วันนี้จะพาทุกท่านมารู้จักกับน้ำมันสำหรับเครื่องบินที่มีชื่อเรียกว่า SAF กันครับ ซึ่งย่อมาจากคำว่า Sustainable Aviation Fuel โดยน้ำมันประเภทนี้ต้องบอกก่อนว่า มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นพลังงานสะอาดให้กับเครื่องบินนั่นเอง เพราะในแต่ละปีสายการบินต่างๆ ทั่วโลกมีการใช้น้ำมันเป็นจำนวนมาก ซึ่งก่อนให้เกิดมลพิษทางอากาศเป็นจำนวนมหาศาล หากมีการเปลี่ยนมาให้พลังงานสะอาด ก็เป็นอีกทางหนึ่งที่จะช่วยรักษ์โลกได้นั่นเอง
น้ำมัน SAF คืออะไร?
SAF มาจากคำว่า Sustainable Aviation Fuel เป็นน้ำมันสำหรับเครื่องบิน ในไทยเราจะคำเรียกกันว่า น้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน เป็นพลังงานทางเลือกสำหรับอุตสาหกรรมการบิน เพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์ได้มากถึง 80% เมื่อเทียบกับการใช้เชื้อเพลิงแบบเดิมๆ ที่มีการใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งน้ำมัน SAF นั้นสามารถนำมาใช้กับเครื่องบินได้ทันที โดยไม่มีผลกระทบใดๆ กับเครื่องยนต์

น้ำมัน SAF ผลิตจากอะไร?
น้ำมัน SAF ผลิตจากน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว (Used Cooking Oil หรือ UCO) เป็นหลัก โดยในบ้านเราจะมีการรับซื้อน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว มาสำหรับผลิตน้ำมัน SAF ด้วย แต่ในหลายๆ ประเภทนั้นมีการเปิดเผยข้อมูลว่า นอกจากจะใช้น้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว ตัวน้ำมัน SAF ก็ยังสามารถใช้ไขมันสัตว์ เศษอาหารจากครัวเรือน หรืออุตสาหกรรมอาหาร รวมถึงพวกกากน้ำมันปาล์ม ซึ่งเป็นของเสียทางการเกษตร มาใช้ผลิตเป็นน้ำมัน SAF ได้ด้วย ซึ่งต้นทุนในการผลิตก็จะมีความแตกต่างกันไปตามแต่สิ่งที่นำมาใช้ รวมถึงจำนวนน้ำมัน SAF ที่ได้ออกมาด้วย
และด้วยการน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้วมาผลิตเป็นน้ำมัน SAF นั้น ทำให้กลายเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยลดปัญหาการเหลือทิ้งของน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้วด้วย เพราะส่วนใหญ่จะนำมาใช้ซ้ำ ทำให้มีผลเสียต่อสุขภาพ หรือไม่ก็นำมาเททิ้งตามที่ต่างๆ ส่งผลเสียต่อสภาพแวดล้อมเป็นอย่างมาก จากข้อมูลพบว่าคนไทยนั้นใช้น้ำมันมากถึง 1,000 ล้านลิตรต่อปี และมีน้ำมันปรุงอาหารที่เหลือทิ้งอยู่ราวๆ 1 ใน 4 ก็อยู่ที่ประมาณ 200 – 300 ล้านลิตรต่อปี ก็ถือว่าเป็นจำนวนที่มากจนน่าตกใจกันเลยทีเดียว เมื่อมีการรับซื้อมาเพื่อใช้ผลิตเป็นน้ำมัน SAF แล้ว ก็ช่วยลดการใช้น้ำมันซ้ำได้ ลดผลเสียต่างๆ ที่เกิดกับแหล่งน้ำ ท่อระบายน้ำได้ เพราะการเทน้ำมันใช้แล้วลงท่อระบายน้ำ จะทำให้เกิดการอุดตันได้ง่าย และเกิดการหมักหมมในท่อ ทำให้เกิดเชื้อโรคต่างๆ ตามมา นอกจากนี้น้ำมันที่เราใช้แล้ว ยังจะไปเคลือบผิวของจุลินทรีย์ส่งผลให้จุลินซีย์ไม่สามารถรับออกซิเจน สารอาหาร และน้ำได้เลย ส่งผลให้เกิดน้ำเน่าเสียได้อีก
ประโยชน์ของน้ำมัน SAF
