นางสาวลี่ เหยียน รองผู้จัดการทั่วไปฝ่ายธุรกิจ PV บริษัท ทงเวย โซลาร์ หรือ TW SOLAR กล่าวว่า “ทงเวย ได้ร่วมกับ บริษัท ซันเดย์ โซลาร์ ซัพพลาย จำกัด ซึ่งเป็นผู้แทนจำหน่ายรายใหญ่เพียงรายเดียวในประเทศไทย จัดงาน SHINE ON BANGKOK เพื่อเปิดตัวกลุ่มผลิตภัณฑ์แผงผลิตไฟฟ้าแสงอาทิตย์(โซลาร์เซลล์)ใหม่ TNC-G12/G12R ที่มีประสิทธิภาพของเซลล์แสงอาทิตย์ที่ดีขึ้น และตอบโจทย์ในด้านของการลดต้นทุน

รวมทั้งยังมีการออกแบบที่เหมาะสมสำหรับการติดตั้งแบบกระจายตัว ช่วยทำให้ติดตั้งได้มากขึ้น ลดต้นทุนในส่วนของขั้นตอนการให้บริการจากผู้รับเหมาตั้งแต่การออกแบบและติดตั้งทั้งในกลุ่มเชิงพาณิชย์และภาคอุตสาหกรรม นอกจากนี้ยังเป็นการขานรับกับนโยบายของภาครัฐของไทย ที่สนับสนุนการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ในภาคครัวเรือน รวมถึงกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดย่อมและขนาดกลางให้เพิ่มมากขึ้น

ทั้งนี้ในปี 2566 ตลาดโซลาร์เซลล์ในประเทศไทยมีมูลค่าสูงขึ้น และคาดว่าภายในปี 2570 จะมีปริมาณการติดตั้งพลังงานทดแทนเพิ่มเป็น 27% ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด

สำหรับการจัดจำหน่ายสินค้าทงเวยในตลาดไทย เมื่อปี 2566 ที่ผ่านมาถือว่ามีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก จากการร่วมมือกับ ซันเดย์ โซลาร์ ซัพพลาย ผู้จัดจำหน่ายในประเทศไทย ซึ่งได้ร่วมกันสำรวจความต้องการตลาด อีกทั้งยังเน้นการสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้า ปรับเปลี่ยนแผนการขาย และการบริการให้สอดคล้องกับความต้องการของแต่ละราย

ทั้งนี้ จากข้อมูลของฝ่ายวิเคราะห์ตลาดของทงเวย พบว่า ในปี 2567 ความต้องการแผงโซลาร์เซลล์ทั่วโลกจะเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยคาดว่าจะเพิ่มสูงถึง 647 กิกะวัตต์ หรือขยายตัว 31.73% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่อยู่ในขั้นตอนของการพัฒนานโยบายที่เป็นประโยชน์นั้นจะส่งผลให้ความต้องการของตลาดในภูมิภาคนี้เพิ่มขึ้น

‘ทงเวย-ฟ็อกซ์ อีเอสเอส’ รุกตลาดไทย รับนโยบายรัฐหนุนติดตั้งโซลาร์ครัวเรือน

ขณะที่ประเทศไทยเองคาดว่า กำลังการติดตั้งสะสมจนถึงปี 2580 จะเพิ่มขึ้นเป็น 8.7 กิ๊กกะวัตต์ จากปี 2565 อยู่ที่ 4.7 กิ๊กกะวัตต์ ซึ่งเป็นการเติบโตมากที่สุดในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญ ได้แก่ อัตราค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้น นโยบายสนับสนุนจากภาครัฐที่เพิ่มขึ้น เช่น การลดภาษี และมาตรการส่งเสริมการลงทุนที่แข็งแกร่ง เช่น ระยะเวลาคืนทุนสั้นลงจาก 8 ปี เหลือเพียง 5 ปี

จากความต้องการที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้นในประเทศไทยดังกล่าว ทงเวยจึงได้เปิดตัวกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ TNC-G12/G12R นอกจากแนวคิดที่จะต้องการเพิ่มประสิทธิภาพของเซลล์แสงอาทิตย์ ยังคำนึงถึงการลดต้นทุนการขนส่ง และต้นทุน BOS (โครงสร้างต้นทุนของอุปกรณ์ระบบโซลาร์เซลล์) จึงได้นำเสนอในรูปแบบแรงดันไฟฟ้าต่ำ โดยการออกแบบนี้ก็เพื่อเพิ่มความเหมาะสมและคุ้มค่าสำหรับระบบแบบกระจายตัว ช่วยทำให้ติดตั้งได้มากขึ้นลดต้นทุนของ EPC ในเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม

นอกจากนี้ ทงเวย และ ซันเดย์ โซลาร์ ซัพพลาย ยังได้พันธมิตรสำคัญรายใหญ่ระดับโลก อย่าง Fox ESS (ฟ๊อกซ์ อีเอสเอส) ผู้นำระดับโลกในการพัฒนาอินเวอร์เตอร์ มาร่วมกันผนึกกำลังนำเสนอพลังงานสีเขียวให้กับตลาดประเทศไทยได้อย่างครบวงจรมากยิ่งขึ้น”

ด้าน นายไลเลน หลิว รองประธานและผู้อำนวยการฝ่ายขายทั่วโลก ฟ็อกซ์ อีเอสเอส (FOX ESS) เปิดเผยว่า “การจับมือกับ ทงเวย และ ซันเดย์ โซลาร์ ซัพพลาย ครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของ Fox ESS ที่เข้าสู่ตลาดอุตสาหกรรมพลังงานสีเขียวและพลังงานสะอาดในภาคพื้นเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

โดยประเทศไทยถือว่าเป็นหนึ่งในตลาดสำคัญของอุตสาหกรรมพลังงานสีเขียวที่มีความก้าวหน้าและโดดเด่นในด้านพลังงานสะอาดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา พร้อมกันนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความต้องการของตลาดที่มีนัยสำคัญ บริษัทฯจึงอาศัยความได้เปรียบนี้วางแผนการทำงานร่วมกับพันธมิตรต้นน้ำและปลายน้ำ สนับสนุนการเติบโตและการเผยแพร่พลังงานสีเขียวที่ยั่งยืน สู่บ้านเรือนหลายพันหลังในประเทศไทย

“Fox ESS เป็นแบรนด์พลังงานสะอาดชั้นนำระดับโลก โดยมีสำนักงานใหญ่ในเมืองเหวินโจว มณฑลเจ้อเจียง ประเทศจีน มีสาขาในกว่าสิบประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา เยอรมนี สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และออสเตรเลีย การมีอยู่ทั่วโลกที่กว้างขวางทำให้ Fox ESS สามารถนำเสนอบริการพลังงานสีเขียวที่เป็นภาษาท้องถิ่นและครอบคลุมแก่ผู้ใช้จำนวนมากทั่วโลก ด้วยความทุ่มเทอย่างแน่วแน่และความเชี่ยวชาญที่กว้างขวาง Fox ESS ได้รับการยกย่องและการยอมรับจากทั่วโลก จนสามารถขึ้นมาเป็นหนึ่งในองค์กรระดับยูนิคอร์นในด้านพลังงานใหม่ระดับโลก” นายไลเลน กล่าว

โดยภายในงาน Fox ESS ได้มีการแนะนำผลิตภัณฑ์อินเวอร์เตอร์ Grid-tied PV อินเวอร์เตอร์ไฮบริด แบตเตอรี่สำรองพลังงาน และเครื่องชาร์จ EV ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก ผลิตภัณฑ์หลักเหล่านี้ไม่เพียงแต่แสดงให้กลุ่มลูกค้าเข้าใจถึงแนวคิดพลังงานสะอาด แต่ยังชี้ให้เห็นถึงแนวทางพลังงานสีเขียวแบบครบวงจรที่ปลอดภัยเชื่อถือได้ และมีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นของตลาดไทย

และอีกหนึ่งในกลุ่มสินค้าที่นำมาบุกตลาดในประเทศไทยคือกลุ่ม “R Series” ที่เป็นผลิตภัณฑ์หลักในกลุ่มของ อินเวอร์เตอร์ Grid-tied PV สำหรับกลุ่ม C & I (Commercial and Industrial) หรือกลุ่มลูกค้าในเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม มีขนาด 75-125 kW และมีมาตรฐานการกันน้ำและกันผุ่นระดับ IP66 นอกจากนี้ยังได้ปรับปรุงทางเทคโนโลยีเพื่อใช้ร่วมกันกับผลิตภัณฑ์แผงโซลาร์เซลล์ชนิด n-type ซึ่งมีกระแสไฟฟ้าสูง และผลลัพธ์ที่ได้คือมีประสิทธิภาพสูงถึง 98.6% ถือว่าสูงที่สุดในรุ่นที่มีในตลาด ซึ่งนับว่าเป็นข้อได้เปรียบสำคัญ

