สำนักข่าวซินหัวรายงานจากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 2 ต.ค. ว่า ผลการศึกษาในวารสารไซเอนซ์ ( Science ) ระบุว่า อัตราการเป็นกรดในมหาสมุทรอาร์กติกฝั่งตะวันตกนั้น เร็วกว่าในแอ่งมหาสมุทรอื่น ราว 3-4 เท่า โดยการเพิ่มขึ้นของคาร์บอนไดออกไซด์จากฝีมือมนุษย์ ส่งผลให้น้ำทะเลมีความเป็นกรดมากขึ้น และแคลเซียมคาร์บอเนตอิ่มตัวน้อยลง ซึ่งเป็นกระบวนการที่เรียกว่า “ปรากฏการณ์ทะเลกรด” ( ocean acidification )
ทั้งนี้ ทีมวิจัยนำโดยคณะนักวิจัยจากสถาบันวิจัยทะเลและขั้วโลกแห่งมหาวิทยาลัยจี๋เหม่ย ได้ทำการสังเคราะห์ข้อมูลคาร์บอเนตในมหาสมุทรจากการล่องเรือวิจัย 47 ครั้ง รอบมหาสมุทรอาร์กติกระหว่างปี 2537-2563 เพื่อตรวจสอบว่าวัฏจักรคาร์บอนของมหาสมุทรอาร์กติก ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างไร
ทีมวิจัยพบพื้นที่ส่วนใหญ่ของน้ำทะเลที่เคยถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งนั้นได้สัมผัสกับบรรยากาศ ซึ่งเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการหดตัวของน้ำแข็งทะเล โดยภาวะดังกล่าวกระตุ้นการดูดซึมคาร์บอนไดออกไซค์ในชั้นบรรยากาศอย่างรวดเร็ว นำไปสู่ความเป็นกรดของมหาสมุทร และความจุบัฟเฟอร์ ( buffer capacity ) ของมหาสมุทรลดต่ำลง
นอกจากนั้น ทีมวิจัยคาดการณ์ว่าค่าความเป็นกรด-ด่าง ( pH ) จะลดลงอีก ณ ระดับละติจูดที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นระดับที่ยังคงเผชิญการหดตัวของน้ำแข็งทะเล พร้อมเน้นย้ำถึงความเร่งด่วนในการลดการปล่อยคาร์บอนเพื่อรักษาระบบนิเวศของอาร์กติก
“ความเป็นกรดของมหาสมุทรสามารถส่งผลร้ายแรงต่อสิ่งมีชีวิตในทะเล เช่น หอยกาบ หอยแมลงภู่ และหอยสังข์ ซึ่งเป็นอาหารหลักสำหรับปลาแซลมอนและปลาเฮอริงอาร์กติก” ศ. ฉีตี้ จากมหาวิทยาลัยจี๋เหม่ย และผู้นำในการเขียนงานวิจัยชิ้นนี้ กล่าว.
ข้อมูล-ภาพ : XINHUA
Source : เดลินิวส์