ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์ด้านพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไฮโดรเจนได้ก้าวขึ้นมาเป็นความหวังใหม่ของมนุษยชาติในฐานะพลังงานสะอาดแห่งอนาคต ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่น ทั้งให้พลังงานสูง ไม่ปล่อยมลพิษเมื่อเผาไหม้ และสามารถผลิตได้จากหลากหลายแหล่ง ไฮโดรเจนจึงได้รับการขนานนามว่าเป็น “เชื้อเพลิงแห่งอนาคต”
แต่น้อยคนนักที่จะทราบว่า ไฮโดรเจนไม่ได้มีเพียงประเภทเดียว หากแต่ถูกแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามแหล่งที่มาและกระบวนการผลิต โดยใช้สีเป็นสัญลักษณ์แทนคุณลักษณะที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ “สีเทา” ที่ยังพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล ไปจนถึง “สีเขียว” ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง
การทำความเข้าใจเกี่ยวกับไฮโดรเจนประเภทต่างๆ จึงเป็นกุญแจสำคัญในการมองเห็นภาพรวมของการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของโลก และเส้นทางสู่อนาคตที่ยั่งยืนมากขึ้น บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกถึง 7 ประเภทของไฮโดรเจนที่กำลังเปลี่ยนแปลงโลกพลังงาน พร้อมทั้งข้อดีข้อเสียและศักยภาพในการนำไปใช้งานจริง
Table of Contents
1.ไฮโดรเจนสีเขียว (Green Hydrogen)
ไฮโดรเจนสีเขียวเป็นพลังงานสะอาดที่กำลังได้รับความสนใจอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากศักยภาพในการเป็นแหล่งพลังงานที่ยั่งยืนและไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในขณะที่โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไฮโดรเจนสีเขียวจึงถูกมองว่าเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญที่จะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์และนำไปสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ด้วยคุณสมบัติที่สามารถนำไปใช้ได้หลากหลายทั้งในภาคการขนส่ง อุตสาหกรรม และการผลิตไฟฟ้า ไฮโดรเจนสีเขียวจึงมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบพลังงานที่สะอาดและยั่งยืนมากขึ้น
การผลิตไฮโดรเจนสีเขียว
ไฮโดรเจนสีเขียวผลิตผ่านกระบวนการอิเล็กโทรลิซิส (Electrolysis) ซึ่งเป็นการแยกน้ำ (H₂O) ออกเป็นไฮโดรเจน (H₂) และออกซิเจน (O₂) โดยใช้กระแสไฟฟ้าที่มาจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์หรือพลังงานลม กระบวนการนี้ทำให้ไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระหว่างการผลิต จึงเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง
ในระหว่างอิเล็กโทรลิซิส โมเลกุลของน้ำจะถูกแบ่งออกเป็นอะตอมของไฮโดรเจนและออกซิเจนเมื่อกระแสไฟฟ้าไหลผ่านน้ำ1 อุปกรณ์ที่ใช้ในกระบวนการนี้เรียกว่า Electrolyzer ซึ่งปัจจุบันมีจำหน่ายในท้องตลาดแล้ว แต่ยังต้องการการพัฒนาเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ
ล่าสุด นักวิจัยได้นำระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาช่วยค้นหาวิธีการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในการพัฒนากระบวนการผลิต ซึ่งสามารถลดต้นทุนการผลิตได้ถึง 20% และเพิ่มประสิทธิภาพของการใช้พลังงานได้ถึง 15%
ข้อดีของไฮโดรเจนสีเขียว
- เป็นพลังงานสะอาด 100% – ไม่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งในกระบวนการผลิตและการใช้งาน เมื่อเผาไหม้จะได้เพียงน้ำเป็นผลพลอยได้
