มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ตอกย้ำการเป็นต้นแบบสังคมใส่ใจช่วยลดโลกร้อนด้วยการจัดงานเกษตรแฟร์ ปี 2566 แบบซีโร่คาร์บอน (คาร์บอนนิวทรัล) Carbon-neutral KASET FAIR 2023 ตั้งแต่ 3-11 ก.พ.นี้

ดร.ดำรงค์ ศรีพระราม รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร และประธานคณะกรรมการดำเนินงานจัดงานเกษตรแฟร์ ประจำปี 2566 กล่าวว่า การจัดงานเกษตรแฟร์ ในปีนี้ ได้รับนโยบายจาก ดร. จงรัก วัชรินทร์รัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้จัดงานเต็มรูปแบบยิ่งใหญ่ สมความเป็นเกษตรศาสตร์ศาสตร์แห่งแผ่นดินและขยายสู่ความเป็นเกษตรแฟร์ระดับนานาชาติ เนื่องในโอกาสครบรอบ 80 ปี แห่งการสถาปนามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ภายใต้ธีมงาน “80 ปี เกษตรนนทรี นำวิถีใหม่ ไทยยั่งยืน” กำหนดจัดวันที่ 3 -11 กุมภาพันธ์ 2566 ตั้งแต่เวลา 10.00 – 22.00 น. ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน

สิ่งสำคัญประการหนึ่งของการจัดงาน คือการใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์พร้อมขับเคลื่อนประเทศตามยุทธศาสตร์ของชาติ เพื่อเป็นการตอกย้ำการเป็นมหาวิทยาลัยต้นแบบสังคมใส่ใจช่วยลดโลกร้อน และการเป็นมหาวิทยาลัยสีเขียวอันดับ 1 ของประเทศไทยสองปีซ้อน อันดับ 40 ของโลก และ อันดับที่ 5 ของเอเชีย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จึงได้มอบหมายให้คณะสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ ดำเนินการจัดการประเมินปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จากกิจกรรมการจัดงานเกษตรแฟร์ จากการจัดงานของส่วนกลาง เช่น การประกวดผลไม้ การประกวดแพะและแกะ การแสดงผลงานวิจัยด้านนวัตกรรม การออกร้านของสถานเอกอัครราชทูต การแสดงนิทรรศการวิชาการ เป็นต้น ตลอดจนการออกร้านค้าของนิสิตและบุคคลทั่วไป รวมทั้ง การเดินทางของผู้มาร่วมงาน และจัดซื้อคาร์บอนเครดิตจากโครงการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (T-VER) มาชดเชยทั้งหมดจนเป็นศูนย์ พร้อมรับการทวนสอบจากผู้ทวนสอบภายนอก เพื่อขอรับรอง “การจัดคาร์บอนนิวทรัลอีเวนท์” จาก องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน)

ทั้งนี้การดำเนินการดังกล่าว อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของคณะที่ปรึกษาโครงการ ฯ ได้แก่ ผศ.ดร.สุรัตน์ บัวเลิศ คณบดีคณะสิ่งแวดล้อม รศ. ดร.รัตนาวรรณ มั่งคั่ง ผู้อำนวยการ วีกรีน คณะสิ่งแวดล้อม รศ. ดร.รัฐฏา ชัยชนะ รองคณบดีฝ่ายกิจการนิสิต คณะสิ่งแวดล้อม ผศ. ดร.ธนิต ปัทมพิฑุร ผู้ช่วยคณบดีคณะสิ่งแวดล้อม โดยมีทีมงานนิสิตจิตอาสา คณะสิ่งแวดล้อม ชั้นปีที่ 3 จากบางเขนและวิทยาเขตกำแพงแสน จำนวน 61 คน ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลภาคสนาม ภายในงานเกษตรแฟร์ ประจำปี 2566 ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของการจัดงานเกษตรแฟร์ แบบซีโร่คาร์บอน (คาร์บอนนิวทรัล) หรือ Carbon-neutral KASET FAIR 2023

“กิจกรรมนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินการโครงการ TCOP10 หรือ “ขยายผลกิจกรรมชดเชยคาร์บอนเพื่อสนับสนุนตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจภายในประเทศ ปีที่ 10” ขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) โดยมีวีกรีน คณะสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ เป็นที่ปรึกษา ดังนั้น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จึงขอความร่วมมือมายัง ผู้ประกอบการร้านค้า ผู้มาร่วมงาน และหน่วยงานต่าง ๆ ที่มาร่วมจัดกิจกรรมในงานเกษตรแฟร์ ในการให้สัมภาษณ์ข้อมูลกับ นิสิตจิตอาสา จากคณะสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อใช้ในการประเมินปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จัดหาคาร์บอนเครดิตเพื่อนำมาชดเชยทั้งหมดจนเป็นศูนย์ สู่การขอรับรอง “การจัดคาร์บอนนิวทรัลอีเวนท์” จาก องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ TGO ต่อไป” ดร.ดำรงค์กล่าว

สำหรับคอนเซปต์จัดงาน “80 ปี เกษตรนนทรี นำวิถีใหม่ ไทยยั่งยืน” ภายในงานมีร้านค้าที่เข้าร่วมจัดแสดงในงานเกษตรแฟร์ 2566 ประมาณ 1,400 ร้านค้า โดยได้จัดโซนการจัดงานภายในงานเกษตรแฟร์ 2566 ดังนี้

โซน A ตลาดนนทรีวิถีเกษตร (ตลาดบก สินค้าบริโภค ,ตลาดน้ำใหญ่ ตลาดโบราณ)
โซน B สีสันตะวันฉาย (ร้านค้า SME OTOP วิสาหกิจชุมชน)
โซน C เทคโนโลยีสร้างสรรค์ (สินค้าเครื่องจักรกลทางการเกษตรและเทคโนโลยีต่างๆ)
โซน D สราญรมย์ ชมพฤกษา (ต้นไม้ พันธุ์ไม้ และอุปกรณ์ทางการเกษตร)
โซน E ฟินสุดหยุดไม่ได้ (ร้านคาเฟ่ อุปกรณ์ตกแต่งบ้าน)
โซน F รังสรรค์ สู่หรรษา (สัตว์เลี้ยงและอุปกรณ์)
โซน G ครบเครื่องเรื่องอร่อย (สินค้าเกษตรอุปโภค บริโภค)
โซน H Inter นานาชาติ งานวิจัย ร้านค้ามูลนิธิราชวงศ์ (นานาชาติ งานวิจัยมก. ร้านค้ามูลนิธิราชวงศ์ )
โซน J ของดีทั่วไทย ส่งใจถึงมือ (สินค้าจากหน่วยงานภาครัฐ และ แฟรนไซส์)
โซน K ระดมชิม ระดมช็อป (สินค้าอุปโภค – บริโภค)
โซน L สร้างสรรค์เรื่องงานดี (หน่วยงานพันธมิตร มก.เพื่อเกษตรกร)
โซน Food Truck (2จุด)
โซน สวนสนุก (4 จุด)
ศูนย์อาหาร (2จุด ได้แก่ แยกโรงเรียนอนุบาลคหกรรมศาสตร์ , สนามอินทรีจันทรสถิตย์ ติดชมรมดนตรีรวมดาว)
ร้านค้านิสิต (2 จุด)
เวทีการแสดงกลาง (พื้นที่ลานดาว หอประชุมใหญ่)
ร้านอาหารสโมสรนิสิต (12 จุด)

Source : MGR Online

เป็นส่วนหนึ่งที่เร่งให้เกิดผลกระทบที่ร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อมและโลกใบนี้ เพื่อเป็นการช่วยลดโลกร้อนนักท่องเที่ยวและผู้ประกอบการการท่องเที่ยวเริ่มให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวแบบ คาร์บอนต่ำ Low Carbon Tourism

องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก หรือ TGO และ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ทดสอบเส้นทางการท่องเที่ยวแบบคาร์บอนต่ำหรือ Low Carbon Tourism ณ พื้นที่จังหวัดภูเก็ต-พังงา 1 ใน 20 เส้นทางต้นแบบคาร์บอนต่ำ ที่มุ่งเน้นการทำกิจกรรมลดการใช้พลังงานไฟฟ้า พลังงานเชื้อเพลิง เปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาด ลดการใช้สารเคมีในกระบวนการต่างๆ เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคจากธรรมชาติ รวมไปถึงลดการใช้วัสดุสิ้นเปลืองเพื่อลดปริมาณขยะให้น้อยลง

