กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประกาศเรียกเก็บเงินโรงแยกก๊าซฯ ที่ผลิต LPG ส่งเข้ากองทุนฯ เพิ่มขึ้นเป็น 4.0729 บาทต่อกิโลกรัม พร้อมปรับลดเงินชดเชยราคา LPG เหลือ 0.3452 บาทต่อกิโลกรัม ชี้ไม่กระทบราคาจำหน่ายปลีก LPG ที่ตรึงราคาไว้ 423 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม ไปจนถึงสิ้นปี 2568  ด้านภาพรวมบัญชี LPG ติดลบรวม -40,194 ล้านบาท

ผู้สื่อข่าวศูนย์ข่าวพลังงาน (Energy News Center – ENC) รายงานว่า นางไพลิน ฟุ้งเกียรติ ผู้อำนวยการสำนักการเงินและบัญชี และในฐานะรักษาการแทนผู้อำนวยการ สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) ได้ลงนามเมื่อวันที่  8 ธ.ค. 2568 ประกาศ “การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุน อัตราเงินชดเชย อัตราเงินคืนจากกองทุน และอัตราเงินชดเชยคืนกองทุนสำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG)” โดยกำหนดเปลี่ยนแปลงเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในบัญชี LPG ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 ธ.ค. 2568 เป็นต้นไป

สำหรับประกาศดังกล่าวได้กำหนดให้โรงแยกก๊าซธรรมชาติ ส่งเงินเข้ากองทุนฯ สำหรับ LPG ที่ผลิตในประเทศเพื่อจำหน่ายเป็นเชื้อเพลิง ในอัตรา 4.0729 บาทต่อกิโลกรัม โดยปรับเพิ่มขึ้นจากเดิมที่กำหนดไว้ 3.9583  บาทต่อกิโลกรัม ทั้งนี้ไม่รวมถึง LPG ที่ผลิตจากโรงแยกก๊าซฯของ บริษัท ปตท. สผ. สยาม จำกัด อ.ลานกระบือ จ.กำแพงเพชร และ LPG ที่ผลิตจากโรงแยกก๊าซฯ ของ บริษัท ยูเอซี โกลบอล จำกัด (มหาชน) อ.กงไกรลาศ จ. สุโขทัย

อย่างไรก็ตามให้ บริษัท ยูเอซี โกลบอลฯ ส่งเงินเข้ากองทุนฯ ในอัตรา 2.6727 บาทต่อกิโลกรัม เพิ่มขึ้นจากเดิมที่กำหนดให้ส่งเข้า 2.5581 บาทต่อกิโลกรัม

พร้อมกันนี้ได้ปรับลดเงินชดเชยราคา LPG ลงเป็น 0.3452 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมชดเชยอยู่ 0.4598 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งนี้ไม่รวม LPG จากการแยกก๊าซฯ ที่ซื้อหรือได้จากรัฐ ผู้รับสัมปทาน หรือผู้รับสัญญาแบ่งปันผลผลิต (PSC) โดยโรงแยกก๊าซฯ ของ บริษัท ปตท. สผ.สยาม จำกัด โดยราคาขายปลีก LPG ยังคงเท่าเดิมที่ 423 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม ถึง 31 ธ.ค. 2568 หลังจากนั้นต้องรอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณาต่อไป

ส่วนเงินส่งเข้ากองทุนฯ สำหรับ LPG ที่ซื้อหรือได้มาจากโรงแยกก๊าซฯ ของ บริษัท ปตท. สผ. สยาม จำกัด ยังคงเท่าเดิมที่ 5.4049 บาทต่อกิโลกรัม   

ขณะที่ LPG ที่ได้รับอนุญาตให้ส่งออกไปต่างประเทศ ตาม พ.ร.บ.การค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 และได้รับเงินชดเชยจากกองทุนฯ แล้ว ให้ส่งเงินชดเชยคืนกองทุนฯ 0.3452 บาทต่อกิโลกรัม ลดลงจากเดิมที่กำหนดให้ส่งเข้า 0.4598  บาทต่อกิโลกรัม

สำหรับบัญชี LPG ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ล่าสุด ณ วันที่ 7 ธ.ค. 2568 ภาพรวมติดลบอยู่ -40,194 ล้านบาท โดยคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) กำหนดกรอบวงเงินสำหรับอุดหนุนราคา LPG ได้ไม่เกิน 50,000 ล้านบาท

สำหรับประกาศดังกล่าวเป็นไปตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่กำหนดนโยบายให้ กบน. บริหารกองทุนฯ อย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับความเสี่ยงกรณีเกิดวิกฤตการณ์ด้านน้ำมันเชื้อเพลิงดังนี้

1.มีเหตุการณ์ที่ทำให้ต้นทุนการจัดหาจากโรงแยกก๊าซฯ ,ต้นทุนโรงแยกก๊าซฯ ของ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) และต้นทุนโรงแยกก๊าซฯ ของบริษัท ยูเอซี โกลบอลฯ มีราคาสูงกว่านำเข้า 2.มีเหตุการณ์ที่ทำให้ราคา LPG ของตลาดโลกเปลี่ยนแปลงใน 2 สัปดาห์ เฉลี่ยมากกว่า 35 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน 3. มีเหตุการณ์ที่ทำให้ราคา LPG  ในประเทศเปลี่ยนแปลงใน 2 สัปดาห์ รวมกันมากกว่า 1 บาทต่อกิโลกรัม  และ 4. มีเหตุการณ์ที่ทำให้ราคาขายปลีก LPG ในประเทศสูงขึ้นในระดับเกินกว่า 363 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม ทั้งนี้เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนหรือชะลอการขาดแคลนในประเทศ เพื่อความมั่นคงด้านพลังงานและเศรษฐกิจของประเทศ