- เป็นแหล่งจัดเก็บพลังงานที่ยั่งยืน – สามารถจัดเก็บและนำไปใช้ได้เมื่อไม่มีแหล่งพลังงานหมุนเวียน ช่วยรักษาเสถียรภาพและความสมดุลของโครงข่ายไฟฟ้า
- ความหลากหลายในการใช้งาน – สามารถนำไปใช้ได้ในหลายภาคส่วน ทั้งการขนส่ง อุตสาหกรรม การผลิตไฟฟ้า และเป็นวัตถุดิบในกระบวนการทางเคมี
- ประสิทธิภาพเทียบเท่าน้ำมันเชื้อเพลิง – ให้พลังงานสูงและประหยัดกว่าน้ำมัน 40-60%
- กระตุ้นเศรษฐกิจ – สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจและโอกาสงานใหม่ในภาคพลังงานหมุนเวียน ขับเคลื่อนนวัตกรรมและดึงดูดการลงทุน
ข้อเสียของไฮโดรเจนสีเขียว
- ต้นทุนการผลิตสูง – ปัจจุบันมีต้นทุนการผลิตสูงกว่า 6-7 เหรียญสหรัฐ/กิโลไฮโดรเจน ซึ่งสูงกว่าราคานำเข้า
- ข้อจำกัดด้านโครงสร้างพื้นฐาน – ยังต้องการการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการผลิต จัดเก็บ และขนส่งในวงกว้าง
- สัดส่วนการผลิตน้อย – ปัจจุบันมีสัดส่วนเพียง 1% ของไฮโดรเจนทั้งหมดที่ผลิตได้ทั่วโลก9
- ขึ้นอยู่กับแหล่งพลังงานหมุนเวียน – ประสิทธิภาพการผลิตขึ้นอยู่กับความเข้มของแสงแดดหรือความเร็วลม ซึ่งแต่ละพื้นที่มีศักยภาพไม่เท่ากัน
- ต้องการการพัฒนาเทคโนโลยี – อิเล็กโทรลิซิสสำหรับการผลิตไฮโดรเจนสีเขียวยังจำเป็นต้องขยายขนาดและลดต้นทุนอย่างมีนัยสำคัญในอนาคต
2.ไฮโดรเจนสีเหลือง (Yellow Hydrogen)
ไฮโดรเจนสีเหลืองเป็นทางเลือกที่น่าสนใจในการผลิตพลังงานสะอาด โดยเป็นการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนและเชื้อเพลิงฟอสซิล ทำให้มีความยืดหยุ่นในการผลิตมากกว่าไฮโดรเจนสีเขียว ในขณะที่ยังคงมีการปล่อยคาร์บอนน้อยกว่าไฮโดรเจนสีเทาหรือสีน้ำตาล ไฮโดรเจนสีเหลืองจึงถูกมองว่าเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดอย่างเต็มรูปแบบ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีข้อจำกัดด้านแหล่งพลังงานหมุนเวียน
การผลิตไฮโดรเจนสีเหลือง
ไฮโดรเจนสีเหลืองผลิตจากพลังงานไฟฟ้าที่มาจากทั้งเชื้อเพลิงฟอสซิลและพลังงานทดแทน ร่วมกับกระบวนการอิเล็กโทรลิซิส (Electrolysis) กระบวนการนี้ใช้พลังงานไฟฟ้าในการแยกไฮโดรเจนออกจากน้ำ โดยความแตกต่างระหว่างไฮโดรเจนสีเหลืองกับไฮโดรเจนสีเขียวอยู่ที่พลังงานที่นำมาใช้ผลิตจะมีส่วนของเชื้อเพลิงฟอสซิลเข้ามาร่วมด้วย
บางแหล่งข้อมูลระบุว่าไฮโดรเจนสีเหลืองอาจหมายถึงไฮโดรเจนที่ผลิตจากกระบวนการแยกไฮโดรเจนจากน้ำด้วยพลังงานไฟฟ้าที่ได้มาจากแหล่งพลังงานหลากหลาย (mixed sources) หรืออาจเจาะจงว่าเป็นไฮโดรเจนที่พึ่งพาพลังงานแสงอาทิตย์โดยเฉพาะ
กระบวนการผลิตไฮโดรเจนสีเหลืองจึงเป็นทางเลือกที่ยืดหยุ่นกว่า เนื่องจากไม่จำเป็นต้องพึ่งพาแหล่งพลังงานหมุนเวียนเพียงอย่างเดียว ทำให้สามารถผลิตได้อย่างต่อเนื่องแม้ในช่วงที่แหล่งพลังงานหมุนเวียนไม่เสถียร
ข้อดีของไฮโดรเจนสีเหลือง
- ความยืดหยุ่นในการผลิต – สามารถผลิตได้โดยใช้แหล่งพลังงานผสมผสาน ทำให้มีความเสถียรในการผลิตมากกว่าการพึ่งพาพลังงานหมุนเวียนเพียงอย่างเดียว
- ต้นทุนต่ำกว่าไฮโดรเจนสีเขียว – เนื่องจากใช้พลังงานผสมผสานทำให้มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าการใช้พลังงานหมุนเวียนล้วน
- เป็นทางเลือกในช่วงเปลี่ยนผ่าน – เหมาะสำหรับเป็นทางเลือกในช่วงเปลี่ยนผ่านจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลไปสู่พลังงานสะอาด
- ลดการปล่อยคาร์บอนบางส่วน – แม้จะมีการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลร่วมด้วย แต่ก็ยังช่วยลดการปล่อยคาร์บอนเมื่อเทียบกับไฮโดรเจนสีเทาหรือสีน้ำตาล
