ชำแหละร่าง พ.ร.บ. โซลาร์เซลล์ ของรัฐบาล ไม่ตอบโจทย์ผู้ใช้โซลาร์อย่างแท้จริง ไม่ทำให้ประชาชนใช้ศักยภาพโซลาร์เซลล์ได้เต็มที่ สภาผู้บริโภคเสนอให้เพิ่มระบบ “เน็ตมิเตอร์ริง” และกำหนดเป้าหมายพลังงานหมุนเวียนที่ชัดเจนลงในกฎหมาย เพื่อให้ประชาชนใช้ไฟฟ้าที่ผลิตเองได้เต็มประสิทธิภาพ

ทุกวันนี้เราอยู่ในยุคที่ใคร ๆ ก็พูดถึงพลังงานสะอาดและเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ (Net Zero) การที่รัฐบาลประกาศเดินหน้าผลักดัน ร่าง “พ.ร.บ. ส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์” จึงเป็นเรื่องที่หลายคนจับตามองเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตาม การมุ่งหวังให้ประชาชนหันมาติดโซลาร์เซลล์อย่างจริงจังนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด… ซ้ำร้ายไปกว่านั้น สิ่งที่เป็นอุปสรรคของเป้าหมายดังกล่าว ก็คือ “นโยบายของรัฐ” นั่นเอง 

สภาผู้บริโภคชวนทุกคนไปเจาะลึกเรื่องปัญหาของ พ.ร.บ. ส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ กับ ผศ. ประสาท มีแต้ม อนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม สภาผู้บริโภค ซึ่งจะมาตีแผ่ว่ากฎหมายฉบับนี้ “เกาไม่ถูกที่คัน” ได้อย่างไร

กติกาของรัฐ บังแดดประชาชน

ก่อนจะลงรายละเอียดเรื่องกฎหมาย อยากชวนทุกคนทำความเข้าใจให้เห็นภาพร่วมกันว่า ทำไม “โซลาร์เซลล์” ถึงยังไม่ได้รับความนิยมมากนักในประเทศไทย ทั้งที่ปัจจุบันต้นทุนการติดตั้งโซลาร์เซลล์ลดลงอย่างมาก

ผศ.ประสาท เล่าว่า หากย้อนหลังไป 10 ปีก่อน ปัญหาหลักที่ทำให้คนไม่นิยมติดตั้งโซลาร์เซลล์ เพราะต้นทุนในการติดตั้งมีราคาสูง ทำให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าต่อหน่วยแพงกว่าการซื้อไฟฟ้าจากการไฟฟ้าที่มาตามสายส่ง แต่ในปัจจุบันต้นทุนอุปกรณ์ติดตั้งโซลาร์เซลล์ทั้งชุดได้ลดลงถึงกว่า 60-70%  ถ้าเจ้าของบ้านที่ติดโซลาร์เซลล์ได้ใช้ไฟฟ้าที่ผลิตได้เองทั้งหมดทุกหน่วย ต้นทุนจะอยู่ที่ประมาณ 1.0-1.10 บาทต่อหน่วยเท่านั้น ในขณะที่ค่าไฟฟ้าที่มาจากสายส่งเมื่อรวมภาษีแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 4.20-4.50 บาทต่อหน่วย ถึงตรงนี้ หลายคนอาจสงสัยว่า ในเมื่อราคาอุปกรณ์โซลาร์เซลล์ลดลงไปกว่า 60-70% และต้นทุนการผลิตไฟฟ้าเองก็ถูกแสนถูก แล้วทำไมบ้านเราถึงยังไม่ได้รับความนิยมเหมือนประเทศอื่น ๆ

คำตอบก็คือ นโยบายของภาครัฐเป็นอุปสรรคอย่างมากต่อการติดตั้งโซลาร์เซลล์ของภาคประชาชน โดยปัญหาสำคัญที่ขัดขวางการเติบโตของพลังงานแสงอาทิตย์ในภาคครัวเรือน นั่นคือข้อกำหนดของรัฐที่ “ห้ามไฟฟ้าที่ครัวเรือนผลิตได้มากในตอนกลางวันไหลย้อนกลับสู่สายส่ง แล้วสามารถดึงกลับมาใช้ในตอนกลางคืนได้” จึงเป็นสิ่งที่ ผศ.ประสาทกล่าวเปรียบเทียบว่า “กติกาของรัฐ บังแดดประชาชน”

กติกาข้อนี้ทำให้เจ้าของบ้านส่วนใหญ่ที่ต้องออกไปทำงานตอนกลางวัน มีโอกาสใช้ไฟฟ้าที่ผลิตเองจากแสงแดดได้เพียงประมาณ 28% ซึ่งเมื่อนำไปคำนวณต้นทุนแล้ว ทำให้ประชาชนได้ใช้ไฟฟ้าในราคาหน่วยละประมาณ 3.60 บาท และมีระยะเวลาคืนทุนที่ยาวนานถึง 16 – 17 ปี

นี่คือหัวใจของปัญหาที่แท้จริง ดังนั้นต่อให้รัฐบาลทำให้กระบวนการติดตั้งสะดวก รวดเร็วแค่ไหนก็ตาม หากยังไม่สามารถแก้ปัญหาตรงจุดนี้ได้ ก็ไม่สามารถทำให้ประชาชนเกิดแรงจูงใจหันมาใช้พลังงานแสงอาทิตย์มากขึ้น เปรียบเหมือนกับการ “เกาไม่ถูกที่คัน” นั่นเอง

พ.ร.บ. ส่งเสริมโซลาร์ฯ… เสียเวลาเปล่า?

