะนำให้ไปดูกันที่งานดีที่สุด เพราะไปที่เดียว ดูได้หลายรุ่นมาก และในงานยังสามารถข้อมูล และโปรโมชั่นจากพนักงานขายเอามาเปรียบเทียบก่อนตัดสินใจซื้อได้เลย ในงานหลายรุ่นก็สามารถทดลองขับได้ด้วยครับ ทั้งหมดนี้ก็เป็นข้อมูลรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นที่น่าสนใจจากงาน Motor Expo 2023

ขอบคุณภาพประกอบจาก Motor Expo 2023

สำหรับบทความนี้ทางทีมงานจะนำทุกท่านไปรู้จักกับ “คาร์บอนเครดิตป่าไม้” กัน ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ได้รับความสนใจอย่างมาก เพราะโครงการนี้นอกจากจะช่วยในเรื่องของการลดก๊าซเรือนกระจกแล้ว ยังสามารถสร้างมูลค่าได้อีกด้วย

คาร์บอนเครดิตป่าไม้ คืออะไร?

คาร์บอนเครดิตป่าไม้ (Forest Carbon Credit) คือ หน่วยวัดปริมาณการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากกิจกรรมป่าไม้ เช่น การปลูกต้นไม้ บำรุงรักษาป่า อนุรักษ์ป่า ฟื้นฟูป่า เป็นต้น โดยกิจกรรมเหล่านี้จะช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์จากชั้นบรรยากาศ ทำให้ปริมาณก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศลดลง คาร์บอนเครดิตป่าไม้สามารถใช้เพื่อลดภาระการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมได้ โดยภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมสามารถซื้อคาร์บอนเครดิตจากโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคป่าไม้ (T-VER) ของกรมป่าไม้ เพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตนเอง โดยคาร์บอนเครดิตจากโครงการ T-VER มีหน่วยเป็น “ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2eq)”

ข้อกำหนดในการทำคาร์บอนเครดิตป่าไม้

สำหรับข้อกำหนดในการทำคาร์บอนเครดิตประเภทป่าไม้ เป็นไปตามหลักเกณฑ์และแนวทางของโครงการ T-VER ภาคป่าไม้ ของกรมป่าไม้ ดังนี้

คุณสมบัติของโครงการ

  1. ต้องเป็นโครงการที่ดำเนินการในพื้นทีป่าไม้ของประเทศไทย
  2. ต้องมีวัตถุประสงค์เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
  3. โครงการมีการออกแบบและดำเนินงานเป็นไปตามหลักเกณฑ์และแนวทางโครงโครงการ T-VER ภาคป่าไม้
  4. ต้องมีงบประมาณเพียงพอในการจ้างผู้ประเมินภายนอกเพื่อตรวจสอบปริมาณคาร์บอนเครดิต
  5. ต้องมีพื้นที่ขนาดใหญ่เพียงพอต่อการทำคาร์บอนเครดิตป่าไม้ให้มีต้นทุนต่อหน่วยสามารถซื้อขายเชิงการค้าได้
  6. ต้องได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องตามกฏหมายในการแสดงสิทธิการใช้ประโยชน์จากที่ดิน

ประเภทต้นไม้ที่สามารถทำคาร์บอนเครดิตป่าไม้ได้

  1. ไม้ยืนต้นที่มีเนื้อไม้และอายุยืนยาว มีความสูงเกิน 1.30 เมตรขึ้นไป และมีวงปี ตั้งแต่ 4.50 เซนติเมตรขึ้นไป ตัวอย่างไม้ยืนต้นที่มีเนื้อไม้และอายุยืนยาว ได้แก่ ไม้สัก ไม้ยาง ไม้มะฮอกกานี ไม้แดง เป็นต้น
  2. ต้นไม้ที่ไม่มีวงปี ได้แก่ ไผ่ ปาล์ม และ มะพร้าว เป็นต้น
  3. ประเภท Blue Carbon เช่น หญ้าทะเล พืชที่อยู่ในป่าชายเลน เป็นต้น