- เหมาะกับพื้นที่ที่มีข้อจำกัดด้านพลังงานหมุนเวียน – สามารถผลิตได้ในพื้นที่ที่มีศักยภาพด้านพลังงานหมุนเวียนไม่สูงมาก
ข้อเสียของไฮโดรเจนสีเหลือง
- ยังคงมีการปล่อยคาร์บอน – เนื่องจากยังมีการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในกระบวนการผลิต จึงยังคงมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกบางส่วน
- ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเท่าไฮโดรเจนสีเขียว – ยังไม่ถือว่าเป็นพลังงานสะอาด 100% เหมือนไฮโดรเจนสีเขียว
- ต้นทุนการผลิตยังสูง – แม้จะต่ำกว่าไฮโดรเจนสีเขียว แต่ก็ยังสูงกว่าไฮโดรเจนสีเทาที่ผลิตจากเชื้อเพลิงฟอสซิลล้วน
- ขาดมาตรฐานที่ชัดเจน – ยังไม่มีการกำหนดสัดส่วนที่ชัดเจนระหว่างพลังงานหมุนเวียนและเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ใช้ในการผลิต
- ความท้าทายในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน – ต้องการการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการผลิต จัดเก็บ และขนส่ง เช่นเดียวกับไฮโดรเจนประเภทอื่น
3.ไฮโดรเจนสีชมพู (Pink Hydrogen)
ไฮโดรเจนสีชมพูเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับการผลิตพลังงานสะอาดโดยใช้พลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานที่มีความเสถียรและสามารถผลิตไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขั้นตอนการผลิตไฟฟ้า ไฮโดรเจนสีชมพูจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับประเทศที่มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์อยู่แล้ว และต้องการลดการปล่อยคาร์บอนในภาคพลังงาน ในขณะที่ยังสามารถผลิตไฮโดรเจนได้อย่างต่อเนื่องไม่ขึ้นกับสภาพอากาศเหมือนพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ
การผลิตไฮโดรเจนสีชมพู
ไฮโดรเจนสีชมพูผลิตโดยใช้พลังงานไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มาขับเคลื่อนกระบวนการอิเล็กโทรลิซิส (Electrolysis) เพื่อแยกน้ำเป็นไฮโดรเจนและออกซิเจน กระบวนการนี้ไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในขั้นตอนการผลิตไฮโดรเจน ทำให้เป็นทางเลือกที่มีคาร์บอนต่ำ
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ผลิตไฟฟ้าโดยใช้ความร้อนจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิชชัน (nuclear fission) ซึ่งเกิดจากการแยกอะตอมของยูเรเนียมหรือพลูโตเนียม ความร้อนที่เกิดขึ้นจะถูกใช้ในการต้มน้ำให้กลายเป็นไอน้ำแรงดันสูง ซึ่งจะไปหมุนกังหันเพื่อผลิตไฟฟ้า
ข้อดีของการใช้พลังงานนิวเคลียร์คือสามารถผลิตไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง ไม่ขึ้นกับสภาพอากาศหรือเวลากลางวัน-กลางคืน ทำให้สามารถผลิตไฮโดรเจนได้อย่างสม่ำเสมอ
ข้อดีของไฮโดรเจนสีชมพู
- ไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขั้นตอนการผลิต – กระบวนการผลิตไฮโดรเจนสีชมพูไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ช่วยลดผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
- ความเสถียรในการผลิต – สามารถผลิตได้อย่างต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง ไม่ขึ้นกับสภาพอากาศหรือช่วงเวลากลางวัน-กลางคืน
- ประสิทธิภาพสูง – โรงไฟฟ้านิวเคลียร์มีประสิทธิภาพสูงในการผลิตไฟฟ้าปริมาณมาก ทำให้สามารถผลิตไฮโดรเจนได้ในปริมาณมากเช่นกัน