สำหรับ “ร่าง พ.ร.บ. การส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ พ.ศ. …” ที่รัฐบาลมีมติรับหลักการไปเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ผศ. ประสาทให้ความเห็นว่า กฎหมายฉบับนี้ออกมาด้วยเหตุผลหลักคือ เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ให้การติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์สะดวกและรวดเร็วขึ้น และลดขั้นตอนที่ซับซ้อนเพื่อจูงใจให้ประชาชนติดตั้งโซลาร์เซลล์ในภาครัวเรือน ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้จึงมุ่งเน้นไปที่การลดภาระค่าใช้จ่าย การสร้างความมั่นคงทางพลังงาน และลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ โดยแตะเพียง “กระบวนการติดตั้งให้สะดวกขึ้น” โดยไม่ได้แก้ไขกติกาที่ภาครัฐกำหนดไว้

“แม้รัฐบาลจะอ้างถึงประโยชน์ของการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ แต่การมุ่งแก้ไขเพียงกระบวนการติดตั้งโดยไม่แตะต้องเรื่องการนำไฟฟ้าที่ผลิตได้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดนั้น ก็เหมือนเป็นการเสียเวลาเปล่า และทำให้เป้าหมายที่ตั้งไว้ไม่สามารถบรรลุผลได้จริง” ผศ.ประสาทระบุ

สำหรับแนวทางการปรับปรุงแก้ไข อนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ มีข้อเสนอ 2 เรื่อง คือ หนึ่ง ต้องมีการปรับแก้ ร่าง พ.ร.บ. ฉบับดังกล่าว โดยกำหนดให้ใช้ระบบเน็ตมิเตอร์ริง (Net Metering) หรือระบบการหักลบกลบหน่วยไฟฟ้า โดยระบบนี้จะทำให้ไฟฟ้าที่ประชาชนผลิตได้เกินในตอนกลางวัน แล้วนำส่วนที่เหลือไม่ได้ใช้ จ่ายกลับเข้าไปที่การไฟฟ้า เปรียบเสมือนการ “ฝากไฟฟ้า” เพื่อดึงไฟฟ้ากลับมาไว้ใช้ในเวลากลางคืนได้ทันที ทำให้ประชาชนสามารถใช้ไฟฟ้าในจำนวนหน่วยที่ตนเองผลิตได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องจ่ายค่าไฟช่วงกลางคืนที่ไม่มีแสงแดดอย่างเช่นปัจจุบัน ระบบดังกล่าวส่งผลให้ประชาชนสามารถใช้ประโยชน์จากไฟฟ้าที่ตัวเองสร้างได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทั้งนี้ นโยบายดังกล่าวรัฐบาลอาจเริ่มใช้กับกลุ่มประชาชนผู้มีรายได้น้อยหรือเฉพาะกลุ่มเปราะบางอย่างเดียวในขั้นแรก พร้อมยืนยันว่า “สำหรับประชาชนทั่วไปผมว่าเพิ่มการส่งเสริมการใช้แบตเตอรี่เข้าไปในในระบบโซลาร์รูฟท็อป เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานแสงอาทิตย์และช่วยทำให้ประชาชนได้ประโยชน์อย่างแท้จริง”

ส่วนประเด็นที่สองที่รัฐบาลควรเพิ่มเติมใน ร่าง พ.ร.บ. ฉบับดังกล่าว คือ การระบุเป้าหมายในการขับเคลื่อนเรื่องพลังงานสะอาด ทั้งจากโซลาร์เซลล์รวมถึงพลังงานหมุนเวียนอื่น ๆ ไว้ใน ร่าง พ.ร.บ. ด้วย เพื่อเป็นเหมือนตัวชี้วัดให้สภาผู้แทนราษฎรได้ตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงานของฝ่ายบริหารด้วย

มาตรการส่งเสริม โซลาร์เซลล์ ในต่างประเทศ

เมื่อถามถึงมาตรการของประเทศอื่น ๆ เพื่อสนับสนุนการใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ ผศ.ประสาท ให้ข้อมูลว่า ในต่างประเทศมีการสนับสนุนและออกมาตรการเพื่อส่งเสริมการใช้โซลาร์เซลล์ในหลายรูปแบบ เช่น การออกกฎหมาย การให้เงินอุดหนุน การออกนโยบายด้านภาษี เป็นต้น เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดอย่างจริงจัง อาทิ

สหรัฐอเมริกา: ออกกฎหมายที่ชื่อว่า “Inflation Reduction Act” เมื่อปี 2565 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ออกมาเพื่อแก้ปัญหาอัตราเงินเฟ้อ โดยมีการให้เครดิตภาษีสำหรับการติดตั้งโซลาร์เซลล์สำหรับที่อยู่อาศัยที่เรียกว่า “Residential Clean Energy Credit” 30% ของค่าใช้จ่ายในการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ แบตเตอรี่ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ซึ่งกฎหมายนี้มีผลบังคับใช้ไปจนถึงปี 2575

ทั้งนี้ ข้อมูลล่าสุดจากสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency: IEA) พบว่าในช่วง 7 เดือน ระหว่างเดือนตุลาคม 2566 – เดือนเมษายน 2567 ในสหรัฐฯ มีผู้ติดตั้งโซลาร์เซลล์พร้อมแบตเตอรี่โดยใช้ระบบ เน็ตมิเตอร์ริงรวม 232  เมกะวัตต์ หรือมากกว่า 40,000 ระบบ

ออสเตรเลีย: รัฐบาลมีโครงการ Cheaper Home Batteries สำหรับเจ้าของบ้านและธุรกิจขนาดเล็ก โดยตั้งเป้าว่าจะส่งเสริมให้มีการติดตั้งแบตเตอรี่จำนวน 1 ล้านระบบ ภายในปี 2573 ซึ่งในเดือนแรกของโครงการ มีการติดตั้งแบตเตอรี่เกือบ 20,000 ระบบ ซึ่งมากกว่าหนึ่งในสี่ของจำนวนที่ติดตั้งในประเทศออสเตรเลียในปี 2024 ทั้งปี

ปากีสถาน: ประสบความสำเร็จอย่างมากในการใช้ระบบเน็ตมิเตอร์ริง ซึ่งช่วยให้ส่วนแบ่งการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 25% ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดในปี 2025

เวียดนาม: มีแผนพัฒนาพลังงานที่เรียกว่า Power Development Plan VIII (PDP8) ซึ่งมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานหมุนเวียนมากขึ้นโดยกำหนดเป้าหมายใหญ่ให้ 50% ของอาคารสำนักงานและบ้านเรือนที่อยู่อาศัยติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคาได้ภายในปี 2030 โดยมีการออกนโยบายที่หลากหลาย เช่น รับซื้อไฟฟ้าส่วนเกินจากผู้ผลิตรายย่อยในราคาที่กำหนด การยกเว้นภาษีและการให้เงินทุนสนับสนุนเพื่อส่งเสริมการลงทุนในโครงการพลังงานหมุนเวียน เป็นต้น