ทั้งนี้ ต้นไม้ที่ปลูกหรือปลูกเสริมในโครงการป่าไม้เพื่อรับรองคาร์บอนเครดิต ต้องเป็นไม้ที่ปลูกในพื้นที่ที่มีศักยภาพในการเพิ่มการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ เช่น พื้นที่ป่าเสื่อมโทรม พื้นที่ที่มีแนวโน้มจะมีการบุกรุกแผ้วถาง เป็นต้น

การปลูกต้นไม้/ปลูกป่า

  1. พื้นที่โครงการต้องเป็นพื้นที่ป่าไม้ที่มีสภาพพื้นที่เป็นป่า คือ มีความหนาแน่นเรือนยอดไม่น้อยกว่า 30% และต้นไม้เมื่อโตเต็มที่สูงเกิน 3 เมตร ไม้ที่ปลูกต้องเป็นไม้รอบตัดฟันยาว
  2. เป็นพื้นที่ที่มีแนวโน้มจะมีการเปลี่ยนแปลงจากพื้นที่ป่าเป็นพื้นที่ที่ไม่ใช่ป่า
  3. ก่อนเริ่มโครงการต้องไม่มีการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศป่าไม้ดั้งเดิม
  4. ในกรณีที่มีการปลูกเสริม ต้องคัดเลือกชนิดพันธุ์ไม้ที่เหมาะสมกับระบบนิเวศเดิมในพื้นที่
  5. มีเอกสารสิทธิ์หรือ ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

ตัวอย่างโครงการที่สามารถเข้าร่วมคาร์บอนเครดิตป่าไม้ได้

  1. โครงการปลูกป่าในพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม
  2. โครงการอนุรักษ์ป่าต้นน้ำ
  3. โครงการฟื้นฟูป่าชายเลน
  4. โครงการปลูกป่าเพื่อเป็นแหล่งอาหารและที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า

การคำนวณและการขายคาร์บอนเครดิต

สำหรับการคำนวณจะทำโดยผู้ประเมินภายนอกเพื่อตรวจสอบความใช้ได้ และทวนสอบปริมาณคาร์บอนเครดิต สำหรับคาร์บอนเครดิตที่ผลิตได้จากโครงการป่าไม้ สามารถจำหน่ายได้ในตลาดคาร์บอน โดยภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมสามารถซื้อคาร์บอนเครดิตจากโครงการป่าไม้ เพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตนเองได้เช่นกัน

เดือน พฤศจิกายน 2566 มีโครงการที่ได้รับการรับรองปริมาณคาร์บอนเครดิตป่าไม้ (T-VER) ภาคป่าไม้ ทั้งสิ้น 6 โครงการ ปริมาณคาร์บอนเครดิตเท่ากับ 118,915 tCO2eq โดยโครงการที่ได้รับการรับรองคาร์บอนเครดิตป่าไม้มากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่

  1. โครงการการปลูกป่าอย่างยั่งยืน ณ วัดหนองจระเข้ ตําบลบ้านนา อําเภอแกลง จังหวัดระยอง ปริมาณคาร์บอนเครดิต 1,254 tCO2eq
  2. โครงการป่านิเวศระยองวนารมย์ กลุ่ม ปตท. ปริมาณคาร์บอนเครดิต 1,074 tCO2eq
  3. โครงการอนุรักษ์ป่าต้นน้ำบ้านแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ปริมาณคาร์บอนเครดิต 852 tCO2eq

โครงการที่ได้รับการรับรองปริมาณคาร์บอนเครดิตป่าไม้ ส่วนใหญ่เป็นโครงการปลูกป่าในพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมหรือพื้นที่ที่มีแนวโน้มจะมีการบุกรุกแผ้วถาง โดยโครงการเหล่านี้จะช่วยเพิ่มพื้นที่ป่าไม้และเพิ่มการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ในระบบนิเวศ สำหรับผู้ที่สนใจก็สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. 