- ใช้พื้นที่น้อย – เมื่อเทียบกับพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์หรือลม โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ใช้พื้นที่น้อยกว่ามากในการผลิตไฟฟ้าปริมาณเท่ากัน
- เป็นทางเลือกสำหรับประเทศที่มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์อยู่แล้ว – สามารถใช้โครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่แล้วให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ข้อเสียของไฮโดรเจนสีชมพู
- ความกังวลด้านความปลอดภัย – โรงไฟฟ้านิวเคลียร์มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและอาจเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงได้ เช่น กรณีเชอร์โนบิลและฟูกูชิมา
- การจัดการกากนิวเคลียร์ – กระบวนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์ก่อให้เกิดกากนิวเคลียร์ที่มีรังสีและต้องใช้เวลานานในการสลายตัว
- ต้นทุนสูง – การก่อสร้างและบำรุงรักษาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มีต้นทุนสูง รวมถึงมาตรการความปลอดภัยที่เข้มงวด
- การยอมรับจากสังคม – พลังงานนิวเคลียร์ยังคงเป็นประเด็นที่มีการถกเถียงและไม่ได้รับการยอมรับจากสังคมในหลายประเทศ
- ข้อจำกัดด้านเทคโนโลยี – ไม่ใช่ทุกประเทศที่มีความพร้อมด้านเทคโนโลยีและบุคลากรในการพัฒนาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
4.ไฮโดรเจนสีฟ้า (Blue Hydrogen)
ไฮโดรเจนสีฟ้าเป็นทางเลือกที่น่าสนใจในการลดการปล่อยคาร์บอนจากการผลิตไฮโดรเจนโดยใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ด้วยการนำเทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage – CCS) มาใช้ ทำให้สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 85-95% เมื่อเทียบกับไฮโดรเจนสีเทา ไฮโดรเจนสีฟ้าจึงเป็นตัวเลือกที่สำคัญในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด โดยเฉพาะในประเทศที่มีแหล่งก๊าซธรรมชาติจำนวนมากและมีความพร้อมด้านเทคโนโลยี CCS
การผลิตไฮโดรเจนสีฟ้า
ไฮโดรเจนสีฟ้าผลิตจากก๊าซธรรมชาติหรือถ่านหินผ่านกระบวนการ Steam Methane Reforming (SMR) หรือ Auto Thermal Reforming (ATR) ที่อุณหภูมิสูงประมาณ 800-1,000 องศาเซลเซียส โดยในกระบวนการนี้ ก๊าซธรรมชาติ (CH₄) จะทำปฏิกิริยากับไอน้ำ (H₂O) ภายใต้ความร้อนและความดันสูง เกิดเป็นไฮโดรเจน (H₂) และคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂)
สิ่งที่ทำให้ไฮโดรเจนสีฟ้าแตกต่างจากไฮโดรเจนสีเทาคือการนำเทคโนโลยี CCS มาใช้ในการดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิต แล้วนำไปกักเก็บใต้ดินหรือใต้ทะเลลึก ทำให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศได้มากกว่า 85-95%
ปัจจุบันมีโครงการผลิตไฮโดรเจนสีฟ้าขนาดใหญ่ในหลายประเทศ เช่น โครงการ H2H Saltend ในสหราชอาณาจักร และโครงการ H-Vision ในเนเธอร์แลนด์
ข้อดีของไฮโดรเจนสีฟ้า
- ลดการปล่อยคาร์บอนได้มาก – สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 85-95% เมื่อเทียบกับไฮโดรเจนสีเทา
- ต้นทุนต่ำกว่าไฮโดรเจนสีเขียว – ในปัจจุบัน ไฮโดรเจนสีฟ้ามีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าไฮโดรเจนสีเขียวประมาณ 50%
- ใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่แล้ว – สามารถใช้โครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีการผลิตที่มีอยู่แล้วในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี
- เป็นทางเลือกในช่วงเปลี่ยนผ่าน – เหมาะสำหรับเป็นทางเลือกในช่วงเปลี่ยนผ่านจากเชื้อเพลิงฟอสซิลไปสู่พลังงานสะอาด
- สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมก๊าซธรรมชาติ – ช่วยให้อุตสาหกรรมก๊าซธรรมชาติสามารถปรับตัวสู่อนาคตที่มีคาร์บอนต่ำ
ข้อเสียของไฮโดรเจนสีฟ้า
- ยังคงพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล – ยังคงต้องใช้ก๊าซธรรมชาติหรือถ่านหินในกระบวนการผลิต ซึ่งเป็นทรัพยากรที่มีจำกัด
- ไม่สามารถดักจับคาร์บอนได้ 100% – เทคโนโลยี CCS ในปัจจุบันยังไม่สามารถดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ทั้งหมด
- ความท้าทายในการกักเก็บคาร์บอน – การหาพื้นที่ที่เหมาะสมและปลอดภัยสำหรับการกักเก็บคาร์บอนระยะยาวยังเป็นความท้าทาย
- ต้นทุนเทคโนโลยี CCS สูง – การติดตั้งและดำเนินการระบบดักจับและกักเก็บคาร์บอนมีต้นทุนสูง ทำให้ราคาไฮโดรเจนสีฟ้าสูงกว่าไฮโดรเจนสีเทา
- การรั่วไหลของมีเทน – ในกระบวนการผลิตและขนส่งก๊าซธรรมชาติอาจมีการรั่วไหลของก๊าซมีเทน ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่มีผลกระทบต่อโลกร้อนมากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 25-86 เท่า
5.ไฮโดรเจนสีเทา (Grey Hydrogen)
ไฮโดรเจนสีเทาเป็นประเภทที่มีการผลิตมากที่สุดในปัจจุบัน คิดเป็นประมาณ 95% ของไฮโดรเจนทั้งหมดที่ผลิตได้ทั่วโลก เนื่องจากมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำและใช้เทคโนโลยีที่พัฒนามายาวนาน อย่างไรก็ตาม ไฮโดรเจนสีเทามีข้อเสียสำคัญคือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณมาก ทำให้ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในยุคที่ทั่วโลกกำลังมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ไฮโดรเจนสีเทาจึงถูกมองว่าเป็นเทคโนโลยีที่กำลังถูกแทนที่ด้วยทางเลือกที่สะอาดกว่า
การผลิตไฮโดรเจนสีเทา
ไฮโดรเจนสีเทาผลิตจากเชื้อเพลิงฟอสซิล โดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติ ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า Steam Methane Reforming (SMR) ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้กันอย่างแพร่หลายที่สุดในอุตสาหกรรม ในกระบวนการนี้ ก๊าซมีเทน (CH₄) จะทำปฏิกิริยากับไอน้ำ (H₂O) ที่อุณหภูมิสูงประมาณ 700-1,000 องศาเซลเซียส และความดันสูง โดยมีตัวเร่งปฏิกิริยาเป็นนิกเกิล
ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นคือ:
CH₄ + H₂O (ไอน้ำ) → CO + 3H₂ (ไฮโดรเจน)
CO + H₂O → CO₂ + H₂
จากปฏิกิริยานี้ จะได้ไฮโดรเจนเป็นผลิตภัณฑ์หลัก และคาร์บอนไดออกไซด์เป็นผลพลอยได้ โดยในกระบวนการผลิตไฮโดรเจน 1 ตัน จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 9-12 ตัน ซึ่งถูกปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศโดยตรง ต่างจากไฮโดรเจนสีฟ้าที่มีการดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์
ข้อดีของไฮโดรเจนสีเทา
- ต้นทุนการผลิตต่ำ – มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าไฮโดรเจนประเภทอื่นๆ ประมาณ 1-2 เหรียญสหรัฐ/กิโลกรัม
- เทคโนโลยีที่พัฒนาแล้ว – ใช้เทคโนโลยีที่มีการพัฒนาและใช้งานมานานกว่า 50 ปี มีความเสถียรและเชื่อถือได้
- โครงสร้างพื้นฐานพร้อม – มีโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการผลิต จัดเก็บ และขนส่งที่พัฒนาแล้ว
- ผลิตได้ในปริมาณมาก – สามารถผลิตได้ในปริมาณมากเพื่อตอบสนองความต้องการในอุตสาหกรรมต่างๆ
