คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ประกาศปรับหลักเกณฑ์การรับซื้อไฟฟ้าโซลาร์ภาคประชาชนใหม่ จากเดิมเปิดรับซื้อแบบปีต่อปี 10-50 เมกะวัตต์ โดยเปลี่ยนเป็นเปิดรับซื้อระยะยาว 10 ปี นับตั้งแต่ พ.ศ. 2564-2573 รวมปริมาณไฟฟ้าไม่เกิน 90 เมกะวัตต์ เพื่อให้เป็นไปตามแผนการผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาดของแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ พ.ศ.2561-2580 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 หรือ PDP 2018 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 และจากสถิติที่ผ่านมาเปิดรับซื้อไฟฟ้าโซลาร์ภาคประชาชน 4 ครั้ง รับซื้อไฟฟ้าได้เพียงเกือบ 9 เมกะวัตต์ จากปริมาณรับซื้อรวมทั้งหมด 260 เมกะวัตต์

ผู้สื่อข่าวศูนย์ข่าวพลังงาน (Energy News Center-ENC) รายงานว่า นายเสมอใจ ศุขสุเมฆ ประธานกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้ลงนามเมื่อวันที่ 21 มี.ค. 2565 เปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์การเปิดรับซื้อไฟฟ้า “โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา สำหรับภาคประชาชนประเภทบ้านอยู่อาศัย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2566” หรือโซลาร์ภาคประชาชน ที่เปิดรับสมัครมาตั้งแต่เดือน พ.ค. 2565 จนถึงปัจจุบัน

โดยกำหนดให้เปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์การรับซื้อไฟฟ้าโซลาร์ภาคประชาชนใหม่เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) เมื่อ 6 พ.ค. 2565  และมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 8 ก.พ. 2566 โดยได้ปรับปรุงให้สอดคล้องกับ “แผนการเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ภายใต้แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ.2561-2580 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1” ซึ่งกำหนดให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย (การไฟฟ้านครหลวง หรือ กฟน. และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือ PEA) ร่วมกันบริหารจัดการรับซื้อไฟฟ้าในช่วงปี พ.ศ. 2564-2573  จำนวนไม่เกิน 90 เมกะวัตต์ ด้วยอัตรารับซื้อไฟฟ้า 2.20 บาทต่อหน่วย เป็นเวลา 10 ปี โดยให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายนับปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าตามกำหนดวันจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ที่ระบุไว้ในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า(SCOD)  

ทั้งนี้หลักเกณฑ์ใหม่แตกต่างจากเดิมที่ กพช. เคยกำหนดให้เปิดรับซื้อไฟฟ้าโซลาร์ภาคประชาชนแบบปีต่อปี ประมาณปีละไม่เกิน 10-50 เมกะวัตต์ ก็ปรับมาเป็นการรับซื้อระยะยาว 10 ปี นับตั้งแต่ปี 2564-2573  รวม 90 เมกะวัตต์แทน

ทั้งนี้ที่ผ่านมา กกพ.ได้เปิดรับซื้อไฟฟ้าโซลาร์ภาคประชาชนตามคำสั่ง กพช. มาตั้งแต่ปี 2562 จนถึงปัจจุบัน แต่ไม่เคยประสบความสำเร็จในการรับซื้อไฟฟ้าได้ถึงเป้าหมายเลยสักครั้ง โดยในปี 2564 และปี 2565 เปิดรับซื้อปีละ 100 เมกะวัตต์ แต่มีประชาชนขายไฟฟ้ารวมเพียง 3-4 เมกะวัตต์ เนื่องจากราคารับซื้อไม่จูงใจมากนักเพียง 1.68 บาทต่อหน่วย และในปี 2564 ปรับลดเป้าหมายการรับซื้อเหลือ 50 เมกะวัตต์ พร้อมปรับราคารับซื้อไฟฟ้าขึ้นเป็น 2.20 บาทต่อหน่วย แต่ก็ยังรับซื้อมาได้เพียงกว่า 3 เมกะวัตต์เท่านั้น

จนในปี 2565 ซึ่งเป็นรอบที่ 4 ในการเปิดรับซื้อโซลาร์ภาคประชาชน ได้มีการปรับลดเป้าหมายรับซื้ออีกครั้งเหลือ 10 เมกะวัตต์ โดยเปิดรับซื้อไฟฟ้ามาตั้งแต่ พ.ค. 2565 และเมื่อสิ้นสุดปี 2565 พบว่ามีประชาชนเสนอขายรวม 1.37 เมกะวัตต์  รวมเปิดรับซื้อไฟฟ้าโซลาร์ภาคประชาชนมา 4 ครั้ง (พ.ศ. 2562-2565) ได้ไฟฟ้ารวมเพียงเกือบ 9 เมกะวัตต์ จากเป้าหมายรับซื้อรวม 260 เมกะวัตต์  