เยอรมนี: มีมาตรการสนับสนุนที่หลากหลาย เช่น เงินอุดหนุนโดยตรง ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีรายได้สำหรับระบบแบตเตอรี่ รวมถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับการติดตั้งระบบโซลาร์และแบตเตอรี่ นอกจากนี้ เยอรมนียังมีกฎหมายที่ชื่อว่า EEG2023 ซึ่งระบุเป้าหมายว่าจะเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนให้ได้ 80% ภายในปี 2030

กลับมาที่ประเทศไทย ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ความสามารถในการพึ่งตนเองด้านพลังงานของประเทศไทยได้ลดลง 4-5 เท่า แม้ทุกวันนี้จะมีเทคโนโลยีที่ทำให้เราสามารถนำแสงอาทิตย์มาผลิตไฟฟ้าใช้ได้ในราคาถูก แต่นโยบายของรัฐกลับกลายเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยไม่สามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์และพลังงานหมุนเวียนอื่น ๆ ได้อย่างมัประสิทธิภาพ

บทสรุปของเรื่องนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องกฎหมาย แต่คือการตัดสินใจเชิงนโยบายที่กล้าหาญของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาด้านพลังงาน ซึ่ง ผศ.ประสาทเปรียบเทียบเหมือนเป็นการ “ผ่าตัดใหญ่” เพื่อแก้ปัญหาให้ตรงจุด เพื่อปลดล็อกศักยภาพของพลังงานหมนุเวียนอย่างแท้จริง ซึ่งนั่นคือการอนุญาตให้มีระบบเน็ตมิเตอร์ริงเพื่อให้ประชาชนใช้ประโยชน์จากไฟฟ้าที่ผลิตเองได้อย่างเต็มที่ หากรัฐบาลยังคงเดินหน้าด้วยแนวทางเดิม ความก้าวหน้าเรื่องการใช้พลังงานหมุนเวียนคงจะอยู่ไกลเกินจะคว้า แต่สภาผู้บริโภคจะยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนเรื่องนี้ต่อไป เพื่อกระตุ้นเตือนให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาอย่าง “ถูกที่คัน” อย่างแท้จริง

Source: สภาองค์กรผู้บริโภค

เรากำลังพูดถึงระบบผลิตไฟฟ้าที่ไม่ต้องใช้พื้นที่ใหม่ ไม่ต้องรอเขื่อนหรือสายส่งพาดผ่านหลังบ้าน แต่ใช้สิ่งที่มีอยู่แล้วคือ หลังคาบ้านของคุณเอง

โลกกำลังหมุนไปสู่พลังงานสะอาด การเปลี่ยนแปลงไม่ได้เริ่มต้นจากเขื่อนขนาดยักษ์หรือแหล่งพลังงานทะเลทราย แต่มาจากสิ่งเล็ก ๆ ที่เราเห็นทุกวัน หลังคาบ้าน จุดเริ่มต้นของ “โซลาร์รูฟท็อป” (Rooftop Solar PV) ระบบผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ที่สามารถเปลี่ยนทุกอาคารให้เป็นผู้ผลิตพลังงานสะอาดแบบกระจายศูนย์

มาถึงวันนี้ “โซลาร์รูฟท็อป” จึงไม่ใช่แค่ทางเลือกของบ้านคนรักสิ่งแวดล้อมอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นกลไกสำคัญของเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ทั่วโลก ที่ต้องการลดคาร์บอน สร้างความมั่นคงทางพลังงาน และคืนอำนาจการผลิตไฟฟ้าให้กับประชาชน
 

ขณะที่ก้าวสำคัญของประเทศไทยเกิดขึ้นเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มติ ครม.เห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมการใช้ไฟฟ้า ‘พลังงานแสงอาทิตย์’ เปิดทางให้ติดตั้ง ‘Solar Rooftop’ โดยไม่ต้องขออนุญาต ส่งผลให้ประชาชนเดินหน้าสู่การใช้พลังงานสะอาดได้อย่างเป็นรูปธรรม สาระสำคัญของร่างกฎหมายฉบับนี้คือ “การติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop)” เพื่อใช้เอง ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตจากรัฐอีกต่อไป เพียงแค่แจ้งต่อกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน เท่านั้น

เรามาลองสำรวจในมุมอื่นๆ ของโซลาร์รูฟท็อปในมุมอื่นๆ เช่น เรื่องของความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ ที่บอกว่า หากลงทุนวันนี้ จะสามารถคืนทุนเร็วขึ้นกว่าที่เคย

เพราะหนึ่งในคำถามสำคัญที่หลายคนสงสัยคือ “ติดโซลาร์รูฟคุ้มจริงหรือ?” คำตอบวันนี้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงจากเมื่อ 5 ปีก่อน เพราะข้อเท็จจริงต่อไปนี้

ข้อมูลจากรายงานของ International Renewable Energy Agency (IRENA) ปี 2020 ระบุว่า ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์แบบแผงโซลาร์ (solar photovoltaic – PV) ลดลงมากกว่า 80% ตั้งแต่ปี 2010 ถึง 2020 รายงานนี้เผยแพร่ในชื่อ “Renewable Power Generation Costs in 2020” โดยระบุว่า ราคาต้นทุนเฉลี่ยของแผงโซลาร์ลดจากประมาณ 0.37 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง (kWh) เหลือประมาณ 0.068 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อ kWh

Bloomberg New Energy Finance (BNEF) รายงานในปี 2021 ว่า ราคาต้นทุนแผงโซลาร์ลดลงเกิน 80% ในรอบทศวรรษที่ผ่านมา เนื่องจากเทคโนโลยีและประสิทธิภาพที่ดีขึ้น รวมถึงขนาดเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น รายงานประจำปี “New Energy Outlook 2021” เน้นให้เห็นว่าโซลาร์เป็นพลังงานหมุนเวียนที่ราคาถูกที่สุดในหลายภูมิภาค

– อายุการใช้งานแผงอยู่ที่ 25–30 ปี ในขณะที่ค่าไฟมีแนวโน้มสูงขึ้น

– ระบบขนาด 3–5 kWp สำหรับบ้านพักอาศัยสามารถ สามารถคืนทุนได้ใน 5–7 ปี และประหยัดค่าไฟ เดือนละ 1,000–3,000 บาท