- ไม่ขึ้นกับสภาพอากาศ – สามารถผลิตได้อย่างต่อเนื่องไม่ว่าสภาพอากาศจะเป็นอย่างไร ต่างจากไฮโดรเจนสีเขียวที่ต้องพึ่งพาพลังงานหมุนเวียน
ข้อเสียของไฮโดรเจนสีเทา
- ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง – ในการผลิตไฮโดรเจน 1 ตัน จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 9-12 ตัน
- ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม – ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและไม่สอดคล้องกับเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
- พึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล – ต้องใช้ก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นทรัพยากรที่มีจำกัดและราคาผันผวน
- ไม่ได้รับการสนับสนุนในอนาคต – หลายประเทศมีนโยบายลดการสนับสนุนเชื้อเพลิงฟอสซิลและหันไปสนับสนุนพลังงานสะอาดมากขึ้น
- ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ – อาจเผชิญกับภาษีคาร์บอนหรือข้อจำกัดด้านการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอนาคต
6.ไฮโดรเจนสีฟ้าน้ำทะเล (Turquoise Hydrogen)
ไฮโดรเจนสีฟ้าน้ำทะเลเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่กำลังได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นทางเลือกที่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บคาร์บอนที่ซับซ้อนและมีต้นทุนสูง ไฮโดรเจนสีฟ้าน้ำทะเลจึงถูกมองว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจไฮโดรเจน โดยเฉพาะในประเทศที่มีแหล่งก๊าซธรรมชาติจำนวนมาก
การผลิตไฮโดรเจนสีฟ้าน้ำทะเล
ไฮโดรเจนสีฟ้าน้ำทะเลผลิตโดยใช้กระบวนการ Methane Pyrolysis หรือการแยกสลายมีเทนด้วยความร้อน (Thermal Decomposition) ซึ่งเป็นการแยกก๊าซมีเทน (CH₄) ออกเป็นไฮโดรเจน (H₂) และคาร์บอนในรูปของแข็ง (Carbon Black) โดยไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นคือ:
CH₄ → C (ของแข็ง) + 2H₂
กระบวนการนี้ต้องใช้พลังงานความร้อนสูงประมาณ 650-1,200 องศาเซลเซียส และอาจใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาเพื่อลดอุณหภูมิที่ต้องใช้ เทคโนโลยีนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาและยังไม่มีการใช้งานในเชิงพาณิชย์อย่างแพร่หลาย
ข้อดีของกระบวนการนี้คือไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์โดยตรง และคาร์บอนที่ได้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การผลิตยางรถยนต์ แบตเตอรี่ หรือวัสดุก่อสร้าง
ข้อดีของไฮโดรเจนสีฟ้าน้ำทะเล
- ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก – ไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์โดยตรงในกระบวนการผลิต
- ได้ผลิตภัณฑ์พลอยได้ที่มีมูลค่า – คาร์บอนที่ได้จากกระบวนการสามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ สร้างมูลค่าเพิ่ม
- ไม่ต้องใช้เทคโนโลยี CCS – ไม่จำเป็นต้องลงทุนในระบบดักจับและกักเก็บคาร์บอนที่มีต้นทุนสูง
- ใช้โครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ – สามารถใช้โครงสร้างพื้นฐานด้านก๊าซธรรมชาติที่มีอยู่แล้ว
- ต้นทุนต่ำกว่าไฮโดรเจนสีเขียว – มีศักยภาพที่จะมีต้นทุนต่ำกว่าไฮโดรเจนสีเขียวในอนาคต
ข้อเสียของไฮโดรเจนสีฟ้าน้ำทะเล
- เทคโนโลยียังอยู่ในขั้นพัฒนา – ยังไม่มีการใช้งานในเชิงพาณิชย์อย่างแพร่หลาย และต้องการการวิจัยและพัฒนาเพิ่มเติม
