ระบบพลังงานในโลกกำลังจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง โดยมีเป้าหมายหลักคือการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนให้น้อยที่สุด ผ่านการใช้ไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และลม ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของระบบนี้ แต่เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านนี้สำเร็จและยั่งยืน ระบบพลังงานจำเป็นต้องมีเสาหลักที่แข็งแกร่ง 2 ด้าน นั่นก็คือ แบตเตอรี่และพลังงานโมเลกุลสีเขียว (Green Molecules) ซึ่งทั้งสองไม่ได้แข่งขันกัน แต่เป็นส่วนเติมเต็มซึ่งกันและกัน
แบตเตอรี่ พลังสำรองที่ยืดหยุ่น
แบตเตอรี่มีบทบาทสำคัญในการทำให้พลังงานหมุนเวียนมีความเสถียรมากขึ้น ด้วยความสามารถในการกักเก็บไฟฟ้าเมื่อมีการผลิตมากเกินความต้องการ (เช่น ตอนกลางวันที่มีแดดจัด หรือตอนกลางคืนที่มีลมแรง) และจ่ายไฟฟ้าออกมาในช่วงที่มีความต้องการสูง แบตเตอรี่จึงเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้พลังงานหมุนเวียนสามารถจ่ายไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่อง “ตลอด 24 ชั่วโมง” (Round the Clock หรือ RTC) ช่วยให้สามารถเข้ามาแทนที่โรงไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิลได้อย่างแท้จริง
การใช้งานแบตเตอรี่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด ต้นทุนที่ลดลงอย่างต่อเนื่องจากเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้น ทำให้หลายประเทศหันมาลงทุนในด้านนี้ โดยเฉพาะในเอเชียอย่าง อินเดีย ที่มีการประมูลโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ร่วมกับระบบกักเก็บพลังงานแบตเตอรี่ (BESS) ในราคาที่แข่งขันได้มากเพียง 3.6 เซนต์ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง รวมถึง ซาอุดีอาระเบีย ที่กำลังพัฒนาโครงการ The Red Sea Global ซึ่งใช้พลังงานแสงอาทิตย์ 340 เมกะวัตต์ ควบคู่กับแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 1.2 กิกะวัตต์ชั่วโมง ทำให้โรงงานผลิตน้ำจืดสามารถใช้พลังงานหมุนเวียนได้ทั้งกลางวันและกลางคืน
พลังงานโมเลกุลสีเขียว พลังงานระยะยาวสำหรับอุตสาหกรรม
ในขณะที่แบตเตอรี่เหมาะสำหรับการกักเก็บพลังงานระยะสั้น พลังงานโมเลกุลสีเขียว เช่น ไฮโดรเจนสีเขียว, แอมโมเนีย, เมทานอล และเชื้อเพลิงสังเคราะห์อื่น ๆ คือคำตอบสำหรับการกักเก็บพลังงานระยะยาว และเป็นพลังงานทางเลือกสำหรับภาคส่วนที่ยากต่อการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน (Hard-to-abate sectors) เช่น อุตสาหกรรมเหล็ก, ซีเมนต์, การขนส่งทางเรือ และการบิน
พลังงานโมเลกุลสีเขียวสามารถใช้เป็นได้ทั้งเชื้อเพลิงและสารตั้งต้นในกระบวนการผลิต เช่น ไฮโดรเจนสีเขียว สามารถใช้แทนไฮโดรเจนที่ได้จากเชื้อเพลิงฟอสซิลในการผลิตเหล็กและสารเคมี ส่วน เมทานอลและแอมโมเนียสีเขียว ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับเชื้อเพลิงเครื่องบินและเรือเดินทะเล
โอกาสทองของประเทศตลาดเกิดใหม่ อินเดียและตะวันออกกลาง
ประเทศที่มีแหล่งพลังงานแสงอาทิตย์และลมที่อุดมสมบูรณ์อย่าง อินเดียและตะวันออกกลาง มีศักยภาพที่จะเป็นผู้ผลิตและส่งออกพลังงานโมเลกุลสีเขียวในราคาที่แข่งขันได้ การประมูลล่าสุดในอินเดียสำหรับแอมโมเนียสีเขียวได้ราคาต่ำลงเหลือ 591 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อตัน และราคาไฮโดรเจนสีเขียวอยู่ที่ 3.75ดอลลาร์สหรัฐ ต่อกิโลกรัม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพร้อมของภูมิภาคนี้ที่จะกลายเป็นศูนย์กลางการส่งออกพลังงานสะอาดเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดยุโรป เอเชียตะวันออก และอเมริกาเหนือ
อย่างไรก็ตาม การจะผลักดันพลังงานโมเลกุลสีเขียวให้เติบโตได้นั้น ยังต้องเผชิญกับความท้าทายสำคัญคือ การขาดตลาดโลกที่ชัดเจน ซึ่งแตกต่างจากตลาดน้ำมันหรือ LNG ที่มีโครงสร้างพื้นฐานและมาตรฐานรองรับอยู่แล้ว ดังนั้น การสร้างมาตรฐานร่วมกัน, การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ท่อส่งและสถานีบรรจุเชื้อเพลิง, และความร่วมมือระหว่างประเทศจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อเชื่อมโยงผู้ผลิตต้นทุนต่ำในประเทศกำลังพัฒนาเข้ากับศูนย์กลางความต้องการในประเทศที่พัฒนาแล้ว
ร่วมสร้างตลาดโลกให้เป็นจริง
การจะปลดล็อกศักยภาพของพลังงานโมเลกุลสีเขียวได้อย่างเต็มที่นั้น ทุกฝ่ายต้องก้าวจากการนำร่องไปสู่การขยายผลในวงกว้าง รัฐบาลและภาคอุตสาหกรรมต้องทำงานร่วมกัน เพื่อสร้างกรอบการกำกับดูแลที่เอื้อต่อการลงทุน เช่น การกำหนดราคาคาร์บอน หรือการบังคับใช้เชื้อเพลิงสีเขียวในภาคการบินและการเดินเรือ ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันให้เกิดความต้องการในตลาดช่วงแรก และเป็นก้าวสำคัญในการเปลี่ยนผ่านระบบพลังงานโลกให้เป็นไปอย่างยั่งยืน
ที่มา : ACWA Power
Source : กรุงเทพธุรกิจ