– โครงการบ้านจัดสรรหลายแห่งมีการติดตั้งแถมฟรี หรือเสนอเงื่อนไขผ่อน 0% พร้อมรับประกัน 25 ปี

ส่วนในระดับอาคารธุรกิจหรือโรงงาน การติดตั้ง Rooftop PV ยังสามารถลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานได้ถึง 30–50% ต่อปี ซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญที่กระทบต่อผลกำไรโดยตรง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ใช้ไฟมากช่วงกลางวัน เช่น ศูนย์กระจายสินค้า โรงเรียน โรงแรม หรือห้างสรรพสินค้า

เทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังโซลาร์รูฟ ความฉลาดที่เพิ่มขึ้นทุกวัน

ระบบโซลาร์ยุคใหม่ไม่ใช่แค่แผงโซลาร์ติดบนหลังคาเท่านั้น แต่เต็มไปด้วยนวัตกรรมเพื่อการจัดการพลังงานอย่างชาญฉลาด อาทิ

1. Smart Inverter

อุปกรณ์แปลงไฟที่สามารถตรวจวัดการผลิตและการใช้พลังงานแบบเรียลไทม์ เชื่อมต่อกับสมาร์ตโฟนหรือคลาวด์ เพื่อวิเคราะห์การประหยัดและประสิทธิภาพ

2. Battery Storage (ESS)

ระบบกักเก็บพลังงานที่สามารถเก็บไฟฟ้าจากช่วงกลางวันไปใช้ช่วงกลางคืน หรือเมื่อไฟดับ ช่วยให้พึ่งพาการไฟฟ้าน้อยลง และเสริมความมั่นคงด้านพลังงาน

3. AI Energy Management

เทคโนโลยี AI วิเคราะห์พฤติกรรมการใช้ไฟของบ้านหรืออาคาร ปรับรูปแบบการผลิต-ใช้พลังงานให้เหมาะสม และเลือกช่วงขายไฟกลับเข้าระบบเพื่อให้ได้ราคาดีที่สุด

4. BIPV (Building Integrated Photovoltaics)

การรวมแผงโซลาร์เข้ากับวัสดุก่อสร้าง เช่น หลังคา ผนัง หรือกระจกอาคาร ทำให้อาคารทั้งหลังกลายเป็นแหล่งผลิตพลังงาน

ตัวอย่าง Smart City ที่ใช้ Solar Rooftop อย่างเข้มข้น

1. Chandigarh (อินเดีย)

เมืองนี้กลายเป็น เมืองแรกของอินเดียที่ติดตั้งโซลาร์บนหลังคาในอาคารรัฐบาลและบ้านเรือนหมดทุกราย ภายในเดือนธันวาคม 2024 โดยมีโครงสร้างความร่วมมือผ่านองค์กร CREST ซึ่งติดตั้งทั้งหมด 52.852 MWp จากกว่า 6,600 แผง 

มีโครงการ “Rent-a-Roof” Resco Model ให้เอกชนลงทุนติดตั้งและจ่ายค่าเช่าหลังคาให้เทศบาลโดยไม่ต้องใช้เงินทุนของรัฐ The Times of India

นอกจากนี้ยังมีโครงการชาร์จรถ EV ใช้พลังงานจากโซลาร์ rooftop ในอาคารสาธารณะหลายแห่ง

2. Fujisawa Sustainable Smart Town (ญี่ปุ่น)

เมืองต้นแบบโดย Panasonic บนพื้นที่โรงงานเก่า เดินระบบตั้งแต่ปี 2014 ใช้โครงข่าย Smart Grid ที่เชื่อม Solar PV พร้อมระบบจัดเก็บพลังงาน (battery/fuel cells) และช่วยลดการปล่อย CO₂ ถึง 70% 

3. Sharjah Sustainable City (สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์)

มีการติดตั้งโซลาร์บนหลังคาบ้านเรือนกว่า 1,250 หลัง พร้อมระบบรีไซเคิลน้ำ และสวนเกษตรในเมือง ช่วยลดค่าไฟฟ้าได้สูงถึง 50% และเป็นแบบอย่างด้านการอยู่ร่วมกับธรรมชาติในเมือง 

4. Bo01 – Malmö (สวีเดน)

ชุมชนต้นแบบ “City of Tomorrow” ที่ใช้พลังงานจากแหล่งหมุนเวียน 100% โดยมีระบบ โซลาร์บนหลังคาผสานกับเทคโนโลยีตรวจวัดการใช้ไฟสมัยใหม่ โดยพลังงานส่วนเกินจะถูกส่งกลับไปยังโครงข่ายเมือง Malmö ได้อย่างอัตโนมัติ 

5. Aarhus University (เดนมาร์ก)

มหาวิทยาลัย Aarhus ร่วมกับชุมชนสร้าง rooftop PV ขนาด 98 kW แล้วเปิดให้ทุกคนลงทุนแบบหุ้นย่อยในระบบนี้ ทำให้ทุกคนที่ร่วมลงทุนได้รับผลตอบแทนจากพลังงานที่ผลิตได้ นับเป็นการ democratize พลังงานอย่างแท้จริง

โซลาร์รูฟท็อปกับเมืองอัจฉริยะ พลังงานอนาคต เริ่มต้นจาก “หลังคา”

ภาพรวม Rooftop Solar PV ระดับโลก (ข้อมูลปี 2022–2024)

ครัวเรือนทั่วโลกมี Rooftop PV (ระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคาอาคาร) รวมประมาณ 130 GW (กิกะวัตต์) ซึ่งมาจากระบบติดตั้งในบ้านพักประมาณ 25 ล้านครัวเรือนทั่วโลก หรือคิดเป็น ประมาณ 6% ของกำลังการผลิตสะสม Solar PV ทั่วโลก (~2.2 TW)

ณ สิ้นปี 2024 ความสามารถในการผลิตพลังงานจากระบบ Solar PV (Solar Photovoltaic เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแสงอาทิตย์ให้เป็นพลังงานไฟฟ้าโดยตรง) รวมทั่วโลกอยู่ที่ 2.2 TW (เทราวัตต์) ซึ่ง Rooftop PV ถือเป็นส่วนสำคัญของ Distributed PV หรือ Distributed Photovoltaics – ระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งแบบกระจายตัวในหลายพื้นที่ย่อย โดยสัดส่วนของ Distributed PV คือประมาณ 40% ของกำลังการผลิตพลังงานโซลาร์ทั้งหมด

