การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ทั่วโลกหันมาให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจัง หนึ่งในแนวทางที่ถูกพูดถึงและพัฒนาอย่างรวดเร็วคือการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้ เชื้อเพลิงสะอาด หรือ เชื้อเพลิงที่ไร้คาร์บอน (Carbon-free fuels) ซึ่งในบรรดาเชื้อเพลิงทางเลือกมากมาย ไฮโดรเจน และ แอมโมเนีย โดดเด่นขึ้นมาในฐานะความหวังใหม่ของโลกพลังงานที่จะช่วยปลดปล่อยเราจากการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลได้อย่างแท้จริง บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับเชื้อเพลิงทั้งสองชนิดนี้อย่างเจาะลึก ตั้งแต่คุณสมบัติ การผลิต ไปจนถึงบทบาทสำคัญในอนาคต

ไฮโดรเจน (Hydrogen) เชื้อเพลิงแห่งจักรวาล

ไฮโดรเจนเป็นธาตุที่เบาที่สุดและมีปริมาณมากที่สุดในจักรวาล แต่มันไม่ได้มีอยู่ในรูปบริสุทธิ์ตามธรรมชาติ จึงจำเป็นต้องมีการสกัดออกมาจากสารประกอบต่างๆ การผลิตไฮโดรเจนมีหลายวิธีและแต่ละวิธีก็มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน จึงมีการแบ่งประเภทของไฮโดรเจนตามวิธีการผลิตและระดับการปล่อยคาร์บอนออกเป็นสีต่างๆ เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น

สีของไฮโดรเจนวิธีการผลิตการปล่อยคาร์บอนการใช้งานหลัก
ไฮโดรเจนสีเทา (Grey Hydrogen)ผลิตจากก๊าซธรรมชาติ (Methane Reforming)มีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สูงใช้ในอุตสาหกรรมปุ๋ยเคมีและโรงกลั่นน้ำมัน
ไฮโดรเจนสีน้ำเงิน (Blue Hydrogen)ผลิตจากก๊าซธรรมชาติแต่มีการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage)ลดการปล่อยคาร์บอนได้มากพัฒนาเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนในอุตสาหกรรมที่มีอยู่
ไฮโดรเจนสีเขียว (Green Hydrogen)ผลิตโดยใช้กระบวนการอิเล็กโทรไลซิส (Electrolysis) แยกน้ำด้วยไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม)ไร้การปล่อยคาร์บอนเชื้อเพลิงแห่งอนาคตสำหรับภาคขนส่งและอุตสาหกรรมหนัก
ไฮโดรเจนสีชมพู (Pink Hydrogen)ผลิตโดยกระบวนการอิเล็กโทรไลซิสโดยใช้พลังงานจากนิวเคลียร์ไร้การปล่อยคาร์บอนใช้ในอุตสาหกรรมและภาคส่วนที่ต้องการพลังงานสะอาดแต่มีต้นทุนต่ำกว่าไฮโดรเจนสีเขียว

ข้อดีของไฮโดรเจน คือ เมื่อถูกเผาไหม้ในเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell) หรือเครื่องยนต์จะให้ผลผลิตเพียงแค่น้ำและพลังงานความร้อนเท่านั้น ไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือมลพิษใดๆ เลย ทำให้เป็นเชื้อเพลิงที่สะอาดอย่างแท้จริง นอกจากนี้ยังมีค่าพลังงานต่อน้ำหนักสูงมาก ทำให้เป็นเชื้อเพลิงที่เหมาะสำหรับยานพาหนะขนาดใหญ่ เช่น รถบรรทุก เรือ และเครื่องบิน ซึ่งต้องการพลังงานมหาศาล

ข้อจำกัดของไฮโดรเจน คือ การจัดเก็บและการขนส่งทำได้ยากและมีค่าใช้จ่ายสูง เนื่องจากไฮโดรเจนเป็นก๊าซที่เบามาก ต้องเก็บในถังความดันสูงหรือทำให้อยู่ในรูปของเหลวที่อุณหภูมิต่ำมาก (-253 องศาเซลเซียส) ซึ่งต้องใช้พลังงานจำนวนมาก อีกทั้งโครงสร้างพื้นฐานในการรองรับการใช้งานไฮโดรเจนก็ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนา

แอมโมเนีย (Ammonia) ผู้ช่วยที่มาพร้อมความหวัง

แอมโมเนีย (NH₃) เป็นสารประกอบที่เกิดจากไนโตรเจนและไฮโดรเจน แม้จะไม่ได้ถูกจัดอยู่ในกลุ่มเชื้อเพลิงดั้งเดิม แต่ด้วยคุณสมบัติที่น่าสนใจ ทำให้แอมโมเนียกลายเป็นอีกหนึ่งความหวังใหม่ในฐานะเชื้อเพลิงไร้คาร์บอน

ข้อดีของแอมโมเนีย คือสามารถผลิตจากไฮโดรเจนสีเขียวได้ (Green Ammonia) โดยใช้ไนโตรเจนจากอากาศ ซึ่งเป็นกระบวนการที่สะอาด และที่สำคัญกว่านั้นคือ การจัดเก็บและขนส่งทำได้ง่ายกว่าไฮโดรเจน มาก เพราะแอมโมเนียสามารถทำให้อยู่ในรูปของเหลวได้ที่ความดันต่ำและอุณหภูมิที่สูงกว่าไฮโดรเจน (-33 องศาเซลเซียส) ทำให้สามารถใช้โครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีการจัดเก็บที่มีอยู่แล้วในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและอุตสาหกรรมปุ๋ยได้เลย

บทบาทของแอมโมเนีย ในฐานะเชื้อเพลิงสะอาดกำลังได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะใน ภาคการเดินเรือ และ การผลิตไฟฟ้า เรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในที่ปรับเปลี่ยนมาใช้แอมโมเนียสามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ แอมโมเนียยังสามารถนำไปใช้ในโรงไฟฟ้าเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าได้โดยตรง หรือนำไปแตกตัวกลับเป็นไฮโดรเจนเพื่อใช้ในเซลล์เชื้อเพลิงต่อไป