Photo credit : freepik

นวตกรรมอิฐประหยัดพลังงานได้รับการคิดค้นมาหลายปี มีผู้ผลิตมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเน้นการผลิตอิฐให้มีความแข็งแรงมากขึ้น ต้านทานความร้อนได้ดีมากขึ้น ล่าสุดมีการคิดค้นอิฐประหยัดพลังงานรุ่นใหม่ในชื่อ Air Flow Block ออกมา ซึ่งมีจุดเด่นในเรื่องของการประหยัดพลังงาน และลดความร้อนเข้าสู่บ้านหรือภายในอากาศได้ดีกว่าอิฐประหยัดพลังงานแบบเดิมๆ

อิฐประหยัดพลังงาน คืออะไร

อิฐประหยัดพลังงาน คือ อิฐที่มีค่าสัมประสิทธิ์การนำความร้อน (k) ต่ำ ส่งผลให้มีคุณสมบัติในการต้านทานความร้อนได้ดี ทำให้ความร้อนจากภายนอกอาคารเข้าสู่ภายในอาคารได้ช้าลง ช่วยลดการใช้พลังงานไฟฟ้าในการปรับอากาศภายในอาคาร

อิฐประหยัดพลังงานในประเทศไทย แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ ได้แก่

  • อิฐมวลเบา ผลิตจากวัสดุผสม ได้แก่ ทราย ปูนซีเมนต์ หิน และสารเคมีอื่นๆ ทำให้มีน้ำหนักเบา แข็งแรง ทนทาน และมีคุณสมบัติในการต้านทานความร้อนได้ดี
  • อิฐบล็อคเบา ผลิตจากวัสดุผสม ได้แก่ ทราย ปูนซีเมนต์ และสารเคมีอื่นๆ ทำให้มีน้ำหนักเบา แข็งแรง ทนทาน และมีคุณสมบัติในการต้านทานความร้อนได้ดีเช่นกัน

อิฐประหยัดพลังงานได้รับการรับรองจากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) กระทรวงพลังงาน ให้เป็นวัสดุประหยัดพลังงานประสิทธิภาพสูง โดยอิฐมวลเบาและอิฐบล็อคเบาที่ผ่านการรับรองจะมีฉลากประหยัดพลังงานติดอยู่ที่ตัวสินค้า

บทความนี้เราจะแนะนำให้ทุกท่านรู้จักกับ อิฐประหยัดพลังงาน Air Flow Block กันครับ สำหรับคนที่คิดค้น อิฐประหยัดพลังงาน Air Flow Block นี้ก็คือ คุณวิโรจน์ เป็นอดีตวิศวกรเกษียณ จ.ระยอง ใช้ความรู้ด้านวิศวกร มาออกแบบ อิฐประหยัดพลังงาน Air Flow Block แบบใหม่ ที่คิดค้นมากว่า 4 ปี และได้จดสิทธิบัตรเรียบร้อยแล้ว

ความเป็นมาของ อิฐประหยัดพลังงาน Air Flow Block

แนวคิดในการคิดค้นก็มาจากความพยามที่จะให้ช่างธรรมดาสามารถก่อกำแพงได้ง่าย และตรง ก็เลยมีการค้นหาข้อมูลพบว่ามีคนทำอิฐอยู่แล้วมากมาย ก็เลยมีไอเดียว่าจะเพิ่มฟังก์ชันในการประหยัดพลังงานเข้าไปด้วย ก็เคยไปค้นคว้าหาข้อมูลการผลิตอิฐประหยัดพลังงานที่มีอยู่ทั่วโลก โดยเพิ่มโจทย์เข้าไปว่าทำยังไงให้สามารถประหยัดพลังงานได้มากกว่าอิฐเดิมๆ ที่มีอยู่