Source : Energy News Center

ไม่ใช่จีน ไม่ใช่อินเดีย แต่เป็น ‘ฟิลิปปินส์’ ยักษ์ใหญ่ที่หลับใหลของภูมิภาคเอเชียที่กำลังจะตื่นขึ้น จากการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ 5 ล้านชุด ในปี 2026

แม้ว่าจีนจะครองความเป็นผู้นำด้านการผลิตและอินเดียมีแผงโซลาร์เซลล์จำนวนมาก แต่ผู้ได้ฉายา ‘ยักษ์ใหญ่ที่หลับใหล’ และกำลังจะลืมตาตื่นขึ้นในครั้งนี้ กลับเป็นประเทศฟิลิปปินส์ ที่กำลังเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด ด้วยการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ในพื้นที่เพาะปลูกในจังหวัดนูเวยาเอซีฮาและบูลากัน จำนวนกว่า 5 ล้านชุด ภายในปี 2026 

โครงการนี้มีชื่อว่า เอ็มเทอร์รา (MTerra) ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นโครงการติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์และระบบจัดเก็บพลังงานแบบครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดในโลก หลังได้รับการสนับสนุนจากบริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่อย่าง Meralco PowerGen, SPNEC และยังได้รับการลงทุน 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐจาก Actis ผู้นำด้านโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก

ยักษ์หลับแห่งเอเชียกำลังจะตื่น จากการติดโซลาร์เซลล์ 5 ล้านแผง

โครงการนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การผลิตพลังงานสะอาดเท่านั้น เนื่องจากฟิลิปปินส์นับเป็นประเทศที่มีราคาค่าไฟฟ้าสูงที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย เป้าหมายของโครงการจึงมุ่งไปที่การมี ‘พลังงานสะอาดสำหรับทุกคน’ ที่มีราคาไม่แพง และนำไปสู่การพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลน้อยลงทั่วประเทศ

เบื้องต้นคาดว่า โครงการนี้จะสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าให้กับประชาชนได้มากกว่า 2.4 ล้านครัวเรือน และเมื่อดำเนินการอย่างเต็มรูปแบบแล้วจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่า 4 ล้านตันต่อปี เทียบเท่ากับการหายไปของรถยนต์ 3 ล้านคัน ทั้งยังมีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจด้วยการสร้างงานกว่า 9,500 ตำแหน่ง 

อย่างไรก็ตาม ประเทศจีนในฐานะพี่ใหญ่ของเอเชียก็กำลังสร้างความก้าวหน้าด้านพลังงานสะอาดครั้งใหญ่เช่นกัน ด้วยการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์กว่า 6 ล้านชุด ที่จะทำให้เกิดฟาร์มพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่นอกชายฝั่งของประเทศ

ขณะที่โครงการเอ็มเทอร์ราของฟิลิปปินส์นั้น ได้วางแผนเฟสสองในปี 2026 ในการเอาชนะความท้าทายด้านโครงสร้างพื้นฐานเพื่อดำเนินโครงการพลังงานหมุนเวียนในระดับโลก ส่วนการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์จำนวน 5 ล้านชุดครั้งนี้ ก็ถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญ ที่พิสูจน์ให้เห็นว่าพลังงานที่ยั่งยืนสามารถผลิตได้จากทุกประเทศในเอเชีย

Source : Spring News

อโณทัย สังข์ทอง ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารและทะเบียนคาร์บอนเครดิต กล่าวว่า การยกระดับเป้าหมายสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย จากเดิมคาดว่าจะบรรลุ Net Zero ในปี 2065 มาเป็นปี 2050 จำเป็นต้องมี “ระบบบังคับใช้” แทนการพึ่งพามาตรการสมัครใจในอดีต ร่าง พ.ร.บ. ลดโลกร้อนจึงถูกออกแบบให้เป็นโครงสร้างหลักที่จะทำให้ทุกภาคส่วนต้องจัดการการปล่อยก๊าซอย่างเป็นระบบ

หัวใจของการผลักดัน

คือร่างกฎหมายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศฉบับใหม่ ซึ่งจะเปลี่ยนระบบของไทยจากการรายงานแบบสมัครใจไปสู่การรายงานแบบภาคบังคับ โดยกฎหมายกำหนดให้นิติบุคคลต้องเปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกใน Scope 1 หรือการปล่อยโดยตรงจากกิจกรรมขององค์กร และ Scope 2 หรือการปล่อยที่เกิดจากการใช้ไฟฟ้าที่ซื้อมาใช้ ทั้งยังสอดคล้องกับข้อกำหนดของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ที่ยกระดับมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูลด้านสภาพภูมิอากาศให้เทียบเท่าสากล

ระบบ Emission Trading Scheme (ETS)