Source : กรุงเทพธุรกิจ

กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) เสนอ 2 มาตรการต่อรัฐมนตรีพลังงานแล้ว คือ “มาตรการลดภาษีสำหรับผู้ติดตั้งแผงโซลาร์รูฟท็อป” และ “มาตรการลดหย่อนภาษีในส่วนของนิติบุคคลที่มีค่าใช้จ่ายในการซื้ออุปกรณ์ใน 13 รายการ” เพื่อเตรียมยื่น ครม. เห็นชอบเร็วๆนี้ คาดเริ่มใช้จริง ก.ค. 2567 คงเป้าหมายเดิมที่กลุ่มบ้านอยู่อาศัย 9 หมื่นครัวเรือนที่ติดโซลาร์รูฟท็อปไม่เกิน 10 กิโลวัตต์ วงเงินไม่เกิน 2 แสนบาทต่อราย ได้สิทธิ์ลดหย่อนภาษี  

นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) เผยความคืบหน้ามาตรการลดภาษีสำหรับผู้ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ผลิตไฟฟ้าบนหลังคา (โซลาร์รูฟท็อป) ว่า พพ. ได้นำมาตรการดังกล่าวเสนอต่อ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เรียบร้อยแล้ว ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการแก้ไขรายละเอียด เพื่อนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เร็วๆ นี้ โดยคาดว่าจะประกาศใช้ได้จริงประมาณเดือน ก.ค. 2567 นี้ ซึ่งเร็วกว่ากำหนดการเดิมที่คาดว่าจะได้ใช้จริงในเดือน ต.ค.-ธ.ค. 2567

โดย พพ. ยังคงเป้าหมายเดิม คือให้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีกับกลุ่มบ้านอยู่อาศัย 9 หมื่นครัวเรือน ซึ่งเบื้องต้นระยะเวลาของมาตรการดังกล่าวน่าจะกำหนดใช้เพียง 2 ปี คือ ระหว่างปี 2567-2569 ซึ่งจะลดหย่อนภาษีให้ผู้ติดตั้งแผงโซลาร์รูฟท็อป เฉพาะกลุ่มบ้านอยู่อาศัย ที่เน้นการผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เองภายในบ้าน และมีระบบโซลาร์รูฟท็อปไม่เกิน 10 กิโลวัตต์  วงเงินไม่เกิน 2 แสนบาทต่อราย ซึ่งกระทรวงการคลังจะออกหลักเกณฑ์การลดหย่อนภาษีที่ชัดเจนต่อไป เช่น ให้ 1 คน ต่อ 1 สิทธิ์ สำหรับติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปใน 3 ปี เป็นต้น

อย่างไรก็ตามคาดว่ามาตรการลดภาษีการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปนี้ จะช่วยให้เกิดการลงทุนติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปประมาณ 20,250 ล้านบาท และช่วยลดการใช้ไฟฟ้าได้ 585 ล้านหน่วยต่อปี นอกจากนี้ยังช่วยลดการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ได้ประมาณ 9,000 ตัน หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 2,100 ล้านบาท รวมทั้งยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 0.28 ล้านตันต่อปี

นอกจากนี้ พพ. จะนำเสนอ ครม. พิจารณาในคราวเดียวกัน เพื่อขออนุมัติมาตรการลดหย่อนภาษีในส่วนของนิติบุคคลที่มีค่าใช้จ่ายในการซื้ออุปกรณ์ใน 13 รายการดังนี้  ตู้เย็น, เครื่องซักผ้า, เครื่องปรับอากาศ, ตู้เย็นแสดงสินค้า, เครื่องสูบน้ำอัตโนมัติ, เครื่อง VSD, เครื่องอัดอากาศแบบลูกสูบ, ปั๊มความร้อน, เครื่องเชื่อมไฟฟ้า, ฟิล์มติดกระจก, สีทาอาคาร, มอเตอร์ไฟฟ้าเหนี่ยวนำ และกระจก ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้ต้องเป็นสินค้าที่ได้มาตรฐานเบอร์ 5 ด้วย

โดยสามารถนำค่าใช้จ่ายของอุปกรณ์ดังกล่าวไปลดหย่อนภาษีได้ แบบทยอยหักต่อเนื่อง 5 ปีภาษี ซึ่งมาตรการนี้จะช่วยลดการใช้ไฟฟ้าสะสม 5 ปี ได้ 29,020 ล้านหน่วยต่อปี และยังช่วยลดการนำเข้า Spot LNG หรือ ก๊าซธรรมชาติเหลวในราคาตลาดจรได้ 203 ล้าน MMBTU หรือคิดเป็นมูลค่า 105,551 ล้านบาท และลดการสะสมก๊าซเรือนกระจกได้ด้วย

Source : Energy News Center

300 ครัวเรือนบนเกาะหมากน้อย จังหวัดพังงา จะมีไฟฟ้าใช้และจ่ายค่าไฟถูกลงจากโครงการผลิตไฟฟ้าด้วยระบบโซลาร์เซลล์ แบตเตอรี่ และโครงข่ายสายส่งขนาดเล็กภายใต้การสนับสนุนของกระทรวงพลังงานผ่านกลไกกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน 