ซึ่งก็ได้มาเป็น อิฐประหยัดพลังงาน Air Flow Block ที่ผลิตอยู่ในขณะนี้ ใช้หลักการเรื่องของการระบายอากาศ เพิ่มร่องอากาศเข้าไปรอบตัว เมื่อมีการก่ออิฐและฉาบแล้วจะไม่มีการขังของอากาศอยู่ภายใน เมื่อผนังร้อนอากาศก็จะถูกขับออกมาตามร่องต่างๆ ทำให้ผนังมีความเย็นนั่นเอง วัสดุที่ใช้ในการทำอิฐก็จะเป็น หินฝุ่น ปูน ทราย โดยใช้เครื่องจักรในการผลิต เพราะต้องใช้แรงอัดสูงมากให้ออกมามีขนาดมาตรฐาน นอกจากนี้ยังสามารถใช้วัสดุอื่นๆ มาผลิต อิฐประหยัดพลังงาน Air Flow Block ได้อีกด้วย เช่น ยิปซั่ม เถ้าถ่านจากโรงไฟฟ้า ขยะสับละเอียด แล้วขึ้นรูปออกมาแบบเดียวกัน ก็สามารถช่วยประหยัดพลังงานได้เช่นกัน

ในการทดสอบพบว่าผนังจากอิฐประหยัดพลังงาน Air Flow Block เมื่อมีแดดส่องจะมีอุณหภูมิต่างกับอิฐปกติประมาณ 3 องศาเซลเซียส ช่วยประหยัดไฟได้สูงสุด 20% นอกจากนี้ในช่วงหน้าหนาวตัวอิฐประหยัดพลังงาน Air Flow Block จะอุ่นเพราะจะมีการดึงอากาศที่มีความร้อนเข้าไปแทน สรุปง่ายๆ ว่าถ้าเจออากาศร้อนอิฐจะเย็น ถ้าเจออากาศเย็นอิฐก็จะอุ่นนั่นเอง

นอกจากนี้อิฐประหยัดพลังงาน Air Flow Block ยังมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่าอิฐประหยัดพลังงาน และอิฐแบบทั่วๆ ไปอีกด้วย สามารถดูสเปคและรายละเอียดการเปรียบเทียบได้จากตารางด้านล่างนี้

สรุปข้อดีของ อิฐประหยัดพลังงาน Air Flow Block

  • ช่วยลดความร้อนที่จะเข้าสู่ตัวบ้านหรืออาคารได้ดี
  • เมื่ออากาศร้อนอิฐจะเย็น และเมื่ออากาศเย็นอิฐจะอุ่นขึ้นตามกลไกลของ Air Flow
  • ค่าใช้จ่ายถูกกว่าการใช้อิฐในรูปแบบเดิมๆ
  • มีความแข็งแรงไม่ต่างจากอิฐที่ใช้กันอยู่ทั่วๆ ไป
  • ราคาอิฐประหยัดพลังงาน Air Flow Block ต่ำกว่าอิฐประหยัดพลังงานอื่นๆ
  • น้ำหนักเบากว่าอิฐประหยัดพลังงานอื่นๆ

สำหรับใครที่กำลังจะก่อสร้างบ้านหรืออาคารอิฐประหยัดพลังงาน Air Flow Block ก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจมากด้วยข้อดีต่างๆ ที่ดีกว่าอิฐทั่วๆ ไป รวมถึงอิฐประหยัดพลังงานแบอื่นๆ ด้วย ซึ่งจะช่วยลดค่าก่อสร้างได้ รวมถึงยังช่วยให้บ้านหรืออาคารเย็นกว่า และช่วยประหยัดไฟได้สูงสุดถึง 20% เมื่อเทียบกับการใช้อิฐในรูปแบบเดิมๆ ใครที่สนใจอยากทราบข้อมูลเพิ่มเติมก็สามารถเข้าไปที่เพจ Air Flow Block ได้เลย

หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่า ขวดใส่น้ำใสๆ กล่องใส่อาหารที่เป็นพลาสติกใสๆ ที่เราใช้อยู่เป็นพลาสติกแบบรีไซเคิลระดับ Food Grade เพราะเข้าใจกันมาตลอดว่าพวกพลาสติกรีไซเคิลนั้น จะไม่สามารถนำมาใช้ใส่อาหารได้ ซึ่งบทความนี้จะพาทุกท่านมารู้จักกับ พลาสติก PCR ที่กำลังมาแรงที่สุดในขณะนี้ เพราะเป็นพลาสติกรีไซเคิลระดับ Food Grade ที่นำมาใช้ได้จริง ช่วยลดปัญหาขยะ ลดโลกร้อน และลดการใช้พลังงาน