Rooftop PV แบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่คือ

– Residential Rooftop PV – ระบบที่ติดตั้งในบ้านพักอาศัย เช่น บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ คอนโด

– Commercial/Industrial Rooftop PV – ระบบที่ติดตั้งในอาคารพาณิชย์ โรงงาน โกดัง หรือห้างสรรพสินค้า

และจากการประมาณการแบบจำลองของ IEA หากมีการติดตั้งต่อเนื่อง จะมี 100 ล้านครัวเรือน ที่ใช้ Rooftop PV ภายในปี 2030

หมายเหตุสำคัญ:

Utility-scale solar PV (ระบบโซลาร์เซลล์ขนาดใหญ่เพื่อการผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์) ครองสัดส่วนมากกว่า 60% ของกำลังผลิตใหม่ แต่ Distributed PV หรือ Distributed Photovoltaics ระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งแบบกระจายตัวในหลายพื้นที่ย่อย (รวม rooftop) ยังเป็นหัวใจสำคัญในหลายประเทศ โดยมีโซลาร์รูฟท็อปเป็นส่วนสำคัญของตลาด โดยเฉพาะในจีน สหรัฐฯ ออสเตรเลีย เยอรมนี ญี่ปุ่น

ส่วนในประเทศไทย แม้มีศักยภาพมหาศาล แต่ติดตั้งจริงยังต่ำ ก็มีนโยบายใหม่ที่ช่วยลดอุปสรรค เช่น การยกเลิก permit, อัตรา NEM ชัดเจน, ส่งเสริมแหล่งเงินสนับสนุน  เพื่อเร่งให้ rooftop PV เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว

Source : PostToday

พลังงานแสงอาทิตย์ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน โดยเฉพาะการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปหรือระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา ซึ่งช่วยประหยัดค่าไฟ ลดการพึ่งพาพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม ระบบโซลาร์รูฟท็อปมีหลายประเภท ได้แก่ ระบบ On Grid, Off Grid และ Hybrid แต่ละระบบมีลักษณะการทำงานที่แตกต่างกันและเหมาะสมกับความต้องการที่หลากหลาย บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักทั้งสามระบบอย่างละเอียด พร้อมข้อมูลที่เข้าใจง่ายและครบถ้วน

ระบบโซลาร์รูฟท็อปคืออะไร

โซลาร์รูฟท็อปคือการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาอาคารเพื่อแปลงพลังงานแสงอาทิตย์เป็นไฟฟ้า ระบบนี้เหมาะสำหรับบ้านพักอาศัย อาคารสำนักงาน หรือโรงงาน โดยทั่วไปประกอบด้วยส่วนประกอบหลัก ได้แก่ แผงโซลาร์เซลล์ อินเวอร์เตอร์ และโครงสร้างยึดติด การเลือกประเภทของระบบขึ้นอยู่กับความต้องการใช้งาน สถานที่ และงบประมาณ

1. ระบบ On-Grid (ระบบเชื่อมต่อกับโครงข่าย)

ระบบ On-Grid หรือที่เรียกว่า “Grid-Tied” เป็นระบบที่ได้รับความนิยมมากที่สุดสำหรับการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปตามบ้านเรือนทั่วไป หลักการทำงานของระบบนี้คือ การเชื่อมต่อกับระบบไฟฟ้าของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) หรือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) โดยตรง

การทำงานของระบบ On-Grid

  • ช่วงกลางวัน แผงโซลาร์เซลล์จะผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ และแปลงไฟฟ้ากระแสตรง (DC) เป็นไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) โดยใช้อินเวอร์เตอร์ (Inverter) เพื่อนำไปใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน
  • ถ้าผลิตไฟฟ้าได้มากกว่าที่ใช้ ไฟฟ้าส่วนเกินจะถูกส่งย้อนกลับไปขายคืนให้กับการไฟฟ้า โดยมีมิเตอร์ดิจิทัล (Digital Meter) เป็นตัววัดปริมาณไฟฟ้าที่ส่งออก
  • ช่วงกลางคืนหรือวันที่ไม่มีแสงแดด ระบบจะดึงไฟฟ้าจากการไฟฟ้ามาใช้ตามปกติ
  • ระบบนี้ไม่มีแบตเตอรี่ จึงไม่สามารถสำรองไฟฟ้าไว้ใช้ในกรณีที่ไฟฟ้าดับได้

ข้อดีของระบบ On-Grid

  • คุ้มค่า มีต้นทุนการติดตั้งต่ำที่สุดในบรรดาทุกระบบ เนื่องจากไม่ต้องลงทุนในแบตเตอรี่
  • ประหยัดค่าไฟ สามารถลดค่าไฟฟ้าได้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในเวลากลางวันที่มีการใช้ไฟฟ้ามาก
  • คืนทุนเร็ว ระยะเวลาคืนทุนสั้นกว่าระบบอื่นๆ
  • บำรุงรักษาง่าย ไม่ต้องดูแลรักษาแบตเตอรี่

ข้อเสียของระบบ On-Grid

  • ไม่สามารถใช้งานได้เมื่อไฟฟ้าดับ เนื่องจากระบบถูกออกแบบมาเพื่อความปลอดภัยที่จะหยุดทำงานทันทีเมื่อไม่มีกระแสไฟฟ้าจากโครงข่าย
  • มีข้อจำกัดในการขายไฟฟ้าคืน ปัจจุบันการไฟฟ้ายังคงมีข้อจำกัดและกฎระเบียบในการรับซื้อไฟฟ้าส่วนเกินจากประชาชน

2. ระบบ Off-Grid (ระบบไม่เชื่อมต่อกับโครงข่าย)

ระบบ Off-Grid หรือ “Stand-Alone” เป็นระบบที่ ไม่เชื่อมต่อกับระบบไฟฟ้าของการไฟฟ้าเลย เหมาะสำหรับพื้นที่ห่างไกลที่ไม่มีสายส่งไฟฟ้าเข้าถึง หรือสถานที่ที่ต้องการพึ่งพาตนเองด้านพลังงานอย่างสมบูรณ์