ซึ่งกระบวนการต่างๆ เหล่านี้จะช่วยลดก๊าซเรือนกระจกลงได้ จากนั้นก็ทำการชดเชยปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เหลือปล่อยที่ออกมาจากกิจกรรมท่องเที่ยวในเส้นทางนั้นๆ โดยการซื้อคาร์บอนเครดิตจากโครงการ T-VER มาชดเชย เพื่อให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกิดความสมดุลกับค่าการลดคาร์บอน และเท่ากับศูนย์ หรือ Carbon Neutral

 โดยมีวัตถุประสงค์ในการพัฒนาศักยภาพด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้แก่บุคลากรในภาครัฐและภาคเอกชนของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อสนับสนุนให้เกิดการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศร่วมกัน อย่างเป็นรูปธรรมในประเทศไทย ซึ่ง ททท. ได้ดำเนินการออกแบบและสร้างสรรค์เส้นทางการท่องเที่ยว สินค้าและบริการทางการท่องเที่ยว ต้นแบบการท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำทุกภูมิภาคทั่วประเทศ เพื่อนำเสนอให้ ททท. สำนักงานสาขาทั้งในประเทศและต่างประเทศ บริษัทนำเที่ยวและหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ในการนำไปพัฒนาเส้นทางและรูปแบบกิจกรรมทางการท่องเที่ยวเสนอขายต่อไป

สอดคล้องกับการประชุมทางด้านเอเปค โดย ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกรัฐบาล กล่าวว่า มีรองรับการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจของภูมิภาคและของโลก กำหนดทิศทางการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนภายใต้แนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจ BCG ที่เป็นประเด็นหลักของการประชุมเอเปคในครั้งนี้ ทำให้นานาชาติเห็นความสำคัญของ BCG มากขึ้น เพราะไม่เพียงสร้างรายได้ใหม่ให้กับประเทศ แต่ยังเสริมสร้างภาพลักษณ์ และความเชื่อมั่นว่าไทยเป็นประเทศที่น่าอยู่ น่าลงทุน น่าท่องเที่ยว และยังใส่ใจสิ่งแวดล้อมช่วยแก้ปัญหาโลกร้อน ด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่มีรูปแบบผสมผสานระหว่างเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียนและเศรษฐกิจสีเขียว สอดคล้องกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

โดยผลสำเร็จจากการประชุมเอเปคครั้งนี้ ประเทศไทยได้รับประโยชน์ในหลากหลายมิติ ที่รัฐบาลได้วางรากฐานเพื่อส่งต่ออนาคตที่ดีให้กับคนรุ่นถัดไป ดังนั้นแม้การประชุมจะเสร็จสิ้นลงแล้ว แต่ภารกิจการขับเคลื่อนให้บรรลุเป้าหมายในการพัฒนาประเทศยังคงดำเนินต่อไปโดยอาศัยปัจจัยสำคัญคือ การมีส่วนร่วมของพี่น้องประชาชน ความร่วมมือร่วมใจของพี่น้องประชาชนในการเป็นเจ้าบ้านที่ดี มอบรอยยิ้ม และ ข้อมูลที่ถูกต้อง การดำเนินกิจกรรมเคลื่อนไหวต่างๆ ในทิศทางที่สร้างสรรค์สงบเพื่อสร้างบรรยากาศที่ดีรองรับโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจให้ไทยกลับมาเติบโต เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและลดเหลื่อมล้ำทางสังคม

เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและลดเหลื่อมล้ำทางสังคมได้โดยเร็วโดยผลสำเร็จจากการประชุมเอเปคครั้งนี้ ประเทศไทยและประชาชนทุกคนจะได้รับประโยชน์ในหลากหลายมิติ ที่รัฐบาลได้วางรากฐานเพื่อส่งต่ออนาคตทให้กับคนรุ่นถัดไป ดังนั้นแม้การประชุมจะเสร็จสิ้นลงแล้ว แต่ภารกิจการขับเคลื่อนให้บรรลุเป้าหมายในการพัฒนาประเทศเพื่อความอยู่ดีกินดีของพี่น้องประชาชนยังคงดำเนินต่อไปโดยอาศัยปัจจัยสำคัญคือ การมีส่วนร่วมของพี่น้องประชาชน ความร่วมมือร่วมใจของพี่น้องประชาชน การดำเนินกิจกรรมเคลื่อนไหวต่างๆ ในทิศทางที่สร้างสรรค์สงบเพื่อสร้างบรรยากาศที่ดีรองรับโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจให้ไทยกลับมาเติบโต

Source : กรุงเทพธุรกิจ