พลาสติก PCR (Post-Consumer Recycled Resin)

พลาสติก PCR (Post-Consumer Recycled Resin) คือ เม็ดพลาสติกรีไซเคิลที่ผลิตขึ้นจากพลาสติกที่ใช้งานแล้ว โดยจะเป็นพลาสติกที่ผู้บริโภคใช้กัน เช่น ขวดพลาสติก บรรจุภัณฑ์พลาสติก ถุงพลาสติก เป็นต้น พลาสติกเหล่านี้จะถูกนำไปคัดแยก ทำความสะอาด และบดย่อยให้เป็นเม็ดพลาสติกขนาดเล็ก จากนั้นจึงนำไปขึ้นรูปเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น ขวดพลาสติก บรรจุภัณฑ์พลาสติก ถุงพลาสติก เฟอร์นิเจอร์ เสื้อผ้า รองเท้า เป็นต้น

พลาสติก PCR สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้หลายครั้ง โดยยังคงคุณสมบัติและคุณภาพใกล้เคียงกับพลาสติกใหม่ จึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ผลิตและผู้บริโภคที่ต้องการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีข้อดีหลายอย่างเช่น

  • ลดต้นทุนการผลิต
  • ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
  • ช่วยแก้ไขปัญหาขยะพลาสติก และมีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
  • ลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น น้ำมันปิโตรเลียม
source : ENVICCO

บริษัท ENVICCO เป็นโรงงานผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูงระดับ Food Grade

สำหรับการรีไซเคิลพลาสติกให้มาเป็น พลาสติก PCR ในบ้านเรานั้น มีบริษัท ENVICCO เป็นโรงงานผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูงระดับ Food Grade ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมเอส เอส พี เขตประกอบการอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง ประเทศไทย ดำเนินการโดยบริษัท เอ็นวิคโค จำกัด ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัท ปตท. โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC และบริษัท ALPLA Werke Alwin Lehner GmbH & Co KG หรือ ALPLA ผู้นำระดับโลกในธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติกและพลาสติกรีไซเคิล โดยทาง GC ยังได้มีการริเริ่ม GC YOUเทิร์น เป็นโครงการรีไซเคิลพลาสติกของทางบริษัท เข้ามาช่วยจัดการ ตั้งแต่วิธีการคัดแยก การจัดเก็บ การขนส่ง เพื่อส่งต่อให้กับโรงงาน ENVICCO

นอกจากนี้บริษัท ENVICCO ยังได้รับการรับรองจากสำนักคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข (อย.) ตัวบริษัทตั้งอยู่ที่นิคมเอเชีย มาบตาพุด จังหวัดระยอง เพื่อผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิล (PCR) ภายใต้แบรนด์ InnoEco

สำหรับเม็ดพลาสติก InnoEco PCR PET เป็นเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูงระดับ Food Grade ผ่านกระบวนการคัดแยกและล้างด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง ผ่านกระบวนการอัดรีดกระบวนการกำจัดสิ่งเจือปน และกระบวนการปรับปรุงคุณภาพ มีคุณสมบัติและคุณภาพใกล้เคียงกับพลาสติกใหม่ จึงสามารถใช้ผลิตผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้อย่างหลากหลาย ซึ่งผลิตจากพลาสติกใช้แล้วในประเทศไทย 100% รับประกันการตรวจสอบย้อนกลับของวัตถุดิบ (Traceability) ได้ 100%