ในขณะเดียวกัน ร่างกฎหมายยังเตรียมเปิดใช้ระบบ Emission Trading Scheme (ETS) ตามหมวด 8 ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญในการควบคุมการปล่อยในภาคอุตสาหกรรมปล่อยสูงอย่างเป็นรูปธรรม โดยกำหนด “เพดานการปล่อย” ให้โรงไฟฟ้า ปูนซีเมนต์ เหล็ก ปิโตรเคมี และอุตสาหกรรมอื่นที่เกี่ยวข้อง หากผู้ประกอบการไม่สามารถลดการปล่อยให้ต่ำกว่าเพดานที่กำหนดได้ จะต้องซื้อสิทธิในการปล่อย หรือเผชิญกับบทลงโทษ (ค่าปรับ)

ส่วน Scope 3 ร่างกฎหมายได้วางบทบาทของรัฐในการสนับสนุนองค์ความรู้ มาตรฐานการวัด และระบบการรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร เพื่อเตรียมให้ภาคธุรกิจพร้อมรองรับการเปิดเผยข้อมูลห่วงโซ่คุณค่าในอนาคต ซึ่งกำลังถูกผลักดันโดยมาตรฐานสากลและข้อกำหนดจากคู่ค้าระหว่างประเทศ

พ.ร.บ. ลดโลกร้อน จะทำให้ Scope 1 และ Scope 2 กลายเป็นข้อบังคับ ขณะที่ Scope 3 ได้รับการสนับสนุนให้พัฒนาความพร้อม เป็นการยกระดับระบบรายงานก๊าซเรือนกระจกของไทยให้เดินหน้าอย่างเป็นขั้นตอนและเชื่อมโยงทุกภาคส่วนสู่เป้าหมาย Net Zero ในภาพใหญ่

อโณทัย กล่าวด้วยว่า ในส่วนขอบตลาดคาร์บอนไทยนั้นกำลังก้าวสู่จุดที่ต้องเปลี่ยนผ่านอย่างรุนแรง ด้วยนโยบายที่เข้มงวดขึ้น (ETS) และโอกาสในการสร้างรายได้มหาศาลจากตลาดโลก (CORSIA) การปรับตัวสู่การลดการปล่อยก๊าซฯ และการพัฒนาโครงการ Premium T-VER ที่มีคุณภาพสูง จึงเป็น กลยุทธ์สำคัญ ที่จะกำหนดทิศทางและความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจไทยในทศวรรษหน้า

ประเทศไทยโดย อบก. ได้สร้างโครงสร้างพื้นฐานคาร์บอนเครดิตที่มีความทันสมัยและโปร่งใส เพื่อรองรับการเติบโตทั้งในและต่างประเทศ คือ Standard T-VER และ Premium T-VER โดย Standard T-VER เป็นโครงการทั่วไปที่ดำเนินการตามมาตรฐานของ อบก. ส่วน Premium T-VER เป็นมาตรฐานที่สูงกว่า โดยมีการตรวจสอบเข้มงวดมากขึ้นและสอดคล้องกับแนวปฏิบัติสากลมากขึ้น

Premium T-VER คือมาตรฐานขั้นสูงที่ได้รับการรับรองจาก ICAO ให้สามารถนำไปใช้ชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในมาตรการ CORSIA (Carbon Offsetting and Reduction Scheme for International Aviation) ของภาคการบินได้ ซึ่งเป็นการเปิดประตูให้เครดิตของไทยสามารถเข้าสู่ตลาดโลกได้อย่างสมภาคภูมิ

ถึงแม้จะมีมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับ แต่ ณ ปัจจุบัน ประเทศไทย ยังไม่มีปริมาณคาร์บอนเครดิต Premium T-VER ที่เพียงพอ ต่อการส่งออกสู่ตลาด CORSIA ซึ่งโครงการ Premium T-VER ที่เข้าเกณฑ์ CORSIA ส่วนใหญ่เป็นโครงการภาคป่าไม้ ซึ่งแม้จะมีความสำคัญ แต่ก็มีข้อจำกัดในการสร้างเครดิตในปริมาณมาก และต้องใช้ระยะเวลานานในการรับรอง คาดการณ์รวมกันเพียง 19,000 ตันต่อปี

ทั้งนี้ ตลาดคาร์บอนระหว่างประเทศ โดยเฉพาะภาคการบิน เป็นสนามที่ไทยสามารถสร้างรายได้เข้าประเทศได้อย่างมหาศาล แต่กำลังเผชิญกับความท้าทายด้านอุปทาน CORSIA เป็นมาตรการที่กำหนดให้สายการบินต้องชดเชยการปล่อยก๊าซฯ จากเที่ยวบินระหว่างประเทศ โดยความต้องการคาดการณ์ คาดการณ์ว่าทั่วโลกจะมีความต้องการคาร์บอนเครดิตในช่วงปี 2567-2569 สูงถึง 146-236 ล้านตัน ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ

Source : กรุงเทพธุรกิจ

โลกของเรากำลังเดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญทางประวัติศาสตร์ เมื่อคำว่า “ภาวะโลกร้อน” (Global Warming) ดูจะเบาบางเกินไปที่จะอธิบายปรากฏการณ์สุดขั้วที่เราเผชิญอยู่ จนสหประชาชาติต้องนิยามใหม่ว่าเป็นยุค “โลกเดือด” (Global Boiling) แม้ทั่วโลกจะตื่นตัวกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกผ่านการใช้รถยนต์ไฟฟ้าหรือพลังงานแสงอาทิตย์ แต่ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ล่าสุดชี้ชัดว่า “แค่ลดการปล่อยใหม่นั้นยังไม่พอ”