ข้อจำกัดของแอมโมเนีย คือการเผาไหม้แอมโมเนียจะทำให้เกิด ไนโตรเจนออกไซด์ (NOx) ซึ่งเป็นก๊าซพิษและเป็นหนึ่งในสาเหตุของฝนกรด จึงต้องมีการพัฒนาเทคโนโลยีควบคุมและลดการปล่อย NOx ควบคู่ไปด้วย นอกจากนี้ แอมโมเนียยังเป็นสารที่มีพิษและมีกลิ่นฉุนรุนแรง การจัดการและการจัดเก็บจึงต้องเป็นไปอย่างรัดกุมและปลอดภัย

ศักยภาพและการใช้งานในอนาคตของไฮโดรเจนและแอมโมเนีย

การเปลี่ยนผ่านสู่สังคมพลังงานไร้คาร์บอนไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ไฮโดรเจนและแอมโมเนียคือตัวขับเคลื่อนสำคัญที่จะช่วยให้เป้าหมายนี้เป็นจริงได้

  • ภาคการขนส่ง ไฮโดรเจนเหมาะสำหรับยานยนต์ขนาดใหญ่ที่ต้องวิ่งในระยะทางไกล เช่น รถบรรทุก รถโดยสารประจำทาง และรถไฟ รวมถึงเรือและเครื่องบินในอนาคต ในขณะที่แอมโมเนียจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมการเดินเรือ
  • ภาคอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมหนักอย่างการผลิตเหล็กและปูนซีเมนต์ซึ่งปัจจุบันปล่อยคาร์บอนจำนวนมหาศาลสามารถหันมาใช้ไฮโดรเจนสีเขียวเพื่อเป็นแหล่งพลังงานความร้อนแทนถ่านหินหรือก๊าซธรรมชาติ
  • การผลิตไฟฟ้า ไฮโดรเจนและแอมโมเนียสามารถเป็นแหล่งเชื้อเพลิงสำหรับโรงไฟฟ้าที่ใช้เทคโนโลยีกังหันก๊าซหรือโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานในอนาคต

เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อขับเคลื่อนไฮโดรเจนและแอมโมเนีย

การพัฒนาเชื้อเพลิงไร้คาร์บอนไม่ได้หยุดอยู่แค่การผลิต แต่ยังรวมถึงเทคโนโลยีที่ช่วยให้การใช้งานมีประสิทธิภาพและคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น

1. เซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell) หัวใจของพลังงานไฮโดรเจน

เซลล์เชื้อเพลิง คืออุปกรณ์ที่เปลี่ยนพลังงานเคมีจากไฮโดรเจนให้เป็นพลังงานไฟฟ้าโดยตรง โดยไม่มีการเผาไหม้ ไม่มีการปล่อยมลพิษ และมีประสิทธิภาพสูงกว่าเครื่องยนต์สันดาปภายในทั่วไป เซลล์เชื้อเพลิงแบ่งออกเป็นหลายประเภท แต่ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบันคือ เซลล์เชื้อเพลิงแบบเมมเบรนแลกเปลี่ยนโปรตอน (PEM Fuel Cell) ซึ่งใช้ในยานยนต์ไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนด้วยไฮโดรเจน (FCEV) และกำลังพัฒนาเพื่อใช้ในรถบรรทุก รถไฟ และเรือในอนาคต

ประเภทของเซลล์เชื้อเพลิงอุณหภูมิการทำงานการใช้งานหลัก
PEM Fuel Cellต่ำ (60-80°C)ยานยนต์, รถโดยสาร
Solid Oxide Fuel Cell (SOFC)สูง (600-1,000°C)โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่, ระบบสำรองไฟ
Alkaline Fuel Cell (AFC)ต่ำ (<100°C)การใช้งานในอวกาศ

นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาเทคโนโลยี เครื่องยนต์สันดาปภายในที่ใช้ไฮโดรเจน (Hydrogen Internal Combustion Engine) ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์แบบเดิมให้สามารถใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงได้โดยตรง ซึ่งถือเป็นอีกทางเลือกในการลดคาร์บอนในภาคยานยนต์

2. เทคโนโลยีการแตกรวม (Cracking) และการเผาไหม้แอมโมเนีย

แม้ว่าแอมโมเนียจะถูกมองว่าเป็นเชื้อเพลิงได้โดยตรง แต่ก็มีการพัฒนาเทคโนโลยีที่น่าสนใจอีก 2 อย่างเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน

  • Ammonia Cracking หรือการแตกโมเลกุลแอมโมเนียกลับเป็นไฮโดรเจนและไนโตรเจนอีกครั้งด้วยความร้อน เทคโนโลยีนี้ช่วยให้สามารถใช้แอมโมเนียเป็นพาหะในการขนส่งไฮโดรเจน แล้วนำไฮโดรเจนที่ได้ไปใช้ในเซลล์เชื้อเพลิงเพื่อผลิตไฟฟ้าที่สะอาดกว่าการเผาไหม้แอมโมเนียโดยตรง
  • เทคโนโลยีการเผาไหม้ร่วม (Co-Firing) เป็นการใช้แอมโมเนียผสมกับเชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ถ่านหินหรือก๊าซธรรมชาติในโรงไฟฟ้าเดิม เทคโนโลยีนี้ช่วยให้โรงไฟฟ้าสามารถลดการปล่อยคาร์บอนลงได้ในทันทีโดยไม่ต้องเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่ แต่ก็ยังคงต้องพัฒนาเพื่อลดการปล่อย ไนโตรเจนออกไซด์ (NOx) ซึ่งเป็นก๊าซพิษที่เกิดขึ้นจากกระบวนการนี้