เกาะหมากน้อย ขนาดพื้นที่รวม 9,500 ไร่ เป็นเกาะที่อยู่ในเขตจังหวัดพังงาแต่อยู่ไม่ไกลจากท่าเรือแหลมสัก จังหวัดกระบี่ เดินทางด้วยเรือเพียงประมาณ 20 นาที  แต่ชุมชนบนเกาะที่มีอยู่ กว่า 358 ครัวเรือน มีไฟฟ้าใช้กันอยู่ในปัจจุบันเพียง 30 ครัวเรือน อย่างไรก็ตามด้วยการสนับสนุนจากกระทรวงพลังงานผ่านกลไกของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในปีงบประมาณ 2565และ2566 จะทำให้ชุมชนบนเกาะแห่งนี้ครอบคลุม 300 ครัวเรือน พร้อมด้วย โรงเรียนและ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพชุมชน  จะมีไฟฟ้าใช้ตลอด 24 ชั่วโมงและจ่ายค่าไฟฟ้าเฉลี่ยต่อเดือนต่อครัวเรือนถูกลง


ระบบผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ ที่ได้รับการสนับสนุนจากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน เมื่อปี 2546 สำหรับโรงเรียนเกาะหมากน้อย ซึ่งปัจจุบันชำรุดและเลิกใช้งานแล้ว

ระบบผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ ของโรงเรียนเกาะหมากน้อย ที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ปี 2561 ซึ่งปัจจุบันยังคงใช้งานได้

ในอดีตเมื่อปี 2546 ที่ผ่านมา กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ได้เข้ามาสนับสนุนให้โรงเรียนเกาะหมากน้อย มีไฟฟ้าใช้ด้วยระบบผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์แล้ว แต่ชุดอุปกรณ์ติดตั้งดังกล่าวมีความชำรุดและต้องหยุดใช้งาน จนในปี 2561 กระทรวงพลังงานผ่านกลไกสนับสนุนของกองทุนฯ ได้อนุมัติให้ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์  ระบบอินเวอร์เตอร์และแบตเตอรี่ชุดใหม่ ที่ยังมีการใช้งานมาจนถึงปัจจุบัน  และเมื่อปี 2564 ชุมชนเกาะหมากน้อย ก็ได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนอีก 21 ล้านบาท สำหรับโครงการผลิตไฟฟ้าด้วยระบบโซลาร์เซลล์ Solar Floating กำลังผลิตติดตั้ง 200 กิโลวัตต์ พร้อมระบบแบตเตอรี่ลิเทียมขนาดความจุ 300 กิโลวัตต์ชั่วโมง และโครงข่ายสายส่งไฟฟ้าระยะทาง 2.2 กิโลเมตร ซึ่งช่วยให้ครัวเรือน จำนวน 30 ครัวเรือนมีไฟฟ้าใช้ ตลอด 24 ชั่วโมง ค่าใช้จ่ายไฟฟ้าเฉลี่ย 600-1000 บาทต่อเดือนต่อครัวเรือน จากช่วงก่อนหน้าที่จะมีการติดตั้งโครงการดังกล่าว  ชาวบ้านจะมีไฟฟ้าใช้ เฉพาะช่วง 18.30-22.30 น. ค่าไฟฟ้าเฉลี่ย 800 บาทต่อเดือนต่อครัวเรือน 


ปลัดกระทรวงพลังงานถ่ายรูปร่วมกับตัวแทนชุมชนเกาะหมากน้อยและคณะสื่อมวลชน

โดยเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2567 นายประเสริฐ  สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน นำคณะซึ่งประกอบด้วย นายเพทาย หมุดธรรม หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงพลังงาน  พลังงานจังหวัดพังงา พลังงานจังหวัดกระบี่ และสื่อมวลชนสายพลังงาน เยี่ยมชมโครงการผลิตไฟฟ้าจากระบบโซลาร์เซลล์ของเกาะหมากน้อย ตำบลเกาะปันหยี จังหวัดพังงา ที่ได้รับการสนับสนุนจากงบประมาณของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน  กระทรวงพลังงาน โดยมีนายกองค์การบริหารส่วนตำบล และผู้อำนวยการโรงเรียนเกาะหมากน้อย ให้การต้อนรับ  


ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน ระหว่างเยี่ยมชมโครงการผลิตไฟฟ้าด้วยระบบโซลาร์เซลล์ที่โรงเรียนเกาะหมกน้อย

ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน (ที่สองจากขวา) และ เพทาย หมุดธรรม หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงพลังงาน มอบพัดลมไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ให้กับผู้อำนวยการโรงเรียนเกาะหมากน้อย

นายประเสริฐ  กล่าวภายหลังการเยี่ยมชมโครงการว่า ปัจจุบันบนเกาะหมากน้อยมีการผลิตไฟฟ้าจาก 3 แหล่ง คือ 1. ระบบMicro-Grid ผลิตไฟฟ้าด้วยโซลาร์เซลล์ (Solar Floating) ที่สนับสนุนโดย กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน ปีงบประมาณ 2564 ซึ่งดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว  2. ระบบโซลาร์โฮม ที่ชุมชนลงทุนติดตั้งเอง และระบบโซลาร์โฮมแบบเติมเงินที่เอกชนลงทุนผ่านกลุ่มบริหารจัดการโดยชุมชนนำร่อง 10 ครัวเรือน 3. ระบบผลิตไฟฟ้าจากเครื่องปั่นไฟฟ้าน้ำมันดีเซลของเอกชน ซึ่งระบบนี้มีเวลาบริการจำกัดเพียง 4 ชั่วโมงต่อวัน ระหว่าง 18.30 – 22.30 น. ซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ และไม่ครอบคลุมทุกครัวเรือน อีกทั้งยังไม่ครอบคลุมถึงพื้นที่สาธารณะและถนน ทำให้ไม่มีความปลอดภัยในการดำเนินชีวิตเท่าที่ควร ในขณะที่ยังมีหน่วยงานส่วนราชการบนเกาะที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าตลอด 24 ชั่วโมงอยู่ด้วย


ระบบMicro-Grid ผลิตไฟฟ้าด้วยโซลาร์เซลล์ (Solar Floating) ที่สนับสนุนโดย กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน ปีงบประมาณ 2564.

ดังนั้นกระทรวงพลังงานจึงมีแนวทางที่จะขยายผลด้วยการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์เพื่อทดแทนการใช้เชื้อเพลิงจากน้ำมันเพิ่มเติม ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชนบนเกาะหมากน้อย ให้ 300 ครัวเรือนบนเกาะ รวมทั้ง โรงเรียน โรงพยาบาลส่วนตำบล ได้มีไฟฟ้าใช้อย่างทั่วถึง 

โดยในเฟสที่สองได้ดำเนินการของบประมาณจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเพิ่มเติม ภายใต้งบประมาณปี 2565  เพื่อเพิ่มกำลังผลิตติดตั้งอีก  100 กิโลวัตต์ แบตเตอรี่ลิเทียม ขนาดความจุ 200 กิโลวัตต์ชั่วโมง โครงข่ายสายส่งขนาดเล็ก ระยะทาง 4.2 กิโลเมตร ที่จะจ่ายไฟฟ้าครอบคลุม เพิ่มเป็น 200 ครัวเรือน ปัจจุบันส่วนนี้ยังไม่ได้เริ่มดำเนินการ  เนื่องจากอยู่ระหว่างการขอขยายเวลาก่อหนี้ผูกพัน 

ส่วนแนวทางการดำเนินการเฟสสาม ได้ของบจากกองทุนฯปี 2566 เพื่อเพิ่มกำลังผลิตอีก 50 กิโลวัตต์  แบตเตอรี่อีก 300 กิโลวัตต์ชั่วโมง  ระบบสายส่งขนาดเล็กระยะทาง 0.8 กิโลเมตร  ครอบคลุม 300 ครัวเรือน โดยอยู่ระหว่างพิจารณาโครงการ

ทั้งนี้การจะให้ทั้ง 358 ครัวเรือนมีไฟฟ้าใช้ทั้งหมดจะต้องดำเนินการรวม 4 เฟส โดยจะติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าให้ได้ขนาดกำลังผลิตรวม 400 กิโลวัตต์  แบตเตอรี่กักเก็บพลังงานขนาดรวม 1,200 กิโลวัตต์ชั่วโมงและสายส่งรวมทั้งสิ้น 9.5 กิโลเมตร 


ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน ระหว่างตรวจความดันที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพชุมชน พร้อมรับฟังประเด็นปัญหาความจำเป็นที่โรงพยายาลต้องมีไฟฟ้าใช้ตลอด 24ชั่วโมง รองรับอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ที่สำคัญสำหรับผู้ป่วยบนเกาะ

ในภาพรวมระบบผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์พร้อมแบตเตอรี่และโครงข่ายสายส่งไฟฟ้าขนาดเล็ก ที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน  กระทรวงพลังงาน นั้น ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนบนเกาะหมากน้อยให้ดีขึ้น โดยในส่วนของโรงเรียน ที่จะมีการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าสำหรับสื่อการเรียนการสอนเพิ่มขึ้น ในขณะที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพชุมชน  ก็มีอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ที่ใช้ในการรักษาคนในชุมชนที่ต้องการไฟฟ้าตลอดทั้ง 24 ชั่วโมง  อย่างไรก็ตาม การผลิตไฟฟ้าจากระบบโซลาร์เซลล์นั้นจำเป็นต้องมีการใช้งานและบำรุงรักษาอย่างถูกวิธีเพื่อให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนานและมีประสิทธิภาพ จึงมีความสำคัญที่คนในชุมชนจะต้องได้รับการฝึกอบรมด้วยความช่วยเหลือจากพลังงานจังหวัดพังงา ที่จะต้องช่วยเป็นพี่เลี้ยง  ซึ่งผู้นำชุมชนเกาะหมากน้อย สะท้อนความคิดเห็นว่า การผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เชลล์ที่ชุมชนได้รับการช่วยเหลือจากกระทรวงพลังงานในครั้งนี้นั้น ถือเป็นเรื่องใหม่สำหรับชุมชน ที่จะต้องใช้เวลาในการเรียนรู้และปรับตัว จากที่คุ้นเคยกับระบบเครื่องปั่นไฟที่ใช้น้ำมัน มายาวนาน

Source : Energy News Center

กระแสการใช้งานโซลาร์เซลล์เพื่อผลิตไฟฟ้ากำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนซึ่งประชาชนทั่วไปต่างก็มีความต้องการใช้ไฟฟ้าจำนวนมาก ซึ่งก็ต้องแลกมาด้วยค่าใช้จ่ายราคาสูงจากค่าไฟต่อหน่วยที่เพิ่มมากซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 4.18 บาทต่อหน่วย

บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA คือผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มองเห็นแนวโน้มความต้องการดังกล่าว และมีการพัฒนารูปแบบการติดตั้งโซลาร์เซลล์กับที่อยู่อาศัยมาอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ “ฐานเศรษฐกิจ” ถือโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ “ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์” กรรมการผู้จัดการ SENA ถึงแนวโน้มการใช้งานโซลาร์ และแผนการพัฒนาในระยะต่อไป  

เพิ่มประสิทธิภาพโซลาร์

ผศ.ดร.เกษรา ระบุว่า ปี 2567 เสนาฯ มีเป้าหมายการขับเคลื่อนกลุ่มธุรกิจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ หรือโซลาร์เซลล์ โดยเฉพาะการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ติดตั้งบนหลังคา (โซลาร์รูฟท็อป) ที่มุ่งเน้นการหานวัตกรรมใหม่ ซึ่งล่าสุดได้ร่วมมือกับพันธมิตรประเทศญี่ปุ่น ศึกษาในด้านประสิทธิภาพ และชนิดของแผงโซลาร์รุ่นใหม่ พบว่า ปัจจุบันมีความหลากหลายต่อการติดตั้ง สำหรับอาคารประเภทต่างๆ มากขึ้น รวมถึงอุปกรณ์แปลงไฟ (Inverter) ที่จากเดิมมีขนาดใหญ่ ก็มีสเกลลดลง ทำให้ตอบสนองต่อการใช้งานที่ประสิทธิภาพสูง รวมถึงราคาที่ลดลง 
 

ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญต่อการนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาส่งเสริมการทำตลาดอสังหาฯ ในอนาคต ที่มีทิศทางและแนวโน้มเติบโตสูงขึ้นของตลาดพลังงานสะอาด ทั้งในรูปแบบติดตั้งในที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าทุกภาคส่วนเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น จากต้นทุนค่าพลังงานต่อหน่วยที่ลดลง รวมถึงการมีส่วนร่วมในการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง 

"เสนา" เตรียมแผนศึกษาโซลาร์เจนใหม่ติดอาคารทุกรูปแบบ
“เสนา” เตรียมแผนศึกษาโซลาร์เจนใหม่ติดอาคารทุกรูปแบบ
  
“เสนาฯ ได้ร่วมกับพันธมิตรจากญี่ปุ่นทดลองศึกษาเทคโนโลยีใหม่ ในการนำแผงโซลาร์แบบงอได้ และแผงโซลาร์ที่ผลิตพลังงานจากแสงนีออน ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่จะนำมาใช้ติดตั้งกับตึกและอาคารต่างๆ ที่มีพื้นในการติดตั้งจำกัด ทำให้แผงโซลาร์สามารถเป็นส่วนประกอบของการออกแบบอาคารประหยัดพลังงานได้มากยิ่งขึ้น มีน้ำหนักที่เบา และไม่จำเป็นต้องติดบนหลังคาเพียงอย่างเดียว ซึ่งนับเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่เสนาฯ ให้ความสนใจและต้องเร่งศึกษา เนื่องจากในอนาคตอาคารขนาดใหญ่มีเพิ่มขึ้น ส่งผลต่อการใช้พลังงานของอาคาร” 