ทำไมถึงไม่พอ คำตอบอยู่ที่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ปริมาณมหาศาลที่มนุษย์ปล่อยสะสมไว้ในชั้นบรรยากาศตลอด 200 ปีที่ผ่านมา ก๊าซเหล่านี้ยังคงวนเวียนและทำหน้าที่กักเก็บความร้อนต่อไป แม้ว่าวันนี้เราจะหยุดโรงงานทุกแห่งและหยุดรถทุกคันในโลกทันที อุณหภูมิโลกก็จะยังคงสูงขึ้นต่อไปอีกนาน ดังนั้นโจทย์ใหญ่ของมนุษยชาติจึงเปลี่ยนไป ไม่ใช่แค่การหยุดปล่อย (Zero Emissions) แต่ต้องเป็นการ “ลบ” ของเก่าออกไปด้วย หรือที่เรียกว่า “การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นลบ” (Negative Emissions)

นี่คือที่มาของเทคโนโลยีที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น “เครื่องฟอกอากาศของโลก” อย่าง Direct Air Capture (DAC) หรือการดักจับคาร์บอนจากอากาศโดยตรง นวัตกรรมที่เปลี่ยนจากรับบทตั้งรับมาเป็นฝ่ายรุกในการดูดซับมลพิษออกจากท้องฟ้า บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกทุกมิติของ DAC ตั้งแต่กลไกทางเคมีที่ซับซ้อนไปจนถึงอภิมหาโปรเจกต์ระดับโลกที่กำลังเกิดขึ้นจริงในปี 2025

Direct Air Capture (DAC) คืออะไรและทำงานอย่างไร

Direct Air Capture (DAC) คือเทคโนโลยีวิศวกรรมขั้นสูงที่ออกแบบมาเพื่อดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) โดยตรงจากบรรยากาศ ไม่ใช่แค่จากปล่องควันโรงงาน หากเปรียบเทียบให้เห็นภาพ โรงงานดักจับคาร์บอนทั่วไป (CCS) เปรียบเสมือนการเอาถุงไปครอบท่อไอเสียรถยนต์ แต่ DAC คือเครื่องฟอกอากาศขนาดยักษ์ที่ตั้งอยู่ที่ไหนก็ได้บนโลกเพื่อดูดซับ CO2 ที่กระจายตัวเจือจางอยู่ในอากาศ

ความท้าทายทางวิศวกรรมของ DAC คือความเข้มข้นของ CO2 ในอากาศทั่วไปนั้นมีเพียงประมาณ 0.04% เท่านั้น ซึ่งเบาบางกว่าในควันจากโรงงานถึง 300 เท่า การจะดักจับสิ่งที่มีอยู่น้อยนิดให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงต้องอาศัยกระบวนการทางเคมีที่แม่นยำและทรงพลัง ปัจจุบันเทคโนโลยี DAC แบ่งออกเป็น 2 ระบบหลักที่ขับเคี่ยวกันในตลาดโลก

1 ระบบตัวทำละลายของเหลว (Liquid Solvent DAC)

ระบบนี้เป็นเทคโนโลยีรุ่นบุกเบิกและใช้ในโรงงานขนาดใหญ่ หลักการทำงานคล้ายกับการฟอกอากาศในระดับอุตสาหกรรม

  • การดักจับ พัดลมขนาดยักษ์จะดูดอากาศผ่านหอคอยที่มีสารละลายสารเคมี (เช่น โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์) ไหลผ่าน สารละลายนี้จะทำปฏิกิริยาเคมีผูกติดกับ CO2 กลายเป็นเกลือคาร์บอเนตเหลว และปล่อยอากาศบริสุทธิ์กลับคืนสู่ธรรมชาติ
  • การแยก ของเหลวที่จับ CO2 ไว้แล้วจะถูกส่งเข้าสู่กระบวนการที่สอง โดยทำปฏิกิริยากับแคลเซียมไฮดรอกไซด์ จนเกิดเป็นเม็ดของแข็งแคลเซียมคาร์บอเนต
  • การเผา เม็ดของแข็งจะถูกนำไปเผาด้วยความร้อนสูงถึง 900 องศาเซลเซียส เพื่อปลดปล่อย CO2 บริสุทธิ์ออกมาสำหรับนำไปเก็บหรือใช้งาน ส่วนสารเคมีที่เหลือจะถูกนำกลับไปหมุนเวียนใช้ใหม่
  • จุดเด่น เหมาะสำหรับการดักจับในปริมาณมหาศาลระดับล้านตัน (Megaton scale)
  • ข้อสังเกต ใช้น้ำเปลืองมากเนื่องจากการระเหย และต้องการพลังงานความร้อนสูง

2 ระบบตัวดูดซับของแข็ง (Solid Sorbent DAC)

เทคโนโลยีนี้กำลังมาแรงและเป็นที่นิยมในหมู่สตาร์ทอัพรุ่นใหม่ เพราะมีความยืดหยุ่นสูงกว่า