เส้นทางสู่เศรษฐกิจไฮโดรเจนและแอมโมเนีย

การเปลี่ยนผ่านสู่การใช้ไฮโดรเจนและแอมโมเนียในวงกว้างไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่ต้องอาศัยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ครอบคลุมตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่การผลิต การจัดเก็บ การขนส่ง ไปจนถึงการใช้งานจริง หัวข้อนี้จะเจาะลึกถึงความท้าทายและโอกาสในการสร้าง “เศรษฐกิจไฮโดรเจน” (Hydrogen Economy) และ “เศรษฐกิจแอมโมเนีย” (Ammonia Economy)

1. การผลิตขนาดใหญ่ โอกาสและความท้าทาย

การจะทำให้ไฮโดรเจนและแอมโมเนียเป็นเชื้อเพลิงที่ราคาเข้าถึงได้และมีปริมาณเพียงพอต่อความต้องการของโลกจำเป็นต้องมีการลงทุนในโครงการผลิตขนาดใหญ่ (Gigawatt-scale projects) ปัจจุบันหลายประเทศทั่วโลกกำลังเร่งพัฒนาโรงงานผลิตไฮโดรเจนสีเขียวและแอมโมเนียสีเขียว เช่น ประเทศในตะวันออกกลางและออสเตรเลียที่มีศักยภาพสูงด้านพลังงานแสงอาทิตย์และลม รวมถึงโครงการในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และเอเชีย อย่างไรก็ตาม ความท้าทายหลักอยู่ที่ ต้นทุนการผลิต ที่ยังคงสูงกว่าเชื้อเพลิงฟอสซิล และการขาดแคลนกำลังการผลิตอุปกรณ์สำคัญอย่างเครื่องอิเล็กโทรไลเซอร์ (Electrolyzer)

2. โครงสร้างพื้นฐาน การจัดเก็บ และการขนส่ง

หัวใจสำคัญของเศรษฐกิจพลังงานใหม่คือโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับ การจัดเก็บและการขนส่งไฮโดรเจนและแอมโมเนียมีความแตกต่างกันอย่างมากและเป็นปัจจัยกำหนดการเลือกใช้งานที่เหมาะสม

  • ไฮโดรเจน จำเป็นต้องเก็บในถังความดันสูงหรือในรูปของเหลวอุณหภูมิต่ำสุดขีด ทำให้การสร้างโครงข่ายท่อส่งก๊าซ (Pipeline) หรือสถานีเติมเชื้อเพลิงมีความซับซ้อนและมีค่าใช้จ่ายสูง
  • แอมโมเนีย มีข้อได้เปรียบที่สำคัญคือสามารถจัดเก็บในรูปของเหลวได้ง่ายกว่ามาก ทำให้สามารถใช้โครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่แล้วในอุตสาหกรรมปุ๋ยได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น เรือขนส่งขนาดใหญ่ ถังเก็บขนาดมหึมา และท่าเรือเฉพาะทาง ทำให้แอมโมเนียกลายเป็น “พาหะพลังงาน” (Energy Carrier) ที่เหมาะสำหรับการขนส่งไฮโดรเจนในระยะทางไกล

3. ความปลอดภัยและข้อกำหนดด้านกฎหมาย

เช่นเดียวกับเชื้อเพลิงชนิดอื่น ไฮโดรเจนและแอมโมเนียก็มีความเสี่ยงเฉพาะตัวที่ต้องจัดการอย่างรอบคอบ ไฮโดรเจน ติดไฟง่ายและมีคุณสมบัติที่ซึมผ่านได้สูง ต้องใช้ระบบตรวจจับการรั่วไหลและการระบายอากาศที่ทันสมัยเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ ส่วน แอมโมเนีย มีพิษและฤทธิ์กัดกร่อน การจัดการจึงต้องเป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยที่เข้มงวด ทั้งหมดนี้จำเป็นต้องมีกฎระเบียบและมาตรฐานสากลที่ชัดเจนเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้งานและสาธารณชน

บทสรุป

ไฮโดรเจนและแอมโมเนียเป็นคู่หูที่มาเติมเต็มซึ่งกันและกันในการเป็นเชื้อเพลิงแห่งอนาคตที่ปลอดคาร์บอน ไฮโดรเจน โดดเด่นด้วยความสะอาดบริสุทธิ์และค่าพลังงานสูง ในขณะที่ แอมโมเนีย มีข้อได้เปรียบด้านการจัดการและโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่แล้ว แม้จะมีข้อจำกัดที่ต้องแก้ไข แต่การลงทุนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้เชื้อเพลิงทั้งสองชนิดนี้เข้ามามีบทบาทหลักในระบบพลังงานโลกได้ในที่สุด การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งจำเป็นที่ทุกคนต้องร่วมมือกันเพื่อสร้างโลกที่ยั่งยืนสำหรับคนรุ่นต่อไป

กรุงเทพฯ 29 ..68 : การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นหนึ่งในความท้าทายระดับโลกที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันรับมือ โดยประเทศไทยได้เข้าร่วมการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (COP 26) พร้อมประกาศเป้าหมาย สู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065 ซึ่งถือเป็นหมุดหมายสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศสู่ความยั่งยืน หนึ่งในแนวทางสำคัญที่ช่วยผลักดันเป้าหมายนี้คือการเลือกใช้สินค้าฉลากรักษ์โลกหรือฉลากสิ่งแวดล้อม ซึ่งสะท้อนถึงแนวทางการผลิตและการบริโภคที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (SDGs) อย่างไรก็ตามด้วยจำนวนและความหลากหลายของฉลากสิ่งแวดล้อมที่มีอยู่อาจทำให้ผู้บริโภคจดจำและเลือกซื้อสินค้าเหล่านี้ได้ยากหอการค้าไทยจึงมุ่งหาแนวทางที่ช่วยให้การเข้าถึงสินค้ารักษ์โลกเป็นเรื่องง่ายช่วยให้ผู้บริโภคสามารถมองหาและเลือกซื้อสินค้ารักษ์โลกได้สะดวกยิ่งขึ้น