น้ำมัน SAF หรือเชื้อเพลิงการบินที่ยั่งยืน นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากอุตสาหกรรมการบิน มาทำความเข้าใจกันว่าทำไมน้ำมัน SAF จึงสำคัญ และมีประโยชน์อย่างไรบ้าง
1. ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
- ลดมลพิษทางอากาศ น้ำมัน SAF ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 80% เมื่อเทียบกับน้ำมันเครื่องบินทั่วไป
- ชะลอภาวะโลกร้อน การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมีส่วนช่วยชะลอภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
2. ยั่งยืน
- ใช้ประโยชน์จากของเสีย น้ำมัน SAF ผลิตจากวัตถุดิบทางเลือก เช่น น้ำมันพืชใช้แล้ว ไขมันสัตว์ หรือเศษอาหาร ช่วยลดปริมาณขยะและนำทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่
- ลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล การใช้ น้ำมัน SAF ช่วยลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งเป็นทรัพยากรที่ไม่สามารถทดแทนได้
3. อนาคตของการบิน
- เป็นทางเลือกที่ยั่งยืน น้ำมัน SAF เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับอุตสาหกรรมการบินที่ต้องการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
- สอดคล้องกับเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน การใช้ น้ำมัน SAF สอดคล้องกับเป้าหมายของหลายประเทศในการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน
4. ประโยชน์อื่นๆ
- เพิ่มความหลากหลายของพลังงาน การใช้ น้ำมัน SAF ช่วยเพิ่มความหลากหลายของแหล่งพลังงาน และลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาแหล่งพลังงานเดียว
- สร้างโอกาสทางธุรกิจ การผลิตและการใช้ น้ำมัน SAF สร้างโอกาสทางธุรกิจและการลงทุนใหม่ๆ
น้ำมัน SAF ในประเทศไทย
น้ำมัน SAF (Sustainable Aviation Fuel) หรือเชื้อเพลิงการบินยั่งยืน กำลังได้รับความสนใจมากขึ้นในประเทศไทย เนื่องจากความต้องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอุตสาหกรรมการบิน และการตอบสนองต่อแนวโน้มของการบินที่ยั่งยืนในระดับโลก
ความเคลื่อนไหวในประเทศไทย
- การพัฒนาและการผลิต
- บริษัท ปตท. และ บางจาก เป็นผู้เล่นสำคัญในด้านการพัฒนาน้ำมัน SAF ในประเทศไทย ทั้งสองบริษัทมีการลงทุนและการวิจัยเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีในการผลิต SAF จากวัตถุดิบที่หลากหลาย เช่น น้ำมันพืชใช้แล้ว ไขมันสัตว์ และชีวมวล
- บางจากมีโรงงานที่สามารถผลิต SAF ในระดับต้นแบบ และมีแผนจะขยายกำลังการผลิตในอนาคต
- นโยบายและการสนับสนุน
- รัฐบาลไทยได้สนับสนุนการพัฒนา SAF ผ่านนโยบายพลังงานทดแทน และโครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การส่งเสริมการใช้วัตถุดิบชีวภาพที่ผลิตในประเทศ
- การขับเคลื่อนตามเป้าหมายของ ICAO (International Civil Aviation Organization) ที่ส่งเสริมการใช้ SAF ในการลดการปล่อยคาร์บอน
- สายการบิน
- สายการบินไทย เช่น การบินไทย และ บางกอกแอร์เวย์ส ได้มีการทดลองใช้ SAF ในบางเที่ยวบิน เพื่อประเมินผลกระทบต่อเครื่องยนต์และการลดคาร์บอน
