ทุกวันนี้ทั่วโลกกำลังเผชิญปัญหา “ภาวะโลกร้อน” ทำให้หลายพื้นที่มีสภาพอากาศแปรปรวน ด้าน “อ.ธรณ์” ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเลเผยอุณภูมิทั่วโลกสูงขึ้นก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะปรากฏการณ์ “เอลนีโญ”

“พรุ่งนี้จะดีกว่า เป็นเพียงแค่คำโกหก” คือสิ่งที่ ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเล โพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัว (Thon Thamrongnawasawat) เมื่อวันที่ 19 ก.ค. ที่ผ่านมา ถึงปัญหาและผลกระทบที่เกิดขึ้นจาก “ภาวะโลกร้อน

ก่อนจะอธิบายว่าโลกเมื่อปี พ.ศ. 2519 ตอนที่ตนอายุ 10 ขวบ มีอากาศเย็นสบาย อุณหภูมิโลกเหมือนเมื่อ 40-50 ปีก่อน อยู่ กทม. นั้นรู้สึกสบาย ลมหนาวโชยมาตั้งแต่ต้นเดือน พ.ย. ตอนอยู่ประถมในยุคนั้นต้องใส่เสื้อกันหนาวไปโรงเรียนเป็นเดือน ในช่วงเดือน มิ.ย. นอนอ่านหนังสือใต้ต้นมะม่วงท่ามกลางลมพัดเย็นสบายจนสามารถนอนหลับไปได้ ในตอนนั้นคุณพ่อคุณแม่เดินทางไปญี่ปุ่นหรือยุโรปก็ต้องเตรียมเสื้อแจ็กเกตไป

อ.ธรณ์ ชี้ ‘ภาวะโลกร้อน’ สร้างความเดือดร้อนทั่วโลก โดยเฉพาะ ‘เอลนีโญ’
ภาพจากเฟซบุ๊ก Thon Thamrongnawasawat

อ.ธรณ์ บอกอีกว่า โลกในปัจจุบันนี้เหมือนกับกำลังลุกเป็นไฟ ตั้งแต่เด็กจนโตตนอยู่ในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาล ซึ่งเปลี่ยนไปในทางที่มีความน่าอยู่น้อยลง ย้อนไปเมื่อปี 2530 เป็นตอนที่เริ่มพูดถึงเรื่องโลกร้อน ในตอนนั้นก็ยังไม่คิดว่าโลกจะเดินทางมาถึงจุดนี้ ในส่วนของคนฟังนั้นยิ่งคิดไม่ถึงและอาจจะไม่เชื่อเสียด้วยซ้ำ แค่เพียงฟังไว้เฉยๆ

หากดูจากแผนที่ด้านบนจะเห็นว่า สีแดง คือบริเวณที่อุณหภูมิพุ่งสูงขึ้นกว่าค่าเฉลี่ย 2-4 องศาเซลเซียส เมื่อเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งในตอนนั้นยังแทบไม่มีฮีทเวฟ และเอลนีโญยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น นั่นหมายความว่า เราทุกคนต่างตกอยู่ในโลกที่แปลกประหลาดและน่าสะพรึงกลัว ที่เกิดขึ้นจากฝีมือของมนุษย์เอง

ภาวะโลกร้อน เอลนีโญ และผลกระทบในหลายด้าน

แม้ว่าเรื่อง “ภาวะโลกร้อน” จะเป็นเรื่องทั่วไปที่หลายคนรู้อยู่แล้ว แต่บางคนก็ยังทำให้ปัญหาทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น การปล่อยก๊าซเรือนกระจกยังคงสร้างสถิติใหม่ทุกปี ยังไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้ตนเชื่อว่า พรุ่งนี้จะดีกว่าวันนี้ นั่นคงเป็นเพียงแค่คำโกหก

สำหรับภาวะโลกร้อนในปัจจุบันนั้นส่งกระทบต่อโลกในวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสภาพอากาศแปรปรวน ภัยแล้ง อุณหภูมิในแหล่งน้ำเพิ่มสูงขึ้น เป็นต้น โดยเฉพาะการเกิดขึ้นของปรากฏการณ์เอลนีโญ หลังสภาพอากาศแบบลานีญาสิ้นสุดลง ตามที่ องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก หรือ WMO ของสหประชาชาติ ประกาศ

ไม่ใช่แค่สิ่งแวดล้อมเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบจาก “ภาวะโลกร้อน” และ “เอลนีโญ” แต่มนุษย์เองก็เดือดร้อนไปด้วยเช่นกัน ตัวอย่างเช่นในประเทศญี่ปุ่นที่มีการออกประกาศคำเตือนฉบับล่าสุดให้ประชาชนในกรุงโตเกียวเฝ้าระวังภาวะ “Heat Stroke” หรือ “โรคลมแดด” ระลอกใหม่ หลังญี่ปุ่นต้องเผชิญ “อากาศร้อนจัดพิเศษ” เพิ่มความเสี่ยงให้ประชาชนป่วยลมแดดง่ายขึ้น