คณะกรรมการพลังงานหอการค้าไทย ร่วมกับ กลุ่มเซ็นทรัลนำโดย เซ็นทรัลรีเทล พร้อมด้วยภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชน เปิดตัว โครงการฮักโลก (Hug The Earth) เดินหน้ามุ่งสร้างโลกสีเขียวอย่างยั่งยืน ชวนลูกค้าช้อปสินค้ารักษ์โลกที่มีฉลากสิ่งแวดล้อมหรือฉลากรักษ์โลกได้สะดวกยิ่งขึ้นโดยสินค้าที่มีฉลากสิ่งแวดล้อมจะถูกคัดสรรและรวบรวมไว้ในพื้นที่จำหน่ายหรือจุดแสดงสินค้าของธุรกิจในเครือเซ็นทรัลรีเทลเพียงสังเกตสัญลักษณ์โครงการ “ฮักโลก” (Hug The Earth) ส่งผลให้ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อสินค้ารักษ์โลกได้ง่ายขึ้น พร้อมมั่นใจได้ว่าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง โดย เซ็นทรัลรีเทลผู้นำค้าปลีก-ค้าส่งชั้นนำของไทยเป็นรีเทลรายแรกของประเทศไทยที่นำร่องโครงการดังกล่าว  ทั้งนี้ โครงการฮักโลกจะถูกขยายผลความสำเร็จโดยหอการค้าไทยสู่ภาคค้าปลีกและสมาชิกหอการค้าฯรวมทั้งเครือข่ายทั่วประเทศต่อไปเพื่อร่วมขับเคลื่อนให้การเลือกซื้อสินค้าฉลากรักษ์โลกกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของสังคมไทยร่วมกัน 

สนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า หอการค้าไทยในฐานะองค์กรภาคเอกชนไทยได้ตระหนักถึงความสำคัญของการสร้างความร่วมมือระหว่างภาคธุรกิจ ภาครัฐ และภาคประชาสังคม เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ด้วยแนวคิด “Connect-Competitive-Sustainable”  โดยเฉพาะในมิติของ Sustainableที่เน้นยกระดับมาตรฐานใหม่สำหรับผู้ประกอบการด้วยการให้ความสำคัญกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) ประกอบด้วย เศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และ เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) โดยมีเป้าหมายเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ ระบบเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อธรรมชาติ (Nature Positive Economy)

การริเริ่ม โครงการ “ฮักโลก” (Hug The Earth) ของคณะกรรมการพลังงานหอการค้าไทย ถือเป็นตัวอย่างสำคัญที่สะท้อนถึงเจตนารมณ์ในการสนับสนุนสินค้ารักษ์โลกและตอบโจทย์พฤติกรรมของผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม โดยโครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อสร้างความตระหนักรู้แก่ผู้บริโภคและผู้ประกอบการถึงความสำคัญของสินค้ารักษ์โลกรวมทั้งเพิ่มความสะดวกสบายโดยให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมรักษ์โลกได้ง่ายขึ้น ด้วยการเลือกช้อปสินค้าฉลากรักษ์โลก ซึ่งถูกรวบรวมไว้ในพื้นที่จัดจำหน่าย ภายใต้สัญลักษณ์โครงการฮักโลก (Hug The Earth) ทั้งนี้บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ถือเป็นองค์กรค้าปลีกรายแรกที่นำร่องโครงการดังกล่าวภายในร้านค้าเครือเซ็นทรัล รีเทล  โดย โครงการฮักโลกจะถูกขยายผลความสำเร็จโดยหอการค้าไทยสู่ภาคค้าปลีกอื่นๆทั้งในเครือข่ายของหอการค้าไทยและทั่วประเทศสะท้อนถึงการร่วมใจกันรณรงค์เลือกซื้อสินค้าฉลากรักษ์โลกอย่างเข้มข้นและเป็นรูปธรรม”

พิชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการบริหารกลุ่มเซ็นทรัลและกรรมการและกรรมการบรรษัทภิบาลและการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนบริษัทเซ็นทรัลรีเทลคอร์ปอเรชั่นจำกัด กล่าวว่า “”กลุ่มเซ็นทรัลให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างยั่งยืนในทุกมิติ ตั้งแต่ธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจโรงแรม อสังหาริมทรัพย์ ไปจนถึงธุรกิจบริการ โดยมีเป้าหมายในการสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม เราเชื่อมั่นว่าการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้ด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วน และการสนับสนุนให้เกิดพฤติกรรมการบริโภคที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเป้าหมายนี้

เซ็นทรัล รีเทล ผู้นำธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งชั้นนำของไทยในเครือกลุ่มเซ็นทรัล มีปรัชญาในการดำเนินธุรกิจที่เรียกว่า “CRC Care” ซึ่งเป็น Commitment ที่จะดูแลและยกระดับทุกภาคส่วนให้เติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืนทั้งอีโคซิสเต็ม จนสามารถก้าวขึ้นเป็น Green & Sustainable Retail and Wholesale อย่างเต็มรูปแบบ โดยให้ความสำคัญกับด้านสิ่งแวดล้อม พร้อมขับเคลื่อนองค์กรไปสู่ Net Zero ผ่าน กลยุทธ์ CRC ‘ReNEW’ ซึ่งเป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ครอบคลุม 4 แนวทาง ได้แก่ Reduce Greenhouse Gas Emissions การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก  Navigate Environmental Responsibility สร้างทักษะและปลูกฝังความรับผิดชอบด้าน ESG ให้กับพนักงานทุกระดับ Eco-Friendly Materials การส่งเสริมสินค้าและบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม Waste Management Solutions การบริหารจัดการขยะมูลฝอย โครงการ “ฮักโลก” จึงเป็นอีกหนึ่งความร่วมมือที่สะท้อนถึงแนวทางของ CRC ‘ReNEW’ อีกทั้งคำนึงถึงเรื่อง Responsible Sourcing โดยช่วยให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินค้ารักษ์โลกได้ง่ายขึ้นพร้อมผลักดันให้ผู้ผลิตให้ความสำคัญกับกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