นอกจากประชาชนต้องการติดตั้งเพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นแล้ว ภาครัฐยังให้ความสำคัญในเรื่องของนโยบาย หรือการสนับสนุนให้ภาคครัวเรือนหันมาใช้พลังงานสะอาดมากขึ้นด้วยเช่นกัน โดยให้ประชาชนสามารถขายไฟคืนรัฐในนโยบายการรับซื้อโซลาร์ภาคประชาชนราคา 2.20 บาท /หน่วย ซึ่งมองว่ายังไม่เป็นแรงจูงใจให้ประชาชนหันมาติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปมากเท่าที่ควร หากเพิ่มราคารับซื้อที่แพงกว่านี้ หรือ 3 บาท/หน่วย จะสามารถกระตุ้นให้ประชาชนหันมาติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปมากขึ้น

บ้านพลังงานเป็นศูนย์-คอนโด Low Carbon

การขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อความยั่งยืน ได้มีการนำโซลูชั่นมาพัฒนาธุรกิจ ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯได้ก้าวข้ามบ้านโซลาร์สู่การเป็นบ้านประหยัดพลังงาน หรือการทำกรีนโซลูชั่นเพิ่ม ซึ่งเป็นการยกระดับการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง สู่การเป็นบ้านพลังงานเป็นศูนย์ หรือ Zero Energy House (ZEH) และคอนโด Low Carbon โดยนำวิธีคิดต่างๆ มาผสมผสาน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพการใช้พลังงานและสอดรับกับภูมิอากาศของประเทศ ที่ใส่ใจในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การออกแบบ การเลือกใช้วัสดุก่อสร้าง และสุขภัณฑ์ต่างๆ นอกจากนี้ ยังรวมถึงการให้บริการ EV Ready หรือการติดตั้งเครื่องชาร์จรถพลังงานไฟฟ้า (EV Charger) เพื่อรองรับกระแสรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังได้รับความนิยมในปัจจุบันและอนาคต อีกทั้งยังอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าโครงการต่างๆ ของเสนาฯ โดยคำนึงถึงหลักการออกแบบ 3 ขั้นตอน ดังนี้   

"เสนา" เตรียมแผนศึกษาโซลาร์เจนใหม่ติดอาคารทุกรูปแบบ
“เสนา” เตรียมแผนศึกษาโซลาร์เจนใหม่ติดอาคารทุกรูปแบบ

  • Active Design การออกแบบอาคารให้มีความยั่งยืนด้านการใช้พลังงาน โดยการนำเทคโนโลยี 
  • หรืออุปกรณ์ทันสมัยเข้ามาช่วยในการออกแบบ เช่น เซนเซอร์ควบคุมระบบไฟฟ้าและแสงสว่าง, การใช้เครื่องปรับอากาศประหยัดพลังงาน 
  • Passive design การออกแบบอาคารให้มีความสอดคล้องกับสิ่งแวดล้อม เช่น ทิศทางลม และแสงแดด เป็นต้น
  • การมีระบบผลิตพลังงานใช้เองจากพลังงานหมุนเวียน เช่น การนำพลังงานจากแสงอาทิตย์ (Solar Cell) มาสร้างเป็นพลังงานไฟฟ้า เพื่อใช้ภายในบ้านให้สอดคล้องกับสภาพอากาศของเมืองไทย และการอยู่อาศัยภายในบ้าน ที่สามารถควบคุมอุณหภูมิภายในบ้านให้เหมาะสมแต่ละฤดูกาล ผสมผสานการใช้พลังงานที่ใช้ได้เองอย่างมีประสิทธิผล 

ผศ.ดร.เกษรา ระบุอีกว่า ปัจจุบันเสนาได้ทำการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปให้กับลูกค้า ทั้งบ้านเดี่ยว และทาวน์โฮม กว่า 1,000 หลัง คิดเป็นการผลิตไฟฟ้ามากกว่า 100 เมกะวัตต์ โดยตั้งเป้าปีนี้จะติดตั้งโซลาร์ สำหรับกลุ่ม B2C จำนวน 1,800 หลัง ปัจจุบันมีโรงผลิตไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์ม 2 แห่ง คือ จ.สระบุรี และ จ.นครปฐม มีกำลังการผลิตไฟฟ้า รวมขนาดการติดตั้งอยู่ที่ 46.5 เมกะวัตต์ โดยปีนี้ตั้งเป้าผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอีก 20 เมกะวัตต์ เพื่อรองรับดีมานด์ที่เพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบัน 