- ใช้พลังงานสูง – กระบวนการ Pyrolysis ต้องใช้พลังงานความร้อนสูง ซึ่งหากใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลก็จะยังคงมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อม
- ความท้าทายในการจัดการคาร์บอน – ต้องมีตลาดรองรับคาร์บอนที่ผลิตได้ในปริมาณมาก
- ต้นทุนการลงทุนเริ่มต้นสูง – การสร้างโรงงานผลิตไฮโดรเจนสีฟ้าน้ำทะเลต้องใช้เงินลงทุนสูงในช่วงเริ่มต้น เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีใหม่
- ข้อจำกัดด้านการขยายขนาด – ยังมีความท้าทายในการขยายขนาดการผลิตให้ใหญ่พอที่จะตอบสนองความต้องการในระดับอุตสาหกรรม
7.ไฮโดรเจนสีดำและน้ำตาล (Black and Brown Hydrogen)
ไฮโดรเจนสีดำและน้ำตาลเป็นประเภทที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงที่สุดในบรรดาไฮโดรเจนทั้งหมด เนื่องจากผลิตจากถ่านหินซึ่งเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิลที่มีคาร์บอนสูง ไฮโดรเจนประเภทนี้มีการใช้งานมานานในอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในประเทศที่มีแหล่งถ่านหินจำนวนมาก เช่น จีน อินเดีย และออสเตรเลีย อย่างไรก็ตาม ด้วยผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่รุนแรง ทำให้ไฮโดรเจนสีดำและน้ำตาลกำลังถูกลดบทบาทลงในยุคที่ทั่วโลกมุ่งสู่พลังงานสะอาด
การผลิตไฮโดรเจนสีดำและน้ำตาล
ไฮโดรเจนสีดำผลิตจากถ่านหินบิทูมินัส (ถ่านหินสีดำ) ในขณะที่ไฮโดรเจนสีน้ำตาลผลิตจากลิกไนต์ (ถ่านหินสีน้ำตาล) ซึ่งมีคุณภาพต่ำกว่า กระบวนการผลิตที่ใช้คือการแปรรูปถ่านหินด้วยไอน้ำ (Coal Gasification) โดยนำถ่านหินมาทำปฏิกิริยากับไอน้ำและออกซิเจนภายใต้ความดันและอุณหภูมิสูง (800-1,800 องศาเซลเซียส)
ในกระบวนการนี้ ถ่านหินจะถูกเปลี่ยนเป็นก๊าซสังเคราะห์ (Syngas) ซึ่งประกอบด้วยไฮโดรเจน คาร์บอนมอนอกไซด์ และคาร์บอนไดออกไซด์ จากนั้นจะผ่านกระบวนการ Water-Gas Shift Reaction เพื่อเพิ่มปริมาณไฮโดรเจนและแยกก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออก
ในการผลิตไฮโดรเจน 1 ตัน จากถ่านหินจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 18-20 ตัน ซึ่งสูงกว่าการผลิตจากก๊าซธรรมชาติถึง 2 เท่า
ข้อดีของไฮโดรเจนสีดำและน้ำตาล
- ต้นทุนวัตถุดิบต่ำ – ถ่านหินมีราคาถูกกว่าก๊าซธรรมชาติในหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่มีแหล่งถ่านหินจำนวนมาก
- เทคโนโลยีที่พัฒนาแล้ว – เทคโนโลยีการแปรรูปถ่านหินมีการพัฒนาและใช้งานมานาน มีความเสถียรและเชื่อถือได้
- ความมั่นคงด้านพลังงาน – ประเทศที่มีแหล่งถ่านหินสามารถพึ่งพาทรัพยากรภายในประเทศได้ ลดการนำเข้าพลังงาน
- ผลิตได้ในปริมาณมาก – สามารถผลิตไฮโดรเจนได้ในปริมาณมากเพื่อตอบสนองความต้องการในอุตสาหกรรมหนัก
- ไม่ขึ้นกับสภาพอากาศ – สามารถผลิตได้อย่างต่อเนื่องไม่ว่าสภาพอากาศจะเป็นอย่างไร
ข้อเสียของไฮโดรเจนสีดำและน้ำตาล
- ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงมาก – มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงที่สุดในบรรดาไฮโดรเจนทุกประเภท
- มลพิษทางอากาศ – การเผาไหม้ถ่านหินก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ เช่น ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ไนโตรเจนออกไซด์ และฝุ่นละออง
- ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการทำเหมือง – การทำเหมืองถ่านหินส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ คุณภาพน้ำ และการใช้ที่ดิน
- ไม่สอดคล้องกับเป้าหมายการลดคาร์บอน – ขัดแย้งกับเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและข้อตกลงปารีส