เซ็นทรัลรีเทลนับเป็นองค์กรค้าปลีกรายแรกของประเทศไทยที่คิกออฟโครงการนี้โดยผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อสินค้าที่มีฉลากรักษ์โลกที่มีอยู่มากมายได้ง่ายและสะดวกสบายยิ่งขึ้น เพียงแค่สังเกต สัญลักษณ์โครงการ “ฮักโลก” (Hug The Earth) ซึ่งเป็นรูปมือกำลังโอบกอดโลก สื่อถึงความใส่ใจต่อโลกอย่างยั่งยืน ถูกรวบรวมไว้ในพื้นที่จำหน่ายหรือจุดแสดงสินค้าของห้างสรรพสินค้าและร้านค้าในเครือเซ็นทรัล รีเทล อาทิ ไทวัสดุ เพาเวอร์บาย เซ็นทรัล โรบินสัน ท็อปส์ โก โฮลเซลล์ บีทูเอส ออฟฟิศเมท ซูเปอร์สปอร์ต ซีเอ็มจี เป็นต้น ช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อกรีนโปรดักส์ได้ง่ายและมั่นใจได้ว่าสินค้าดังกล่าวเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง อีกทั้งยังกระตุ้นให้ผู้ประกอบการให้ความสำคัญกับการผลิตและจำหน่ายสินค้าที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

จากพลังความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน ในครั้งนี้ เซ็นทรัล รีเทล เชื่อมั่นว่าโครงการฮักโลกจะสร้างแรงขับเคลื่อนให้ผู้บริโภคและผู้ผลิตให้ความสำคัญกับการเลือกซื้อและผลิตสินค้าเพื่อโลกได้เป็นอย่างดี เพื่อส่งต่ออนาคตโลกที่น่าอยู่อย่างยั่งยืนสู่เจเนอเรชันรุ่นต่อไป”

สามารถดูรายละเอียดโครงการฮักโลกเพิ่มเติมได้ที่ www.centralretail.com/hug-the-earth และรับชมวีดีโอโครงการฮักโลกได้ทาง https://www.youtube.com/watch?v=HBXvsIYPMO4

โครงการฮักโลกนับได้ว่าโอกาสสำคัญสำหรับผู้ประกอบการค้าปลีกในการแสดงความมุ่งมั่นด้านความยั่งยืนด้วยการส่งเสริมและจัดจำหน่ายสินค้าฉลากรักษ์โลกซึ่งไม่เพียงตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่แต่ยังช่วยขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งควบคู่ไปกับการมีส่วนร่วมใส่ใจโลกอย่างยั่งยืนระหว่างผู้ประกอบการและผู้บริโภคทุกคน.

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ กลุ่มเซ็นทรัล
สุวิทย์ จารุศรีวรกุล (วิทย์) โทร 089-663-1516
อภัสนันท์ รุ่งเรืองเลิศสกุล (นุ่น) โทร 099-226-4262

ผู้บริหารกลุ่ม ปตท. นำโดย ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (กลาง) ลงนามความร่วมมือเพื่อขับเคลื่อนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม กลุ่ม ปตท. อาทิ การดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture, Utilization and Storage: CCUS) ผลักดันโมเดลการพัฒนา Eastern Thailand CCS Hub ยกระดับความร่วมมือการพัฒนาพลังงานไฮโดรเจน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการบรรลุเป้าหมาย Net Zero ของประเทศ การทำธุรกิจรีไซเคิลแบตเตอรี่ร่วมกันในกลุ่ม ปตท. และศึกษาการเพิ่มมูลค่าวัสดุคาร์บอน

นอกจากนี้ กลุ่ม ปตท. จะแบ่งปันประสบการณ์ด้านการลงทุนและแสวงหาความร่วมมือเพื่อต่อยอดธุรกิจนวัตกรรมใหม่ ตลอดจนการใช้ประโยชน์จากผลงานวิจัยและพัฒนา อาทิ ทรัพย์สินทางปัญญา และผลิตภัณฑ์ภายใต้บัญชีนวัตกรรม มุ่งวางรากฐานและขับเคลื่อนนวัตกรรมกลุ่ม ปตท. และประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยมี ดร.บุรณิน รัตนสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และความยั่งยืน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) นายมนตรี ลาวัลย์ชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) นายเทอดเกียรติ พร้อมมูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) นายณะรงค์ศักดิ์ จิวากานันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) นายวรวัฒน์ พิทยศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) นางวนิดา บุญภิรักษ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ด้านการเงินและบัญชี บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) และนายสวรา แขวงโสภา กรรมการ บริษัท เอ็กซ์เพรสโซ เอ็นบี จำกัด ร่วมในพิธีลงนาม

Source : Energy News Center

เหลือเวลาอีกไม่มากที่ไทยต้องก้าวสู่ Net Zero หากนับถอยหลังไทยเหลือเวลา 6 ปี ต้องลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกเหลือ 333 ล้านตันคาร์บอน เดินหน้าชงใช้ “ภาษีคาร์บอน” พร้อมดัน พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศฯ บังคับใช้ในปี 2026

เรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในไทย คือ เรื่องเร่งด่วนที่หน่วยงานรัฐ และเอกชน ต้องเร่งขับเคลื่อนให้รวดเร็วขึ้น เพราะผลกระทบของโลกรวนทุกวันนี้เห็นได้ชัดเจนขึ้น เช่น หน้าร้อนที่ผ่านมา ร้อนและแล้งมาก หน้าฝนก็ฝนฉ่ำ น้ำท่วมหลายพื้นที่ใหญ่ในรอบหลาย 10 ปี บางพื้นที่ใหญ่สุดรอบ 100 ปีก็มี ดังนั้นต้องเร่งแก้ไขปัญหา และรับมือโลกรวนให้ทัน หนึ่งในเวทีที่มีการพูดถึงเรื่องนี้ และแนวทางการรับมือทั้งโลกรวน และเรื่องของเศรษฐกิจการค้า นั่นก็คือ เวทีสัมมนา Road to Net Zero 2024: The Extraodinary Green จัดโดยฐานเศรษฐกิจ 