  • การดักจับ อากาศจะถูกดูดผ่านแผ่นกรองที่มีลักษณะคล้ายรังผึ้ง ซึ่งเคลือบด้วยสารเคมีพิเศษที่มีคุณสมบัติ “เหนียว” ต่อ CO2 โดยเฉพาะ เมื่อลมพัดผ่าน CO2 จะติดอยู่บนผิววัสดุเหมือนแมลงติดใยแมงมุม
  • การแยก เมื่อแผ่นกรองอิ่มตัว ระบบจะปิดผนึกเป็นห้องสุญญากาศและใช้ความร้อนระดับปานกลาง (ประมาณ 80 ถึง 120 องศาเซลเซียส) เพื่อทำให้ CO2 หลุดออกมา
  • จุดเด่น ใช้พลังงานต่ำกว่า สามารถใช้ความร้อนทิ้งจากโรงงานหรือพลังงานความร้อนใต้พิภพได้ และที่สำคัญคือ “แทบไม่ใช้น้ำ” หรือในบางกรณีสามารถผลิตน้ำออกมาเป็นผลพลอยได้ด้วย
  • ข้อสังเกต ความทนทานของวัสดุกรองอาจมีอายุการใช้งานจำกัด และต้องเปลี่ยนบ่อยกว่าระบบของเหลว

ทำไมโลกต้องพึ่งพา Negative Emissions

หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมเราไม่มุ่งเน้นแค่การปลูกป่า คำตอบคือ “คณิตศาสตร์ของสภาพภูมิอากาศ” ไม่เข้าข้างเราอีกต่อไป การจะบรรลุเป้าหมาย Net Zero หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 นั้น เราจำเป็นต้องกำจัดคาร์บอนออกจากอากาศให้ได้ปีละ 10,000 ล้านตัน (10 Gigatons)

ภาคอุตสาหกรรมบางประเภทเรียกว่า “Hard-to-abate sectors” หรือกลุ่มที่ลดการปล่อยได้ยากมาก เช่น อุตสาหกรรมการบิน การเดินเรือขนส่งสินค้า และการผลิตเหล็กหรือปูนซีเมนต์ เทคโนโลยีปัจจุบันยังไม่สามารถทำให้เครื่องบินข้ามทวีปใช้แบตเตอรี่ไฟฟ้าได้ ดังนั้น Negative Emissions จึงเข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญในการ “หักลบ” มลพิษที่ภาคส่วนเหล่านี้ยังคงปล่อยออกมา เพื่อให้สมการสุทธิกลายเป็นศูนย์

นอกจากนี้ DAC ยังมีข้อได้เปรียบที่เหนือกว่าวิธีธรรมชาติในแง่ของ “ความถาวร” (Permanence) ต้นไม้อาจถูกไฟไหม้หรือตาย ซึ่งจะปล่อยคาร์บอนกลับคืนสู่บรรยากาศ แต่ CO2 ที่ดักจับด้วย DAC และนำไปอัดลงในชั้นหินลึกใต้ดิน (Geological Storage) จะกลายเป็นหินและถูกกักเก็บไว้ได้นานนับพันหรือล้านปี

ตารางเปรียบเทียบ DAC vs ป่าไม้ vs เทคโนโลยีอื่น

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนว่าทำไมเราถึงต้องลงทุนในเทคโนโลยีราคาแพงอย่าง DAC แทนที่จะปลูกต้นไม้เพียงอย่างเดียว ตารางด้านล่างนี้ได้รวบรวมข้อมูลเปรียบเทียบประสิทธิภาพของแต่ละวิธี

ปัจจัยเปรียบเทียบDirect Air Capture (DAC)การปลูกป่า (Afforestation)Bioenergy with CCS (BECCS)
พื้นที่ที่ใช้ (Land Use)น้อยมาก (ประมาณ 0.012 ล้านเฮกตาร์ ต่อการดักจับ 1 พันล้านตัน) โรงงาน DAC กินพื้นที่น้อยแต่ประสิทธิภาพสูงมหาศาล (ต้องใช้พื้นที่เทียบเท่าประเทศขนาดใหญ่ เช่น เม็กซิโก เพื่อดักจับปริมาณเท่ากัน) อาจกระทบพื้นที่เกษตรกรรมปานกลางถึงมาก ต้องใช้พื้นที่ปลูกพืชพลังงานจำนวนมาก
การใช้น้ำ (Water Usage)ระบบของแข็ง (Solid) ใช้น้อยมาก หรือผลิตน้ำได้
ระบบของเหลว (Liquid) ใช้มาก (5-6 ตันน้ำ ต่อ 1 ตันคาร์บอน)
มาก ขึ้นอยู่กับชนิดพันธุ์ไม้และสภาพอากาศ อาจแย่งน้ำจากชุมชนมากที่สุด ต้องใช้น้ำในการปลูกพืชและการแปรรูป
ความถาวร (Permanence)สูงมาก (1,000+ ปี) เมื่ออัดลงหินปูนหรือชั้นหินบะซอลต์จะกลายเป็นแร่ธาตุถาวรต่ำถึงปานกลาง (10-100 ปี) เสี่ยงต่อไฟป่า โรคระบาด และการตัดไม้ทำลายป่าสูง หากมีการกักเก็บคาร์บอนใต้ดินอย่างถูกต้อง
ต้นทุนปัจจุบัน (ต่อตัน CO2)สูง ($600 – $1,000) แต่มีแนวโน้มลดลงเหลือ $150 ในอนาคตต่ำ ($10 – $50) แต่ต้นทุนอาจสูงขึ้นเมื่อพื้นที่เริ่มขาดแคลน**ปานกลาง ($100 – $200)** รายได้เสริมจากการขายไฟฟ้าช่วยลดต้นทุนสุทธิได้
สถานที่ตั้ง (Location)อิสระ ตั้งที่ไหนก็ได้ที่มีพลังงานสะอาดและแหล่งเก็บ ใกล้ทะเลทรายหรือพื้นที่รกร้างจำกัด ต้องมีดินและสภาพอากาศที่เหมาะสมจำกัด ต้องอยู่ใกล้แหล่งปลูกพืชและโครงสร้างพื้นฐาน