- การบินไทยร่วมมือกับองค์กรในประเทศและต่างประเทศเพื่อพัฒนาห่วงโซ่อุปทานของ SAF
- วัตถุดิบในประเทศไทย
- วัตถุดิบหลักที่ใช้ในการผลิต SAF ในประเทศไทย ได้แก่ น้ำมันปาล์ม ไขมันสัตว์ น้ำมันพืชใช้แล้ว และขยะชีวมวล
- การวิจัยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้วัตถุดิบและลดต้นทุนยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
ความท้าทาย
- ต้นทุนการผลิต SAF มีต้นทุนสูงกว่าน้ำมันเชื้อเพลิงปกติ (Jet A-1) อย่างมีนัยสำคัญ ทำให้การใช้งานในวงกว้างยังคงจำกัด
- โครงสร้างพื้นฐาน โครงสร้างพื้นฐานในการผลิตและจัดจำหน่ายยังต้องการการพัฒนาเพิ่มเติม
- นโยบายระหว่างประเทศ การแข่งขันในระดับโลกและข้อกำหนดจากองค์กรระหว่างประเทศมีผลต่อการพัฒนาตลาด SAF ในประเทศไทย
แนวโน้มในอนาคต
- ประเทศไทยมีศักยภาพในการเป็นผู้นำการผลิต SAF ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หากสามารถพัฒนานโยบายและโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสม
- การลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ เช่น Power-to-Liquid (PtL) และ การดักจับคาร์บอน (Carbon Capture) จะช่วยเพิ่มศักยภาพในระยะยาว
มีน้ำมันใช้แล้ว ขายได้ที่ไหนบ้าง

ตอนนี้ทางบางจากเขามีโครงการที่ชื่อว่า “ทอดไม่ทิ้ง” ซึ่งจะรับซื้อน้ำมันใช้แล้ว ที่ที่สถานีบริการบางจาก จำนวน 162 สถานี โดยรับซื้อ ในราคากิโลกรัมละ 20 บาท (ราคาอาจมีการปรับขึ้นลงตามกลไกตลาดน้ำมันพืช) เพื่อเชิญชวนให้ประชาชนมีร่วมรักษาสิ่งแวดล้อมโดยไม่ทิ้งน้ำมันที่ใช้แล้วสู่พื้นที่สาธารณะ นำน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว มาจำหน่ายในโครงการ “ทอดไม่ทิ้ง“ นำไปผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน SAF สามารถตรวจสอบรายชื่อสถานีบริการบางจากที่ร่วมโครงการ “ทอดไม่ทิ้ง” ได้ที่ https://www.bangchak.co.th/en/newsroom/bangchak-news/1151/
และสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการ “ทอดไม่ทิ้ง” ราคาขายน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว ได้ที่ บริษัท บีเอสจีเอฟ จำกัด โทร. 0 2335 8008, 08 3829 5431 หรือ Add Line: 08 3829 5431

บทสรุป
น้ำมัน SAF (Sustainable Aviation Fuel) เป็นก้าวสำคัญของอุตสาหกรรมการบินในประเทศไทยที่มุ่งสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน โดยมีบทบาทสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสอดรับกับนโยบายพลังงานระดับโลก แม้จะยังเผชิญกับความท้าทายในด้านต้นทุนการผลิตและโครงสร้างพื้นฐาน แต่ประเทศไทยมีศักยภาพสูงในการพัฒนา SAF ด้วยทรัพยากรชีวมวลที่อุดมสมบูรณ์และการสนับสนุนจากภาครัฐ
อนาคตของ SAF ในประเทศไทยขึ้นอยู่กับการลงทุนในเทคโนโลยีที่ทันสมัย การพัฒนานโยบายที่ชัดเจน และความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน หากสามารถก้าวข้ามอุปสรรคได้ ประเทศไทยอาจกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออก SAF ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอนาคตอันใกล้
Photo Cover : Freepik