ผลกระทบหลักของเอลนีโญนั้นก็คือการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศทั่วโลกให้เป็นไปในทิศทางที่แย่ลง แต่สิ่งที่ตามมาจากผลกระทบนี้ก็คือ คลื่นความร้อนและพายุที่จะมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น รวมถึงปัญหา อุทกภัย และภัยแล้ง ที่จะทำให้เกิดการรบกวนสภาพอากาศหลายประเทศโดยเฉพาะบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกจะได้รับผลกระทบมากที่สุด

เมื่อโลกร้อน น้ำทะเลก็มีอุณหภูมิสูงขึ้นตามไปด้วย

หากย้อนไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว (15 ก.ค.) อ.ธรณ์ ก็ให้ข้อมูลไว้ด้วยว่า ปรากฏการณ์เอลนีโญของปีนี้เกิดขึ้นมาได้ 2 เดือนแล้ว และส่งผลให้น้ำทะเลมีอุณหภูมิสูงขึ้น ซึ่ง “เอลนีโญ” เกี่ยวข้องโดยตรงกับอุณหภูมิผิวหน้าของน้ำทะเล จากภาพด้านล่างแสดงให้เห็นว่า “น้ำร้อนผิดปกติ” ที่เคลื่อนเข้ามาจ่อปากอ่าวไทยแล้ว

อ.ธรณ์ ชี้ ‘ภาวะโลกร้อน’ สร้างความเดือดร้อนทั่วโลก โดยเฉพาะ ‘เอลนีโญ’
ภาพจากเฟซบุ๊ก Thon Thamrongnawasawat

สอดคล้องกับข้อมูลล่าสุดจาก NOAA แสดงกราฟอุณหภูมิน้ำทะเลที่ทำให้เราเห็นว่า เราทะลุเข้าเอลนีโญตั้งแต่เดือนพฤษภาคม และตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงเร่งตัวขึ้น

ทั้งนี้ เอลนีโญจะรุนแรงที่สุดในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2566 – มกราคม 2567 มีโอกาสที่น้ำทะเลร้อนเพิ่มขึ้นเกิน 1 องศาเซลเซียส (80%) เกิน 1.5 องศาเซลเซียส (50%) และเกิน 2 องศาเซลเซียส (20%) ทั้งนี้ ตัวเลข % อาจเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จะแม่นยำเพิ่มขึ้นเมื่อใกล้ขึ้น

เมื่อดูกราฟในอดีต ส่วนใหญ่เอลนีโญจะจบลงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ปีหน้า แต่มีอยู่บ้างที่จะลากยาวไปไกลกว่านั้น กลายเป็นดับเบิ้ลเอลนีโญ และถ้าน้ำทะเลร้อนขึ้นเรื่อยๆ ก็จะส่งผลเสียต่อ “ปะการัง” เกิดภาวะฟอกขาว ไม่แข็งแรงอย่างที่ควรเป็น

รวมถึงส่งผลกระทบต่อแพลงก์ตอนบลูม เกิดน้ำเปลี่ยนสีหรือปรากฏการณ์น้ำเขียวเป็นระยะ อีกทั้งมวลน้ำที่ร้อนกว่าปกติ จะทำให้น้ำแบ่งชั้น น้ำร้อนอยู่ข้างบน น้ำเย็นอยู่ข้างล่าง ออกซิเจนจากน้ำด้านบนมาไม่ถึงน้ำชั้นล่าง ทำให้สัตว์น้ำตามพื้นทรายใต้ทะเลจะตายง่ายขึ้น เป็นต้น

Source : กรุงเทพธุรกิจ

ปรากฏการณ์ เอลนีโญ (El Nino) เริ่มต้นกันแล้วตั้งแต่ช่วงเดือน มิถุนายน 2566 ที่ผ่านมา และคาดการณ์ว่าจะขึ้นในระยะเวลายาวนานกว่า 15 เดือน ซึ่งความรุนแรงที่ประเมินกันไว้อยู่ในระดับสูง ถึงสูงมาก ซึ่งประเทศไทยในขณะนี้ได้มีการบริหารงานน้ำโดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยแล้ว กรรมการสมาคมนักอุทกวิทยาไทย ได้วิเคราะห์จากข้อมูลเอลนีโญ 72 ปี ความยาวนานที่เคยเกิดขึ้นจะไม่เกิน 19 เดือน และเมื่อเปรียบเทียบปรากฏการณ์เอลนีโญ กับวิเคราะห์ปริมาณฝนทั้งระดับประเทศ และรายภาค พบว่า ปี 2565 ตั้งแต่เดือน มี.ค.-มิ.ย.2565 ปริมาณน้ำฝนน้อยกว่าค่าปกติแต่น้อยกว่าเดิมไม่มาก และปริมาณน้ำฝนจะเพิ่มขึ้น ในเดือนส.ค.-ต.ค. ซึ่งในช่วงนั้นบางปี อย่างปีที่ผ่านมาฝนมากกว่าค่าปกติ

เอลนีโญ

เอลนีโญ (El Nino) คืออะไร?