การทำงานของระบบ Off-Grid

  • มีแบตเตอรี่เป็นหัวใจหลัก แผงโซลาร์เซลล์จะผลิตไฟฟ้าและนำมาชาร์จแบตเตอรี่เพื่อกักเก็บพลังงาน
  • ช่วงกลางวัน ไฟฟ้าที่ผลิตได้จะถูกนำไปใช้ทันที และส่วนที่เหลือจะถูกเก็บไว้ในแบตเตอรี่
  • ช่วงกลางคืนหรือวันที่ไม่มีแสงแดด ระบบจะดึงไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ที่ชาร์จไว้มาใช้งาน
  • มีทั้งระบบ DC และ AC โดยทั่วไปมักใช้ร่วมกับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่รองรับระบบไฟฟ้ากระแสตรง (DC) เพื่อลดการสูญเสียพลังงานจากการแปลงไฟฟ้า หรือใช้อินเวอร์เตอร์สำหรับแปลงเป็นไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วไป

ข้อดีของระบบ Off-Grid

  • อิสระจากค่าไฟ ไม่ต้องจ่ายค่าไฟฟ้าให้กับหน่วยงานใดๆ
  • สามารถใช้งานได้ตลอด 24 ชั่วโมง แม้ในช่วงที่ไม่มีแสงแดดหรือไฟฟ้าดับ
  • เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พึ่งพาพลังงานสะอาด 100%

ข้อเสียของระบบ Off-Grid

  • ต้นทุนสูง เนื่องจากต้องลงทุนในแบตเตอรี่ที่มีราคาสูง
  • บำรุงรักษายุ่งยาก ต้องดูแลรักษาแบตเตอรี่อย่างสม่ำเสมอ
  • ขนาดระบบจำกัด ต้องคำนวณขนาดของแบตเตอรี่ให้เพียงพอต่อการใช้งาน ซึ่งอาจมีข้อจำกัดสำหรับบ้านที่ใช้ไฟฟ้าเยอะ
  • ประสิทธิภาพต่ำกว่า เมื่อเทียบกับระบบ On-Grid เนื่องจากมีการสูญเสียพลังงานในกระบวนการชาร์จและคายประจุของแบตเตอรี่

3. ระบบ Hybrid (ระบบผสมผสาน)

ระบบ Hybrid เป็นการนำข้อดีของทั้งระบบ On-Grid และ Off-Grid มาผสมผสานกัน โดยสามารถเชื่อมต่อกับระบบไฟฟ้าของการไฟฟ้าและมีแบตเตอรี่สำหรับสำรองไฟ ด้วย

การทำงานของระบบ Hybrid

  • มีแบตเตอรี่สำรอง ระบบจะผลิตไฟฟ้าจากแผงโซลาร์เซลล์เพื่อใช้ในบ้านและชาร์จแบตเตอรี่
  • สามารถเลือกแหล่งจ่ายไฟ เมื่อไฟฟ้าดับ ระบบจะสลับไปใช้ไฟฟ้าจากแบตเตอรี่โดยอัตโนมัติ ช่วยให้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่จำเป็นยังคงทำงานได้
  • ควบคุมการใช้พลังงานได้ยืดหยุ่น เจ้าของบ้านสามารถตั้งค่าให้ระบบใช้ไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ก่อนในเวลาที่ค่าไฟแพง (เช่น ช่วงเวลา Peak) และสลับไปใช้ไฟฟ้าจากโครงข่ายในเวลาที่ค่าไฟถูก

ข้อดีของระบบ Hybrid

  • ใช้งานได้ต่อเนื่องเมื่อไฟฟ้าดับ มีไฟฟ้าสำรองจากแบตเตอรี่
  • ประหยัดค่าไฟได้สูงสุด สามารถจัดการการใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ยืดหยุ่นสูง สามารถปรับการใช้งานได้ตามความต้องการ
  • เพิ่มมูลค่าให้บ้าน เป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยและเป็นที่ต้องการในตลาด

ข้อเสียของระบบ Hybrid

  • ต้นทุนสูงที่สุด เนื่องจากต้องลงทุนในทั้งอินเวอร์เตอร์ชนิด Hybrid และแบตเตอรี่
  • บำรุงรักษาซับซ้อน มีอุปกรณ์หลายส่วนที่ต้องดูแล
  • การติดตั้งต้องใช้ช่างผู้ชำนาญ เพราะมีระบบที่ซับซ้อน

สรุปความแตกต่างของทั้ง 3 ระบบ

คุณสมบัติระบบ On-Gridระบบ Off-Gridระบบ Hybrid
การเชื่อมต่อการไฟฟ้าเชื่อมต่อไม่เชื่อมต่อเชื่อมต่อ
มีแบตเตอรี่สำรองไม่มีมี (สำคัญ)มี (สำรองไฟ)
ใช้งานตอนไฟฟ้าดับไม่ได้ได้ได้
ต้นทุนติดตั้งต่ำที่สุดสูงสูงที่สุด
ความเหมาะสมบ้านเรือนทั่วไป, โรงงานพื้นที่ห่างไกล, รีสอร์ท, เกษตรบ้านที่ต้องการไฟสำรอง, ธุรกิจ
การคืนทุนเร็วที่สุดช้าปานกลาง
การขายไฟคืนขายได้ (ตามระเบียบ)ขายไม่ได้ขายได้ (ตามระเบียบ)

ปัจจัยที่ควรพิจารณาในการเลือกระบบ

การเลือกระบบโซลาร์รูฟท็อปที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ดังนี้

  • สถานที่ตั้ง พื้นที่ที่มีโครงข่ายไฟฟ้าเสถียรเหมาะกับระบบ On Grid ส่วนพื้นที่ห่างไกลควรเลือก Off Grid หรือ Hybrid
  • งบประมาณ ระบบ On Grid มีต้นทุนต่ำสุด ส่วน Off Grid และ Hybrid ต้องลงทุนในแบตเตอรี่เพิ่ม
  • ความต้องการใช้งาน หากต้องการใช้ไฟในช่วงไฟดับ ระบบ Hybrid หรือ Off Grid จะตอบโจทย์กว่า
  • นโยบายของรัฐ ในบางประเทศมีนโยบายสนับสนุน เช่น การซื้อไฟคืนในระบบ On Grid ซึ่งช่วยลดระยะเวลาคืนทุน

การศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจติดตั้งระบบโซลาร์รูฟท็อปจะช่วยให้คุณได้ระบบที่เหมาะสมกับความต้องการและงบประมาณของคุณมากที่สุด เพื่อให้การลงทุนครั้งนี้คุ้มค่าและยั่งยืนในระยะยาว

งบประมาณที่ต้องใช้ในการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป

งบประมาณเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการตัดสินใจติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป ซึ่งราคาจะขึ้นอยู่กับขนาดกำลังผลิตของระบบ (หน่วยเป็นกิโลวัตต์ หรือ kWp) และประเภทของอุปกรณ์ที่เลือกใช้ โดยข้อมูลด้านล่างนี้เป็นราคาประมาณการจากข้อมูลล่าสุดในตลาด ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้

ประมาณการงบประมาณสำหรับระบบโซลาร์รูฟท็อปแต่ละประเภท

ระบบโซลาร์รูฟท็อปขนาดกำลังผลิต (kWp)งบประมาณโดยประมาณ (บาท)เหมาะสำหรับ
On-Grid (ไม่มีแบตเตอรี่)3 kWp120,000 – 150,000บ้านขนาดเล็ก-กลาง (ค่าไฟประมาณ 2,500-3,500 บาท/เดือน)
5 kWp180,000 – 220,000บ้านขนาดกลาง-ใหญ่ (ค่าไฟประมาณ 4,000-6,000 บาท/เดือน)
10 kWp300,000 – 400,000บ้านขนาดใหญ่, โฮมออฟฟิศ (ค่าไฟมากกว่า 6,000 บาท/เดือน)
Off-Grid (มีแบตเตอรี่)3 kWp250,000 – 350,000พื้นที่ห่างไกลที่ไม่มีไฟฟ้า, ระบบสำรองไฟขนาดเล็ก
5 kWp400,000 – 550,000พื้นที่ที่ต้องการความอิสระทางพลังงานสูง
Hybrid (มีแบตเตอรี่)3 kWp200,000 – 280,000บ้านที่ต้องการลดค่าไฟและมีไฟสำรองสำหรับอุปกรณ์จำเป็น
5 kWp300,000 – 450,000บ้านขนาดกลาง-ใหญ่ ที่ต้องการความยืดหยุ่นในการจัดการพลังงาน

หมายเหตุ

  • ราคาข้างต้นเป็นเพียงราคาประมาณการและอาจแตกต่างกันไปตามคุณภาพของแผงโซลาร์, อินเวอร์เตอร์, และแบตเตอรี่ รวมถึงค่าบริการติดตั้งและค่าใช้จ่ายอื่นๆ
  • ระบบ On-Grid มีราคาต่ำที่สุดเพราะไม่มีค่าใช้จ่ายสำหรับแบตเตอรี่
  • ระบบ Off-Grid และ Hybrid มีราคาสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเนื่องจากต้นทุนของแบตเตอรี่ ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่มีราคาสูงที่สุดในระบบ

คำนวณความคุ้มค่าและระยะเวลาคืนทุนเบื้องต้น

การลงทุนในโซลาร์รูฟท็อปเป็นการลงทุนระยะยาวที่ให้ผลตอบแทนเป็นความประหยัดค่าไฟฟ้าในแต่ละเดือน ซึ่งระยะเวลาคืนทุนจะแตกต่างกันไปตามปัจจัยต่างๆ

ปัจจัยที่ส่งผลต่อระยะเวลาคืนทุน

  • ขนาดของระบบที่ติดตั้ง : ระบบที่มีกำลังผลิตสูง (kWp) จะมีราคาติดตั้งสูงขึ้น แต่ก็สามารถประหยัดค่าไฟได้มากขึ้นเช่นกัน
  • พฤติกรรมการใช้ไฟฟ้า : หากบ้านมีการใช้ไฟฟ้ามากในช่วงกลางวัน (เช่น เปิดแอร์, เครื่องทำน้ำอุ่น) จะยิ่งประหยัดค่าไฟได้มาก ทำให้คืนทุนได้เร็วขึ้น
  • ราคาค่าไฟฟ้า : เมื่อค่าไฟฟ้าสูงขึ้น ระยะเวลาคืนทุนก็จะสั้นลง

ตัวอย่างการคำนวณเบื้องต้น

สมมติว่าคุณติดตั้ง ระบบ On-Grid ขนาด 5 kWp ด้วยงบประมาณ 200,000 บาท ซึ่งสามารถผลิตไฟฟ้าได้เฉลี่ยประมาณ 600-700 หน่วยต่อเดือน

  • ประหยัดค่าไฟได้ต่อเดือน : (600 หน่วย) x (ค่าไฟต่อหน่วยโดยประมาณ 4.5 บาท) = 2,700 บาท
  • ประหยัดค่าไฟได้ต่อปี : 2,700 x 12 = 32,400 บาท
  • ระยะเวลาคืนทุนโดยประมาณ : 200,000 / 32,400 = ประมาณ 6.2 ปี

หลังจากคืนทุนแล้ว คุณจะได้รับไฟฟ้าฟรีจากแผงโซลาร์เซลล์ตลอดอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า 25 ปี ซึ่งถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบ้านของคุณในระยะยาวอย่างแท้จริง

บทสรุป

การทำความเข้าใจความแตกต่างของระบบโซลาร์รูฟท็อปทั้ง 3 ระบบ ไม่ว่าจะเป็น On-Grid, Off-Grid, หรือ Hybrid จะช่วยให้คุณตัดสินใจลงทุนในพลังงานแสงอาทิตย์ได้อย่างชาญฉลาดและตรงตามความต้องการ ระบบ On-Grid เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดค่าไฟฟ้าโดยมีงบประมาณจำกัด Off-Grid เหมาะสำหรับผู้ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลและต้องการความอิสระทางพลังงาน ส่วน Hybrid เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการทั้งความประหยัดและความมั่นคงในการใช้ไฟฟ้า การเลือกที่เหมาะสมจะนำมาซึ่งความคุ้มค่าและประโยชน์สูงสุดจากการใช้พลังงานสะอาดในบ้านของคุณ