*ข้อมูลในตารางนี้แสดงให้เห็นว่า DAC ไม่ได้มาแทนที่การปลูกป่า แต่มาเพื่อปิดจุดอ่อนเรื่องพื้นที่และความถาวร ซึ่งเป็นข้อจำกัดหลักของวิธีธรรมชาติ

อัปเดตโครงการยักษ์ใหญ่และผู้นำตลาดโลก (2024-2025)

ปี 2025 ถือเป็นปีทองของการก้าวกระโดดจาก “โรงงานทดลอง” สู่ “อุตสาหกรรมเต็มรูปแบบ” มีโครงการที่น่าจับตามองดังนี้

1 Project Stratos (สหรัฐอเมริกา)

นี่คือโปรเจกต์เรือธงที่ทั่วโลกจับตามอง ดำเนินการโดยบริษัท Occidental Petroleum (1PointFive) ร่วมกับเทคโนโลยีจาก Carbon Engineering โรงงานนี้ตั้งอยู่ในรัฐเท็กซัส และมีกำหนดเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในช่วงกลางปี 2025

  • ความพิเศษ Stratos จะเป็นโรงงาน DAC ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีกำลังการผลิตในการดักจับ CO2 สูงถึง 500,000 ตันต่อปี ซึ่งมากกว่าโรงงานที่ใหญ่ที่สุดก่อนหน้านี้ถึง 100 เท่า
  • กลยุทธ์ ใช้ระบบ Liquid Solvent ที่ผ่านการพิสูจน์แล้ว และขาย “Carbon Removal Credit” ให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Amazon และ ANA All Nippon Airways

2 โรงงาน Mammoth (ไอซ์แลนด์)

บริหารงานโดย Climeworks บริษัทสัญชาติสวิสที่เป็นผู้บุกเบิกวงการ เริ่มเปิดดำเนินการเฟสแรกไปแล้วในปี 2024

  • ความพิเศษ ใช้เทคโนโลยี Solid Sorbent ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และใช้พลังงานความร้อนใต้พิภพ (Geothermal) ของไอซ์แลนด์ในการเดินเครื่อง 100% ทำให้เป็นกระบวนการที่สะอาดหมดจด
  • การเก็บ ก๊าซ CO2 ที่ดักจับได้จะถูกผสมกับน้ำและอัดลงไปในชั้นหินบะซอลต์ใต้ดินด้วยเทคโนโลยีของบริษัท Carbfix ซึ่งจะทำปฏิกิริยากลายเป็นหินภายในเวลาไม่ถึง 2 ปี

3 Project Cypress (รัฐหลุยเซียนา สหรัฐฯ)

เป็นโครงการที่ได้รับเงินทุนสนับสนุนมหาศาลจากกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ (DOE) ภายใต้งบประมาณ Infrastructure Law

  • ความร่วมมือ เป็นการจับมือกันระหว่าง Climeworks (ระบบ Solid) และ Heirloom สตาร์ทอัพมาแรงที่ใช้เทคโนโลยี Carbon Mineralization หรือการใช้หินปูนมาเป็นตัวดูดซับคาร์บอน ซึ่งเป็นวิธีที่ต้นทุนต่ำและขยายขนาดได้ง่าย
  • สถานะ อยู่ในช่วงเริ่มก่อสร้างและคาดว่าจะกลายเป็นศูนย์กลาง (Hub) ของการดักจับคาร์บอนแห่งใหม่ของโลก

เศรษฐศาสตร์และนโยบาย แรงขับเคลื่อนสำคัญ

เทคโนโลยีจะดีแค่ไหนก็ไปไม่รอดถ้าขาดแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ ในปี 2024-2025 เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของนโยบายรัฐบาลในหลายประเทศ

กฎหมาย Inflation Reduction Act (IRA) ของสหรัฐฯ

สหรัฐอเมริกาได้แก้เกมเรื่องต้นทุนที่สูงลิ่วของ DAC ด้วยการปรับปรุงมาตรา 45Q Tax Credit โดยในปี 2025 รัฐบาลสหรัฐฯ ยินดีจ่ายเครดิตภาษีให้สูงถึง $180 ต่อตัน สำหรับ CO2 ที่ดักจับจากอากาศและนำไปฝังกลบอย่างถาวร นโยบายนี้เปรียบเสมือนการเติมเชื้อเพลิงให้ไฟแห่งการลงทุนลุกโชน ทำให้ภาคเอกชนกล้าที่จะทุ่มเงินสร้างโรงงาน DAC เพราะเห็นจุดคุ้มทุนที่ชัดเจนขึ้น