โดยเวทีแห่งนี้มีมุมมอง และเรื่องราวมากมายที่น่าสนใจ อย่างเช่น นางสาวรัชฎา วานิชกร ผู้อำนวยการสำนักแผนภาษี กรมสรรพสามิต ที่ได้กล่าวในหัวข้อ ภาษีคาร์บอน กลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ในงานสัมมนา Road to Net Zero 2024: The Extraodinary Green จัดโดยฐานเศรษฐกิจ  ว่า ประเทศไทยมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 372 ตันคาร์บอนต่อปี โดยส่วนใหญ่มาจากภาคพลังงานและภาคขนส่ง คิดเป็น 70% รองลงมาเป็นภาคการเกษตร อุตสาหกรรม และการจัดการของเสีย

ไทยเหลือเวลา 6 ปี ต้องลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกเหลือ 333 ล้านตันคาร์บอน

สำหรับประเทศไทยในปี 2050 ประเทศไทยได้ประกาศและให้คำมั่นสัญญาไว้ว่าจะเดินหน้าประเทศสู่ Net Zero หรือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ และตั้งเป้าหมายที่ใกล้กว่านั้นคือปี 2030 จะต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 30-40%

อย่างไรก็ตามหากนับถอยหลังไทยจะมีเวลาอีก 6 ปี ที่จะต้องพยายามลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในปี 2030 จาก 555 ล้านตันคาร์บอน ลงมาที่ 333 ล้านตันคาร์บอน ซึ่งกลไกราคาคาร์บอนจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการทำให้เราก้าวไปสู่จุดมุ่งหมายนี้ได้ ดังนั้น กรมสรรพสามิต จึงได้เสนอให้มีการใช้กลไกของ พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต เป็นการเก็บภาษีคาร์บอนนำร่องไปพลาง ก่อนที่กฎหมายใหม่จะมีผลบังคับใช้ โดยการเก็บภาษีของสินค้าที่ปล่อยมลพิษสูงและอยู่ในพิกัดสรรพสามิต

จากการศึกษากรณีตัวอย่างในต่างประเทศในการคำนวณกลไกราคาคาร์บอน โดยการนำสินค้าเชื้อเพลิงจำนวนเท่ากันไปเผาไหม้แล้วบันทึกปริมาณคาร์บอนที่ปล่อยออกมา ซึ่งเชื้อเพลิงแต่ละชนิดมีความสะอาดไม่เท่ากัน โดยเบื้องต้นภาครัฐได้มีการกำหนดราคาคาร์บอนเป็นราคาเดียว ซึ่งยุโรปราคาคาร์บอนสูงกว่า 100 ดอลลาร์ ญี่ปุ่นอยู่ที่ 3 ดอลลาร์ สิงคโปร์จากเริ่มต้น 5 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้นเป็น 25 ดอลลาร์ ส่วนประเทศไทยยังไม่กำหนด ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา เบื้องต้น กำหนดไว้ที่ 200 บาท หรือประมาณ 6 ดอลลาร์

อย่างไรก็ตามกรมสรรพสามิต ต้องการบรรลุเป้าหมายในการขับเคลื่อนนโยบายภาษีคาร์บอน คือ สะท้อนให้ผู้ใช้ตระหนักและเห็นว่าต้นทุนในการใช้เชื้อเพลิงที่ปล่อยคาร์บอนออกมา แต่ยังไม่ต้องกังวลว่าภาษีคาร์บอนจะทำให้ราคาขายปลีกเพิ่มขึ้น และเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ส่วนการดำเนินการในช่วงแรกจะเป็นการสร้างความตระหนักสำหรับภาคอุตสาหกรรมรวมถึงประชาชน ว่ากิจกรรมที่ทำนั้นมีราคาของคาร์บอน แต่จะไม่ให้กระทบกับต้นทุนในการใช้ชีวิตและประกอบธุรกิจ สำหรับแนวนโยบายดังกล่าวเตรียมที่จะมีการเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในเร็ววันนี้ ก่อนจะมีความชัดเจนว่าสุดท้ายแล้วจะกำหนดราคาคาร์บอนที่ 200 บาทหรือไม่

ด้าน ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม  อภิปรายในหัวข้อ Action Green Transition บนเวที ROAD TO NET ZERO 2024 THE EXTRAORDINARY GREEN จัดขึ้นวันนี้ (26 กันยายน 2567 ) ว่า อยากชวนให้ทุกคนคิดถึงเรื่องวิกฤตโลกเดือด หรือระบบของโลกในทุกวันนี้แปรปรวนและส่งสัญญาณออกมาเป็นภัยพิบัติซึ่งยากที่จะคาดการณ์ได้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือ พายุยางิที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่าภัยเรื่องนี้ใกล้ตัวกว่าที่คิด พี่น้องประชาชนเสียหายมาก และการฟื้นฟูจะต้องใช้เงินอีกเท่าไหร่ที่จะต้องฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจพื้นฐานกลับมา

ไทยเหลือเวลา 6 ปี ต้องลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกเหลือ 333 ล้านตันคาร์บอน

ทั้งนี้มองว่า ความแปรปรวนนี้ยากจะรับมือขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งการแปรปรวนเป็นสิ่งที่เราไม่อยากได้ เพราะจะทำให้ประสิทธิภาพการรับมือต่ำลง ในมุมของธุรกิจผลที่ตามมาคือ วันนี้การคุมอุณหภูมิให้ได้ 1 องศา  งบประมาณจาก 100% ถูกใช้ไปแล้วกว่า 83% เหลือเพียง 17% ซึ่งในนี้มากกว่า 10% จะถูกใช้ไปก่อนปี ค.ศ. 2030 เพราะฉะนั้นการอยากจะคุมอุณหภูมิที่พุ่งสูงขึ้นไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียสจึงเป็นเรื่องที่ยากลำบากและท้าทาย