เอลนีโญ (El Nino) คือ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติแบบหนึ่ง ที่เกิดจากกระแสลมมีกำลังอ่อนและเปลี่ยนทิศทาง โดยมีการพัดจากทางด้านตะวันออกของมหาสมุทรแปซิฟิก ไปยังทางด้านตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งจะทำให้กระแสน้ำอุ่นไหลไปยังทวีปอเมริกาใต้แทน ปรากฏการณ์เอลนีโญจะส่งผลทำให้พื้นที่บริเวณทวีปเอเชียและทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนียประสบกับสภาวะแห้งแล้งขึ้น ในขณะที่ทวีปอเมริกาใต้จะเกิดฝนตกชุก หรืออธิบายง่ายๆ ได้ว่า ถ้าประเทศไทยเกิดปรากฏการณ์เอลนีโญขึ้น ประเทศไทยก็จะเกิดปัญหาความแห้งแล้ง หรือประสบปัญหาภัยแล้งนั่นเอง

ลักษณะของเอลนีโญ นั้นสามารถสรุปได้ดังนี้

  • การอุ่นขึ้นผิดปกติของผิวน้ำทะเล
  • กระแสน้ำอุ่นที่ไหลลงทางใต้ตามชายฝั่งประเทศเปรู
  • เกี่ยวข้องกับอุณหภูมิผิวน้ำทะเลที่สูงขึ้นทางด้านตะวันออก และตอนกลางของแปซิฟิกเขตศูนย์สูตร
  • ปรากฏตามชายฝั่งประเทศเอกวาดอร์ และเปรูเหนือ (บางครั้งประเทศชิลี)
  • เชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงของความกดอากาศที่ระดับน้ำทะเล
  • เกิดร่วมกับการอ่อนกำลังลงของลมค้าที่พัดไปทางทิศตะวันตกบริเวณแปซิฟิกเขตศูนย์สูตร
  • เวียนเกิดซ้ำแต่ช่วงเวลาไม่สม่ำเสมอ
  • เกิดแต่ละครั้งนาน 15 – 19 เดือน

เอลนีโญ 2566 เกิดขึ้นนานแค่ไหน?

จากข้อมูลที่มีการเผยแพร่ออกมาเกี่ยวกับปรากฏการณ์เอลนีโญ พบว่าจะมีระยะเวลานาน 15 – 19 เดือน สำหรับในประเทศไทยมีการประกาศเอาไว้ว่าเกิดขึ้นในเดือนมิถุนายน 2566 ที่ผ่านมานี้แล้ว และคาดว่าจะเกิดขึ้นแบบชัดเจนในเดือนกรกฎาคมนี้ ซึ่งทางหน่วยงานศูนย์ภูมิภาคอากาศสหรัฐอเมริกา ได้มีการคาดหมายเอาไว้ว่า ปรากฏการณ์เอลนีโญในรอบนี้จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องไปจนถึงเดือนมีนาคม 2567 และจะมีระดับความรุนแรงมากในช่วงเดือนกันยายน – พฤศจิกายน 2566 นี้ และค่อยๆ ลดความรุนแรงลงในช่วงต้นเดือนปีหน้าในเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ 2567 และเข้าสู่สภาวะปกติในช่วงเดือนมีนาคม 2567

ขนาดของเอลนีโญ ก็จะแบ่งเป็นได้ 3 ระดับด้วยกัน

ขนาดรุนแรงมาก– ปริมาณฝนสูงมากที่สุด มีน้ำท่วม และเกิดความเสียหายในประเทศเปรู มีบางเดือนในช่วงฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วงของซีกโลกใต้ที่อุณหภูมิผิวน้ำทะเลบริเวณชายฝั่งสูงกว่าปกติมากกว่า 7oซ.

ขนาดรุนแรง – ปริมาณฝนสูงมาก มีน้ำท่วมตามบริเวณชายฝั่ง มีรายงานความเสียหายในประเทศเปรู มีหลายเดือนในช่วงฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วงของซีกโลกใต้ที่อุณหภูมิผิวน้ำทะเลบริเวณชายฝั่งสูงกว่าปกติ 3 – 5 oซ.