- แนวโน้มการเลิกใช้ถ่านหิน – หลายประเทศมีนโยบายลดและเลิกใช้ถ่านหินในอนาคต ทำให้ไฮโดรเจนประเภทนี้มีแนวโน้มลดลง
สรุปเปรียบเทียบไฮโดรเจนทั้ง 7 ประเภท
ประเภท | แหล่งพลังงาน | กระบวนการผลิต | การปล่อยคาร์บอน | ต้นทุนโดยประมาณ | ข้อดีหลัก | ข้อเสียหลัก |
---|---|---|---|---|---|---|
ไฮโดรเจนสีเขียว | พลังงานหมุนเวียน (ลม, แสงอาทิตย์) | อิเล็กโทรลิซิส | ไม่มี (0 CO₂) | 5-6 USD/kg | – เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 100% – ยั่งยืนในระยะยาว | – ต้นทุนสูง – ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ |
ไฮโดรเจนสีเหลือง | พลังงานผสมผสาน (หมุนเวียนและฟอสซิล) | อิเล็กโทรลิซิส | ปานกลาง | 3-5 USD/kg | – มีความยืดหยุ่นในการผลิต – เสถียรกว่าสีเขียว | – ยังมีการปล่อยคาร์บอน – ขาดมาตรฐานที่ชัดเจน |
ไฮโดรเจนสีชมพู | พลังงานนิวเคลียร์ | อิเล็กโทรลิซิส | ต่ำมาก | 3-5 USD/kg | – ผลิตได้ต่อเนื่อง 24 ชม. – ไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก | – ความกังวลด้านความปลอดภัย – การจัดการกากนิวเคลียร์ |
ไฮโดรเจนสีฟ้า | ก๊าซธรรมชาติ | Steam Methane Reforming + CCS | ต่ำ (ลดลง 85-95%) | 2-3 USD/kg | – ต้นทุนต่ำกว่าสีเขียว – ใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่แล้ว | – ยังพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล – ดักจับคาร์บอนไม่ได้ 100% |
ไฮโดรเจนสีเทา | ก๊าซธรรมชาติ | Steam Methane Reforming | สูง (9-12 ตัน CO₂/ตัน H₂) | 1-2 USD/kg | – ต้นทุนต่ำที่สุด – เทคโนโลยีพัฒนาแล้ว | – ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง – ไม่สอดคล้องกับเป้าหมายลดคาร์บอน |
ไฮโดรเจนสีฟ้าน้ำทะเล | ก๊าซธรรมชาติ | Methane Pyrolysis | ต่ำมาก (ได้คาร์บอนเป็นของแข็ง) | 2-3 USD/kg | – ไม่ปล่อย CO₂ โดยตรง – ได้ผลิตภัณฑ์พลอยได้มีมูลค่า | – เทคโนโลยียังอยู่ในขั้นพัฒนา – ใช้พลังงานสูง |
ไฮโดรเจนสีดำ/น้ำตาล | ถ่านหินสีดำ/ลิกไนต์ | Coal Gasification | สูงมาก (18-20 ตัน CO₂/ตัน H₂) | 1.5-2.5 USD/kg | – ต้นทุนวัตถุดิบต่ำ – เหมาะกับประเทศที่มีถ่านหินมาก | – ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงที่สุด – มลพิษทางอากาศสูง |
บทสรุป
ไฮโดรเจนทั้ง 7 ประเภทแสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการของเทคโนโลยีพลังงานที่กำลังเปลี่ยนผ่านจากเชื้อเพลิงฟอสซิลสู่พลังงานสะอาด โดยไฮโดรเจนสีเขียวถือเป็นเป้าหมายสูงสุดด้วยการไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก แม้จะมีต้นทุนสูงในปัจจุบัน ขณะที่ไฮโดรเจนสีฟ้าและสีฟ้าน้ำทะเลเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในช่วงเปลี่ยนผ่าน ด้วยการลดการปล่อยคาร์บอนได้มากกว่าไฮโดรเจนสีเทา สีดำและสีน้ำตาล การพัฒนาเทคโนโลยีและการลดต้นทุนจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ไฮโดรเจนสีเขียวกลายเป็นพลังงานหลักในอนาคต ซึ่งจะช่วยให้โลกบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนและการพัฒนาที่ยั่งยืน
ท้ายที่สุด การเลือกใช้ไฮโดรเจนประเภทใดขึ้นอยู่กับบริบทของแต่ละประเทศ ทั้งด้านทรัพยากรธรรมชาติ โครงสร้างพื้นฐาน นโยบายพลังงาน และเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งการผสมผสานเทคโนโลยีที่หลากหลายอาจเป็นแนวทางที่เหมาะสมที่สุดในการเปลี่ยนผ่านสู่อนาคตพลังงานที่ยั่งยืน
Photo : freepik