Source : Energy News Center

โซลาร์เซลล์กลายเป็นหนึ่งในวิธีการผลิตไฟฟ้าที่ได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะติดตั้งตามบ้านเรือนได้ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังสร้างไฟฟ้าใช้งานได้จริง อย่างไรก็ตาม การติดตั้งโซลาร์เซลล์ยังมีข้อจำกัดทั้งในองศา, พื้นที่ และลักษณะการติดตั้ง ที่ต้องมีมุมที่เหมาะสม มีพื้นที่พอสมควร และไม่สามารถยืดหยุ่นกับพื้นที่พิเศษ เช่น ร่องหลังคา หรือกำแพงได้ ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นแรงผลักดันให้หลายบริษัทในยุโรปพัฒนาโซลาร์เซลล์ที่ยืดหยุ่น พับงอ หรือแม้แต่ติดตั้งในแนวตั้งได้ 

บริษัทแรกที่จะพาไปสำรวจนั้นได้แก่ เฮลิอาเทค (Heliatek) ก่อตั้งขึ้นในปี 2006 ที่ประเทศเยอรมนี พัฒนาระบบผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ด้วยสารชีวภาพ (Organic Photovoltaic: OPV) เพื่อให้ตัวแผงโซลาร์เซลล์เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุดโดยในปี 2017 บริษัทได้เปิดตัวเฮลิอาโซล (HeliaSol) แผงโซลาร์เซลล์ที่มีความบางและยืดหยุ่นคล้ายแผ่นฟิล์มโดยมีความหนาเพียง 0.001 มิลลิเมตร ก่อนจะต่อยอดเป็นเฮลิอาฟิล์ม (HeliaFilm) ที่รองรับการติดตั้งได้ในหลากหลายสภาวะพื้นผิว เช่น คอนกรีต กระจก หรือแม้แต่โลหะ มีกำลังการผลิตไฟฟ้าอยู่ที่ 85 วัตต์ต่อตารางเมตร (Watt per square meter) 

โซลาร์โคล้ท (Solar Cloth) เป็นบริษัทโซลาร์เซลล์จากฝรั่งเศสที่มุ่งเน้นการทำแผ่นโซลาร์เซลล์ให้บางและพับหรือม้วนงอได้เช่นกัน โดยบริษัทได้เปิดตัว M170 โซลาร์เซลล์แบบม้วนงอได้ มีกำลังการผลิตไฟฟ้าอยู่ที่ 150 วัตต์ต่อตารางเมตร (Watt per square meter) และหนา 0.5 มิลลิเมตร ซึ่งหนากว่าโซลาร์เซลล์ของเฮลิอาเทค (Heliatek) ในขณะเดียวกันโซลาร์โคล้ท (Solar Cloth) เองก็พัฒนาแผงผลิตไฟฟ้า (PV) ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ด้วยการนำวัสดุรีไซเคิล ได้แก่ ทองแดง, อินเดียม, แกลเลียม และเซเลเนียม (Copper, Indium, Gallium, and Selenium: CIGS) มาใช้งาน ซึ่งช่วยลดต้นทุนการผลิตตัวแผง และทำให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าลดลงไปอีก 17.2% เมื่อเทียบกับโซลาร์เซลล์ทั่ว ๆ ไป

การพัฒนาโซลาร์ฟิล์ม (Solar Film) นั้นมีจุดประสงค์หลักเพื่อให้เข้าถึงหลังคาเรือนในยุโรปและทั่วโลกได้ง่ายมากขึ้น โดยเห็นได้ชัดจากวิสัยทัศน์ของบริษัท เฮลิอาเทค (Heliatek) ที่ระบุว่า “เกือบ 98% ของหลังคาทั่วโลกต่างถูกทิ้งโล่งเอาไว้โดยไม่มีแผงโซลาร์เซลล์บนนั้น นี่ถือเป็นศักยภาพที่โดนปิดกั้นเอาไว้ ซึ่งเราจะคลายล็อกนี้ด้วยแผงโซลาร์ฟิล์มของเรา”

Source : TNN Online
ที่มาข้อมูล Designboom ที่มารูปภาพ Solar Cloth