ตลาดคาร์บอนเครดิตคุณภาพสูง (High-Quality Carbon Credits)

ตลาดคาร์บอนกำลังแบ่งเกรดชัดเจนขึ้น คาร์บอนเครดิตแบบเก่าที่เกิดจากการ “หลีกเลี่ยงการปล่อย” (Avoidance) เริ่มมีความน่าเชื่อถือน้อยลง ในขณะที่เครดิตจากการ “กำจัดคาร์บอน” (Removal) อย่าง DAC กำลังเป็นที่ต้องการของบริษัทระดับโลก เช่น Microsoft, Stripe และ Shopify ซึ่งยอมจ่ายในราคาสูงเพื่อแลกกับเครดิตที่ตรวจสอบได้จริงและถาวร

ความเคลื่อนไหวในเอเชีย

ญี่ปุ่นกำลังใช้เวที Expo 2025 Osaka เพื่อโชว์ศักยภาพเทคโนโลยี DAC โดยรัฐบาลญี่ปุ่นตั้งเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี Green Innovation และเริ่มมีการร่างนโยบายสนับสนุนคล้ายกับสหรัฐฯ เพื่อดึงดูดการลงทุนเข้าสู่ประเทศ

ความท้าทายที่ยังรอการแก้ไข

แม้ภาพฝันจะดูสวยงาม แต่ความจริงยังมีอุปสรรคก้อนโตขวางอยู่

  1. ความต้องการพลังงาน (Energy Intensity) DAC ต้องใช้พลังงานมหาศาล โดยเฉพาะพลังงานความร้อน หากโรงงาน DAC ต้องใช้ไฟฟ้าจากถ่านหินเพื่อมาดักจับคาร์บอน ก็เท่ากับเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ดังนั้น DAC จะสมเหตุสมผลก็ต่อเมื่อใช้พลังงานสะอาด (Renewable Energy) หรือพลังงานนิวเคลียร์เท่านั้น ซึ่งในหลายพื้นที่ พลังงานสะอาดยังมีจำกัดและต้องแย่งกันใช้กับภาคส่วนอื่น
  2. ต้นทุนที่ยังสูงเกินเอื้อม เป้าหมายของวงการคือการกดราคาให้ต่ำกว่า $100 ต่อตัน เพื่อให้แข่งขันได้ แต่ปัจจุบันยังอยู่ที่ระดับ $600+ ซึ่งต้องอาศัยการผลิตซ้ำๆ (Learning by doing) และการขยายขนาด (Economy of Scale) เพื่อลดต้นทุน เหมือนกับที่แผงโซลาร์เซลล์เคยทำได้สำเร็จในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา
  3. โครงสร้างพื้นฐาน การดักจับได้แล้วไม่ใช่จุดจบ เราต้องการท่อส่งก๊าซ (Pipeline) และแหล่งกักเก็บใต้ดินที่ปลอดภัย ซึ่งต้องอาศัยการสำรวจทางธรณีวิทยาและการยอมรับจากชุมชนในพื้นที่ ไม่เช่นนั้น CO2 ที่จับมาได้ก็ไม่มีที่ไป

บทสรุป

Direct Air Capture ไม่ใช่ยาวิเศษที่จะมาแทนที่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เรายังจำเป็นต้องเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า เลิกใช้ถ่านหิน และประหยัดพลังงานเป็นอันดับแรก แต่ DAC คือ “ประกันชีวิต” กรมธรรม์สำคัญที่โลกต้องทำไว้ เพื่อจัดการกับมลพิษที่เราปล่อยเกินมาและไม่สามารถลดได้ด้วยวิธีปกติ

ในปี 2025 เรากำลังยืนอยู่บนรอยต่อของยุคสมัยที่มนุษย์ไม่ได้แค่เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับธรรมชาติ แต่กำลังใช้สติปัญญาและเทคโนโลยีเพื่อ “ซ่อมแซม” ธรรมชาติที่บุบสลาย การเติบโตของเทคโนโลยี Negative Emissions คือสัญญาณแห่งความหวังว่า แม้เราจะเคยทำลายโลกไปมากเพียงใด เราก็ยังมีหนทางและความมุ่งมั่นที่จะกอบกู้สมดุลคืนมา เพื่อส่งต่อโลกที่เย็นลงให้กับลูกหลานของเรา

โลก” มืดลงมากกว่าเดิม เนื่องจากสะท้อนแสงอาทิตย์กลับเข้าสู่อวกาศน้อยลงกว่าแต่ก่อน ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ทีมวิจัยนำโดยนอร์แมน โลบ จากศูนย์วิจัยแลงลีย์ของนาซาในเมืองแฮมป์ตัน รัฐเวอร์จิเนีย ทำการวิเคราะห์ข้อมูลจากดาวเทียม CERES เป็นเวลานานถึง 24 ปี ค้นพบว่า ในช่วงระหว่างปี 2001-2024 โลกของเรามืดลงกว่าเดิมอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และมืดไม่เท่ากันด้วย โดยซีกโลกเหนือกำลังมืดลงเร็วกว่าซีกโลกใต้