ขนาดปานกลาง – ปริมาณฝนสูงกว่าปกติ มีน้ำท่วมตามบริเวณชายฝั่ง ความเสียหายที่เกิดขึ้นในประเทศเปรูอยู่ในระดับต่ำ โดยทั่ว ๆ ไปอุณหภูมิผิวน้ำทะเลบริเวณชายฝั่งในช่วงฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วงในซีกโลกใต้จะสูงกว่าปกติ 2 – 3 oซ.

ผลกระทบ และแผนการรองรับในไทย

ผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญ่ จะเกิดขึ้นกับภาคเกษตรมากที่สุด เพราะมีการใช้น้ำมากที่สุด โดยในภาคเกษตรนั้นมีการใช้น้ำสูงถึง 40 – 60 % ของปริมาณการใช้น้ำในประเทศ ซึ่งในประเทศไทยเรามีการจัดการบริหารเรื่องน้ำแยกออกเป็น 2 ส่วนด้วยกัน คือ น้ำบนฟ้า จะเป็นหน้าที่ของกรมอุตุนิยมวิทยา ซึ่งจะมีการใช้เทคโนโลยีเข้ามาสร้างแบบจำลองที่มีความแม่นยำสูงและเป็นที่ยอมรับ อีกส่วนหนึ่งจะเป็นน้ำบนดิน จะเป็นหน้าที่ของทางกรมชลประทาน ซึ่งก็ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่มาจัดการเช่นกัน โดยจะเครื่องตรวจวัด มีการคำนวณการแปลงน้ำบนฟ้ามาเป็นน้ำบนดินออกมาเป็นสัดส่วนเท่าไหร่ และจะต้องมีการปล่อยน้ำเข้าสู่พื้นที่เกษตรมากน้อยขนาดไหน โดยมีการประเมินโดยใช้เทคโนโลยีเอไอ ควบคุมการปล่อยน้ำในเขื่อน เพื่อปรับปริมาณการปล่อยน้ำที่จะเข้าสู่พื้นที่การเกษตรในระดับที่เหมาะสม อีกทั้งยังต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ทางภาครัฐก็ได้มีการจัดการบริหารเรื่องน้ำมาโดยตลอด เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับภาคเกษตรซึ่งใช้น้ำมากที่สุดในประเทศไทย

นอกจากนี้ยังมีการเรื่องของการสร้างคลองเพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ให้ได้ตลอดปีอีกด้วย รวมถึงในภาคเกษตรก็จะมีคำแนะนำเรื่องของการปลูกพืชแบบใหม่ที่มีการใช้น้ำน้อยให้กับทางเกษตรกรอีกด้วย เพื่อช่วยลดผลกระทบจากภัยแล้งที่จะเกิดขึ้นในช่วงนี้

อย่างไรก็ตามการจัดการบริหารน้ำนั้นก็จะสามารถช่วยทางภาคเกษตรได้ดีในเฉพาะบริเวณที่ใกล้แหล่งชลประทานเป็นส่วนใหญ่ ส่วนภาคเกษตรที่อยู่ห่างไกลจากแหล่งชลประทานก็อาจจะต้องปรับเปลี่ยนการปลูกพืชที่ใช้น้ำมาก ไปปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อยแทน และในอนาคตอาจจะมีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะมาเปลี่ยนน้ำเค็มจากทะเลมาเป็นน้ำจืดเพื่อนำมาใช้ในภาคเกษตรเพิ่มเติม แต่ในตอนนี้ก็ยังอยู่ในช่วงของการศึกษาหาข้อมูลเท่านั้น และยังไม่ได้มีการเปิดโครงการอย่างเป็นทางการสำหรับภาคเกษตรแต่อย่างใด

คำแนะนำในช่วงนี้ก็ให้ประชาชนโดยเฉพาะเกษตรกรให้ติดตามข้อมูลข่าวสารต่างๆ จากทางภาครัฐ ซึ่งหน่วยงานต่างๆ ก็จะมีการเผยแพร่ข้อมูลให้ทราบอยู่ตลอด พร้อมคำแนะนำต่างๆ ส่วนประชาชนทั่วไป ตอนนี้ยังไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ที่ชัดเจน โดยเฉพาะประชาชนที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ที่มีระบบการจัดการแหล่งน้ำที่ดีอยู่แล้ว ส่วนประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล ก็สามารถเตรียมการด้วยตัวเองได้ เช่น หาที่กักเก็บน้ำไว้ใช้ด้วยตัวเอง โดยเมื่อฝนตกก็สามารถกักเก็บน้ำได้เองทันที โดยให้ประเมินการใช้น้ำของตัวเอง และกักเก็บตามความเหมาะสม

อ้างอิงข้อมูลจาก : กรมอุตุนิยมวิทยา