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เสนาพยายามศึกษาและพัฒนาไม่ใช่เพียงแค่การติดตั้งโซลาร์ แต่เสนาต้องการทำให้ผู้บริโภคได้ใช้ชีวิตแบบ Sustainability Way Long life เพื่อการพัฒนาธุรกิจไปสู่ความยั่งยืน และทุกคนเข้าถึงบ้านประหยัดพลังงาน ที่ไม่ต้องจ่ายแพงขึ้น โดยเสนาฯ ได้คิดค้นนวัตรกรรม บริหารต้นทุนการพัฒนาที่อยู่อาศัยและสังคมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยคำนึงถึงองค์ประกอบที่สมดุล (Compromise) ทั้งในด้านการออกแบบ  การเลือกวัสดุอุปกรณ์การติดตั้ง และเทคโนโลยีที่สามารถตอบโจทย์ให้บ้านประหยัดพลังงานได้ เพื่อคนทุกกลุ่ม แม้จะเป็นความท้าท้ายของการพัฒนาโครงการก็ตาม เพื่อปิดโจทย์ความเชื่อว่า “การรักษ์โลก ต้องจ่ายแพงขึ้น” สิ่งเหล่านี้ ทำให้เราได้พยายามคิดโซลูชั่นต่างๆ เพื่อการเข้าถึงที่อยู่อาศัยรักษ์โลกอย่างแท้จริง

Source : ฐานเศรษฐกิจ

ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า ได้มีการใช้พลังงานสะอาด ช่วยลดภาวะโลกร้อน กำหนดนโยบาย Smart Energy and Climate Action (SECA) ให้หน่วยงานในสังกัดติดตั้ง ระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ล่าสุดติดตั้งแล้ว 1,496 แห่ง ช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 43,137.43 tonCo2/ปี ลดค่าไฟฟ้าได้ถึง 392 ล้านบาท/ปี

นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า  ภาวะโลกร้อนเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้ ทั้งการเจ็บป่วยจากสภาพอากาศที่ร้อนจัด การเกิดโรคติดต่อ และภัยจากสภาพอากาศที่รุนแรงต่างๆ กระทรวงสาธารณสุขจึงมีนโยบาย Smart Energy and Climate Action (SECA) : พลังงานอัจฉริยะ และการดำเนินการที่มุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศ เพื่อให้ทุกหน่วยงานในสังกัดใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ

ป้องกันการสูญเสียพลังงานอย่างไร้ประโยชน์ และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่ชั้นบรรยากาศ โดยการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งข้อมูลล่าสุดถึงเดือนเมษายน 2567 หน่วยงานสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ทั้งหมด 1,857 แห่ง

ได้ติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แล้ว 1,496 แห่ง คิดเป็น 82.02 % ขนาดกำลังการผลิตรวม 75,806.09 กิโลวัตต์ ช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 43,137.43 tonCo2/ปี สามารถประหยัดค่าไฟฟ้าได้ถึง 392,238,903 บาท/ปี โดยยังมีหน่วยงานที่อยู่ระหว่างการดำเนินการอีก 206 แห่ง

ภายใต้นโยบาย SECA ยังมีการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ด้วยการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์เพื่อการประหยัดพลังงาน โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการใช้พลังงาน 20% ส่งเสริมการใช้ยานพาหนะพลังงานไฟฟ้า (EV), การปรับปรุง และก่อสร้างอาคารอนุรักษ์พลังงาน (Energy Building), การเพิ่มพื้นที่สีเขียวในโรงพยาบาล, การเพิ่มศักยภาพการให้บริการทางการแพทย์ทางไกลเพื่อลดจำนวนผู้ป่วยที่ไปรับบริการแผนกผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาล, การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการมูลฝอย/น้ำเสีย โดยใช้หลัก 3R (Reduce, Reuse, Recycle)

รวมถึงการรณรงค์ส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน ทั้งนี้ มีงานวิจัยของหลายหน่วยงานคาดการณ์ว่า หากการลดก๊าซเรือนกระจกของทุกประเทศยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด อุณหภูมิเฉลี่ยของประเทศไทยอาจจะเพิ่มขึ้นถึง 2-3 องศาเซลเซียสในปลายศตวรรษนี้ ดังนั้น การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดภาวะเรือนกระจก จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคน ทุกหน่วยงานต้องร่วมมือกันดำเนินการอย่างจริงจัง และต่อเนื่อง

Source : กรุงเทพธุรกิจ