ทั้งนี้หากคุมไม่ได้ และมากเกิน 2 องศาเซลเซียส ปะการังจะหายไปหมด แต่ถ้าไปถึง 3 องศาเซลเซียส จะกระทบต่อระบบเศรษฐกิจมหาศาล ส่วนตัวมองอีกว่า วันนี้ยังไม่ถึงจุดนั้น เราจึงต้องพยายามทุกวิถีทางให้จำกัดการเพิ่มขึ้นให้ต่ำสุดเท่าที่จะทำได้

สำหรับประเทศไทย ได้มีแผนในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งมีการกำหนดว่าในปี 2030 เราจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงให้ได้ราว 30-40% (NDC1) การลดก๊าซเรือนกระจกเกี่ยวข้องกับหลายสาขา บางส่วนเข้าสู่สภาพัฒน์แล้ว และจะมีการบังคับใช้ในเดือนตุลาคมนี้  ซึ่งที่ผ่านมาได้มีติดตามผลการลดก๊าซเรือนกระจกมาแล้ว

อย่างไรก็ตามในปี 2025 เป้าหมายเพิ่มขึ้นเป็น 60% ซึ่งเป็นความท้าทายว่าประเทศไทยจะทำได้หรือไม่? ซึ่งเป็นแรงกดดันที่สำคัญมาก เพราะจะถูกพูดถึงบนเวที COP29 ที่จะเกิดขึ้นหรือในเวทีต่างประเทศ จึงไม่มีช่องว่างให้นักธุรกิจหรือภาครัฐลังเลใจว่าจะต้องทำเรื่องนี้หรือไม่

นายพิรุณ กล่าวทิ้งท้ายว่า ในปี 2025 สิ่งที่อยากเห็นที่สุดคือ พ.ร.บ.ผ่านครม. เนื่องจาก ณ ปัจจุบันไม่มีกฎหมายหรือเครื่องมือที่ชัดเจนในการบังคับใชั อีกทั้งยังอยากให้เกิดความร่วมมือ สองมิติที่อยากได้ ก็คือ การขับเคลื่อนจากภาครัฐ และภาคเอกชนช่วยกันขับเคลื่อน เพราะเมื่อไหร่ที่ถึงปี ค.ศ.2030 และยังทำไม่ได้ตามเป้า การลดอุณหภูมิจะยากมากที่สุด

Source : Spring News

สตาร์บัคส์ เปิดเส้นทาง Net Zero ลุยลดขยะ ลดคาร์บอนไดออกไซด์ ลดการใชน้ำลง 50% ภายในปี 2030 สานต่อแคมเปญ Little Choices Big Change การใช้แก้ว Reuseable / แก้วส่วนตัว พร้อมขยาย Green Stores จาก 12 เป็น 20 สาขาสิ้นปีนี้

ปี ค.ศ.2011 สตาร์บัคส์ได้จดบันทึกการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) เพื่อติดตามและวัดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ประเมินการปล่อยก๊าซจากร้านและกิจกรรมการคั่วอบกาแฟของทั่วโลก

โดยอิงจากระเบียบการว่าด้วยเรื่องก๊าซเรือนกระจกของสถานบัน World Resources Institute และพบว่ากว่า 80% ของก๊าซเรือนกระจกของสตาร์บัคส์ เป็นผลมาจากพลังงานที่ใช้ในร้าน สำนักงาน และโรงงานคั่วอบกาแฟ สตาร์บัคส์จึงมุ่งเน้นการประหยัดพลังงานและการเลือกใช้พลังงานหมุนเวียน

สตาร์บัคส์ได้ใช้ระเบียบ WRI/WBCSD GHG มาตรฐานองค์กร เพื่อประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปีงบประมาณ 2010 จากรายงานในปี 2011 พบว่าประสบความสำเร็จในการลดการปล่อยก๊าซ GHG ลงไปกว่า 2.7% (เมื่อคิดแบบสัมบูรณ์) เมื่อเทียบกับ GHG ฟุตพริ้นท์ปริมาณ 1,006,954 เมตริกตันในปี 2010

การดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สตาร์บัคได้มุ่งเน้นในมิติหลัก ๆ ได้แก่ การรีไซเคิลและการลดขยะ การประหยัดพลังงาน การประหยัดนํ้า การสร้างร้านสีเขียว และการรับมือกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ โดยให้ความสำคัญตลอดซัพพลายเชน ตั้งแต่ต้นนํ้าถึงปลายนํ้า

ตั้งเป้าลดขยะ 50%

นางเนตรนภา ศรีสมัย กรรมการผู้จัดการ สตาร์บัคส์ ประเทศไทย กล่าวว่า สตาร์บัคส์มีเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ลดการใช้นํ้าและลดปริมาณขยะลง 50% ภายในปี 2030 (พ.ศ.2573) โดยส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนสู่เป้าหมาย คือ การจัดทำแคมเปญ Little Choices Big Changes ชวนลูกค้าใช้แก้วส่วนตัว (การใช้แก้ว Reuseable) ด้วยการมอบส่วนลด 10 บาท สำหรับลูกค้าที่นำแก้วส่วนตัวมาใช้ที่ร้านสตาร์บัคส์ทุกสาขาทั่วประเทศ เริ่มตั้งแต่ 21 มีนาคม ถึง 23 เมษายน ค.ศ.2024 สำหรับสมาชิกสตาร์บัคส์ Reward จะได้ส่วนลด 20 บาท

เนตรนภา ศรีสมัย กรรมการผู้จัดการ สตาร์บัคส์ ประเทศไทย
เนตรนภา ศรีสมัย กรรมการผู้จัดการ สตาร์บัคส์ ประเทศไทย