นักวิจัยพบการเคลื่อนตัวของซีกโลกประมาณ 0.34 วัตต์ต่อตารางเมตรในแต่ละทศวรรษ ฟังดูเล็กน้อย แต่การเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อยที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง สามารถเปลี่ยนแปลงฤดูกาลน้ำแข็งในทะเล หิมะปกคลุม ทุ่งเมฆ ลม และกระแสน้ำ ในลักษณะที่เสริมแรงการเคลื่อนตัวของดวงอาทิตย์

ในอดีต โลกทั้งสองซีกโลกไม่ได้สมดุลกันอย่างสมบูรณ์แบบ ทางใต้มีแนวโน้มที่จะได้รับพลังงานแสงอาทิตย์มากกว่าเล็กน้อย ขณะที่ทางเหนือมีแนวโน้มที่จะสูญเสียพลังงานแสงอาทิตย์มากกว่าเล็กน้อย

ตามปรกติแล้ว ชั้นบรรยากาศและมหาสมุทรจะพาความร้อนไปมาข้ามเส้นศูนย์สูตรและทำให้ความแตกต่างราบรื่นขึ้น แต่ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ระบบนี้ไม่สามารถรักษาความเร็วได้อย่างเต็มที่ ความเข้มของทางเหนือที่ลดลงทำให้ความสามารถของระบบในการชดเชยลดลง

ปัจจัยสำคัญประการหนึ่ง คือ โลกสะท้อนแสงได้ลดลง เนื่องจากส่วนพื้นผิวที่สว่าง เช่น น้ำแข็งทะเล หิมะ และยอดเมฆบางส่วน ที่ทำหน้าที่สะท้อนแสงอาทิตย์กลับสู่อวกาศมีน้อยลง ถูกแทนที่ด้วย มหาสมุทรที่มืดกว่าหรือพื้นดินที่โล่งเตียน และพลังงานที่มากขึ้นจะเกาะอยู่รอบ ๆ

แน่นอนว่า ซีกโลกเหนือมีปริมาณหิมะปกคลุมในฤดูใบไม้ผลิ และน้ำแข็งทะเลอาร์กติกในฤดูร้อนลดลงอย่างเห็นได้ชัด

การเปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีเข้มไม่เพียงแต่จะทำให้โลกดูดกลืนแสงได้มากขึ้นเท่านั้น แต่ยังทำให้น้ำแข็งและหิมะฟื้นตัวได้ยากขึ้นในฤดูกาลถัดไป 

ชั้นบรรยากาศเป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญเช่นกัน ไอน้ำและเมฆมีอิทธิพลต่อปริมาณแสงอาทิตย์ที่สะท้อนหรือกักเก็บ แต่สิ่งที่ชัดเจนที่สุดมาจากละอองลอย ซึ่งเป็นอนุภาคขนาดเล็กที่กระจายแสงและทำให้เกิดหยดน้ำในเมฆ

หมอกควันอันตรายกับสุขภาพ ที่เคยล่องลอยอยู่ในเมืองทางซีกโลกเหนือกลับหายไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากกฎระเบียบคุณภาพอากาศที่เข้มงวดขึ้นในอเมริกาเหนือ ยุโรป และบางส่วนของเอเชียตะวันออก แต่การที่อนุภาคน้อยลงจะทำให้ซีกโลกเหนือสะท้อนแสงน้อยลงเล็กน้อย

ในทางตรงกันข้าม ทางตอนใต้กลับมีปริมาณละอองลอยเพิ่มขึ้นเป็นระยะ ๆ จากเหตุการณ์ทางธรรมชาติ เช่น ไฟป่าและภูเขาไฟระเบิด ดังนั้นซีกโลกใต้จึงสามารถสะท้อนแสงได้ดีเหมือนเดิม

เมื่อน้ำแข็งในทะเลละลายและระดับละอองลอยเปลี่ยนแปลง ก็ทำให้เมฆก็เปลี่ยนไป ในปัจจุบันมีเมฆระดับต่ำน้อยลงมาก ยิ่งเกิดความแตกต่างในการสะท้อนแสงระหว่างซีกโลกเหนือและซีกโลกใต้มากขึ้น การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ก่อให้เกิดความไม่สมดุลในระบบพลังงานของโลก โดยซีกโลกเหนือดูดซับความร้อนมากกว่าที่สะท้อนออกมา

สรุปง่าย ๆ คือ โลกกำลังมืดลง โดยเฉพาะทางตอนเหนือ และจะค่อย ๆ มืดลงเรื่อย ๆ มาแบบเงียบ ๆ แบบไม่มีใครรู้ตัว  แต่ในแง่ของสภาพภูมิอากาศภัยเงียบเหล่านี้ก็อันตรายไม่แพ้กับภัยพิบัติอื่น ๆ 

การศึกษาชี้ให้เห็นว่าอาจจำเป็นต้องมีการปรับปรุงแบบจำลองสภาพภูมิอากาศเพื่ออธิบายความแตกต่างในการสะท้อนแสงระหว่างซีกโลกเหนือและซีกโลกใต้ ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น การทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของการสะท้อนแสงของโลกจะช่วยคาดการณ์รูปแบบสภาพอากาศในอนาคต และช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ประเมินผลกระทบของภาวะโลกร้อนได้แม่นยำยิ่งขึ้น


ที่มา: BBC Sky Night MagazineEarthThe Week
Source : กรุงเทพธุรกิจ