โรงงาน ENVICCO มีพื้นที่รวม 100 ไร่ มีกำลังการผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิล 45,000 ตันต่อปี ลดก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 140,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า/ปี โดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูงจากยุโรปในการคัดแยก ทำความสะอาด และบดย่อยพลาสติกใช้แล้วให้เป็นเม็ดพลาสติกขนาดเล็ก จากนั้นจึงนำไปขึ้นรูปเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ ผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติก PCR ของ ENVICCO ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล ISO 9001:2015, ISO 14001:2015 และ US FDA สามารถใช้ผลิตบรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มได้

GC YOUเทิร์น โครงการรีไซเคิลพลาสติก

GC YOUเทิร์น เป็นโครงการรีไซเคิลพลาสติกของ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC มุ่งเน้นการบริหารจัดการขยะพลาสติกใช้แล้วอย่างครบวงจร ตั้งแต่การคัดแยก รวบรวม ขนส่ง จนถึงการแปรรูปเป็นเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง เพื่อนำกลับมาสร้างมูลค่าในรูปแบบต่างๆ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

โครงการ GC YOUเทิร์น เริ่มต้นขึ้นในปี 2564 โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อแก้ไขปัญหาขยะพลาสติกล้นโลก และส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ โดย GC ได้ร่วมมือกับพันธมิตรต่างๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อขยายเครือข่ายการมีส่วนร่วมในโครงการ และเพิ่มปริมาณขยะพลาสติกที่เข้าสู่ระบบรีไซเคิล

การดำเนินงานของโครงการ GC YOUเทิร์น ประกอบด้วย 3 ขั้นตอนหลัก ได้แก่

  1. การคัดแยกขยะพลาสติก GC YOUเทิร์น ส่งเสริมให้ประชาชนคัดแยกขยะพลาสติกออกจากขยะอื่นๆ โดยจุดรับขยะพลาสติกของโครงการมีสัญลักษณ์ GC YOUเทิร์น ปรากฏอย่างชัดเจน เพื่อให้ประชาชนสามารถสังเกตและนำขยะพลาสติกมาทิ้งได้อย่างถูกต้อง
  2. รวบรวมและขนส่งขยะพลาสติก GC YOUเทิร์น มีเครือข่ายรถขนส่งขยะพลาสติกที่ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อรวบรวมขยะพลาสติกจากจุดรับขยะพลาสติกต่างๆ และนำส่งไปยังโรงงานแปรรูป
  3. การแปรรูปขยะพลาสติก ขยะพลาสติกที่รวบรวมได้จะถูกนำไปแปรรูปเป็นเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง โดยโรงงานแปรรูปของ GC หรือโรงงานแปรรูปของพันธมิตรของโครงการ

เม็ดพลาสติกรีไซเคิลที่ผลิตได้จากโครงการ GC YOUเทิร์น สามารถนำกลับมาสร้างมูลค่าในรูปแบบต่างๆ ได้อย่างหลากหลาย เช่น ผลิตเป็นขวดพลาสติก บรรจุภัณฑ์พลาสติก ถุงพลาสติก เฟอร์นิเจอร์ เสื้อผ้า รองเท้า เป็นต้น

โครงการ GC YOUเทิร์น ประสบความสำเร็จในการลดปริมาณขยะพลาสติกและส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ โดยในปี 2565 โครงการสามารถรวบรวมขยะพลาสติกได้กว่า 10,000 ตัน และผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูงได้กว่า 7,000 ตัน

ทั้งหมดนี้ก็เป็นเรื่องราวของ พลาสติก PCR ที่สามารถผลิตกันได้แล้วในประเทศไทย และเราก็มีโรงงานที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งความต้องการใช้พลาสติก PCR ทั่วโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยลดปัญหาขยะพลาสติกล้นโลก ช่วยในเรื่องของการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยประหยัดพลังงาน ส่งเสริมทางเลือกให้กับการใช้พลาสติกรีไซเคิล และที่สำคัญที่สุด ผู้บริโภคสามารถใช้พลาสติก PCR ซึ่งเป็นพลาสติกรีไซเคิลระดับ Food Grade ได้อย่างปลอดภัย

Photo : freepik , envicco