ที่ผ่านมา สตาร์บัคส์สามารถลดขยะแก้วพลาสติกไปได้ราว 29 ล้านใบ โดยส่วนหนึ่งเกิดจากการใช้แก้ว For Here  (พร้อมบริการทุกสาขาแล้ว) แทนแก้วพลาสติก To Go สำหรับเป้าหมายในการรณรงค์ปีนี้ตั้งเป้า 3 ล้านใบ เพิ่มขึ้น 50% จากปี 2023 ที่ลดได้ประมาณ 2 ล้านใบ

สตาร์บัคส์ได้ริเริ่มดำเนินโครงการ เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่มาจากแก้วใช้ครั้งเดียวทิ้งอย่างต่อเนื่อง มีการพัฒนาปลอกสวมแก้วจากกระดาษรีไซเคิล ใช้ถ้วยกระดาษเครื่องดื่มร้อน ซึ่งประกอบด้วยเยื่อกระดาษรีไซเคิลที่ผ่านการใช้งานแล้วถึง 10% ใช้ถ้วยพลาสติกใหม่ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยลง

ขยาย “ร้านกาแฟสีเขียว”

อีกหนึ่งแนวทางสำคัญสู่เป้าหมาย Net Zero คือการทำร้านกาแฟสีเขียว หรือ Greener Stores ซึ่งเป็นร้านกาแฟของสตาร์บัคส์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า ควบคุมด้วยระบบการบริหารจัดการพลังงานที่จัดเก็บข้อมูลแบบเรียลไทม์ เพื่อการคงสถานะการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด รวมไปถึงการระบุการใช้พลังงานที่บกพร่อง เพื่อปรับปรุงการใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพดีขึ้นในครั้งต่อไป

สตาร์บัคส์รับอาสาเป็นผู้นำร่วมกับผู้ค้าปลีกรายอื่นและ USGBC (US Green Building Council) ตั้งแต่ปี 2001 เพื่อสร้างระบบการรับรองร้านค้าปลีกและสร้างต้นแบบของร้าน LEED กระบวนการนี้เป็นการรับรองร้านสีเขียวแบบล่วงหน้า คือตั้งแต่การออกแบบ การก่อสร้าง ไปจนถึงกลยุทธ์การปฏิบัติงาน หลังจากที่ได้รับการรับรองแล้ว จะมีการสุ่มตรวจสอบและทบทวนการรับรองอยู่เสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าเราปฏิบัติงานตรงตามมาตรฐานขั้นสูงที่กำหนดไว้

สตาร์บัคส์ ประเทศไทย พัฒนาร้านภายใต้แนวคิด “ร้านกาแฟสีเขียว” ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 โดยในขณะนี้ ได้รับการรับรองจาก LEED แล้ว 8 สาขา ถึงสิ้นปีนี้จะได้เพิ่มอีก 12 สาขา รวมเป็น 20 สาขา ภายในปี ค.ศ.2024 จากจำนวนสาขาที่มีอยู่ปัจจุบัน 490 สาขา โดยสตาร์บัคส์มีแผนขยายสาขาปีละ 30-40 สาขาต่อปี

ดูแลนํ้า ดูแลชุมชน

นอกจากนี้ สตาร์บัคส์ยังร่วมกับ NGO พัฒนาคุณภาพชีวิตชาวเขา ด้วยการนำผลผลิตกาแฟมาใช้ในสตาร์บัคส์ ให้ได้เมล็ดกาแฟให้ได้ตามคุณภาพ CAFE Practices นำมาขายให้กับสตาร์บัคส์ได้ในราคาสูง และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ นอกจากกาแฟ อย่างชุดน้องหมี กระเป๋าจากผ้าย้อมคราม เพื่อสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชน และไม่ลืมที่จะกลับไปเยี่ยมเยียนชุมชน

ส่วนของนํ้า มีการลดการใช้นํ้าภายในร้าน เช่น การใช้ก๊อกนํ้าที่ใช้มือเปิดแทน ลดการใช้นํ้าลงถึง 15% แทนการเลิกใช้ถัง Dipper Well ซึ่งเป็นอ่างขนาดเล็กมีนํ้าไหลตลอดเวลาและใช้ล้างช้อนสำหรับเทนมลงในเอสเพรสโซ่

ร้านสตาร์บัคส์ในหลายประเทศใช้นํ้าแรงดันสูงฉีดล้างถังผสมแทนการเปิดก๊อกนํ้าตามปกติ นอกจากนี้ ยังตั้งโปรแกรมให้เครื่องชงเอสเพรสโซ่ปล่อยนํ้าออกมาน้อยลงในการล้างแก้วเอสเพรสโซ่ช็อต อีกทั้ง ยังฝึกอบรมพาร์ทเนอร์ (พนักงาน) ให้รักษาความสะอาดคอยล์ทำความเย็นของเครื่องทำนํ้าแข็งอยู่เสมอ เพื่อลดปริมาณความร้อนแฝงจากเครื่องจักรและลดนํ้าแข็งละลาย

นอกจากนี้ ทีมงานของสตาร์บัคส์ ยังได้ร่วมกิจกรรม World Water Day เป็นประจำทุกปี และได้สร้าง Aqua Towers ไปแล้วถึง 5 โครงการ เพื่อส่งมอบนํ้าสะอาดให้ชุมชนที่ต้องการ รวมทั้งได้เปิดตัวโปรแกรม Grounds for Your Garden ลูกค้าสามารถนำกากกาแฟที่สตาร์บัคส์กลับไปผสมดินเพื่อปลูกต้นไม้หรือทำสวนที่บ้านได้ โดยในปีพ.ศ. 2566 สตาร์บัคส์ได้แจกกากกาแฟไปแล้วกว่า 4,000 กิโลกรัมทั่วประเทศ

Source : ฐานเศรษฐกิจ