เครื่องปรับอากาศถือได้ว่าเป็น เครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินไฟค่อนข้างมากในอันดับต้นๆ ซึ่งหลายท่านก็พยายามหาวิธีการต่างๆ ที่จะทำให้เครื่องปรับอากาศกินไฟให้น้อยที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการเปิดปิดเป็นเวลา หรือเฉพาะในช่วงที่อากาศร้อน การตั้งอุณหภูมิที่ 25 องศา บางท่านก็ลองวิธีที่มีการแนะนำต่อๆ กันมา ก็คือ ตั้งอุณหภูมิไปที่ 27 องศา แล้วเปิดพัดลมช่วย ซึ่งวิธีการต่างๆ เหล่านี้ก็ถือว่า ช่วยประหยัดไฟได้บ้าง แต่ก็ยังค่อนข้างสูงอยู่ดี ดังนั้นก็เลยมีการคิดค้น เครื่องปรับอากาศรูปแบบใหม่ที่เปลี่ยนไปใช้ไฟฟ้าที่ได้จากโซล่าร์เซลล์ ในชื่อ “แอร์โซล่าเซลล์”

แอร์โซล่าเซลล์คืออะไร?

แอร์โซลาร์เซลล์ คือ เครื่องปรับอากาศที่ผสานเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์เข้ากับระบบทำความเย็น ทำให้สามารถลดการพึ่งพาไฟฟ้าแบบปกติที่ใช้ตามบ้าน หรือสำนักงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยหลักการทำงานคือ แผงโซลาร์เซลล์จะแปลงพลังงานแสงอาทิตย์ให้เป็นกระแสไฟฟ้า เพื่อนำมาใช้ในการขับเคลื่อนคอมเพรสเซอร์ของเครื่องปรับอากาศ ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ไฟฟ้าในรูปแบบเดิมๆ อีกเลย ส่งผลให้เราไม่ต้องจ่ายค่าไฟในส่วนนี้นั่นเอง

แอร์โซลาร์เซลล์ แบ่งออกเป็น 3 รูปแบบหลักๆ ก็คือ

  1. แอร์โซล่าร์เซลล์แบบ On-Grid เชื่อมต่อกับระบบไฟฟ้าของบ้าน สามารถจ่ายไฟฟ้าส่วนเกินกลับเข้าสู่ระบบได้
  2. แอร์โซล่าร์เซลล์แบบ Off-Grid ไม่เชื่อมต่อกับระบบไฟฟ้าของบ้าน ใช้งานได้แม้ในพื้นที่ที่ไม่มีไฟฟ้าเข้าถึง
  3. แอร์โซล่าร์เซลล์แบบที่ใช้ได้ทั้ง 2 ระบบ สามารถใช้ไฟจากระบบโซล่าร์เซลล์ก็ได้ หรือจะใช้ไฟบ้านปกติก็ได้

ข้อดีของแอร์โซล่าเซลล์

  • ประหยัดค่าไฟฟ้า ลดค่าใช้จ่ายในการใช้ไฟฟ้าได้อย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงกลางวันที่มีแสงแดด ซึ่งช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าได้มากถึง 50-70%
  • เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดผลกระทบต่อภาวะโลกร้อน เหมาะสำหรับคนที่รักษ์โลกเป็นอย่างมาก
  • พึ่งพาตนเองได้ ไม่ต้องกังวลเรื่องไฟฟ้าดับ หรือค่าไฟฟ้าที่ผันผวน
  • เทคโนโลยีทันสมัย เป็นนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม

นอกจากจะมีข้อดีแล้ว แอร์โซล่าร์เซลล์ก็มีข้อสังเกตอยู่หลายๆ อย่างด้วยกัน

ข้อสังเกตของแอร์โซล่าเซลล์

  • ต้นทุนและราคาสูง แอร์โซล่าเซลล์มีราคาค่อนข้างสูง เพราะนอกจากจะมีตัวเครื่องแล้ว ยังต้องมีค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง และซื้ออุปกรณ์อื่นๆ ด้วยไม่ว่าจะเป็น แผงโซล่าเซลล์ , อินเวอร์เตอร์, แบตเตอรี่ และอุปกรณ์ควบคุม
  • ประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ การผลิตไฟฟ้าของแผงโซลาร์เซลล์ขึ้นอยู่กับปริมาณแสงแดดโดยตรง ในวันที่ฝนตกหรือเมฆมาก การผลิตไฟฟ้าจะลดลง และอุณหภูมิที่สูงเกินไปอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของแผงโซลาร์เซลล์ได้
  • มีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาเพิ่มเติม นอกจากจะต้องทำความสะอาดแอร์เหมือนแอร์ปกติแล้ว แผงโซลาร์เซลล์จำเป็นต้องทำความสะอาดเป็นประจำเพื่อขจัดฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกที่เกาะอยู่บนผิวแผง ซึ่งอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้า
  • แบตเตอรี่ราคาสูง สำหรับระบบที่มีแบตเตอรี่อยู่ด้วย ก็จะต้องมีค่าใช้จ่ายส่วนของแบตเตอรี่เพิ่มเติม ซึ่งมีราคาสูง และมีอายุการใช้งานจำกัด
ภาพประกอบ : https://www.chaisinsolarcell.com/

ตัวอย่างอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับติดตั้งแอร์โซล่าร์เซลล์

  • แอร์ Solar Hybrid 1 ชุด
  • แผงโซล่าเซลล์ ขนาด 550w จำนวน 2 แผง
  • เบรกเกอร์ DC BOX 1 ชุด
  • สายไฟ PV 20 เมตร
  • MC-4 Link จำนวน 4 คู่
  • ติดตั้งแบบมาตรฐาน โดยทีมช่างผู้ชำนาญการ

หลักการทำงานของแอร์โซล่าร์เซลล์

แอร์โซลาร์เซลล์ทำงานโดยการเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์ให้เป็นพลังงานไฟฟ้าเพื่อนำมาใช้ในการทำความเย็น ซึ่งแตกต่างจากแอร์ทั่วไปที่ใช้ไฟฟ้าจากกระแสไฟฟ้าหลัก โดยหลักการทำงานโดยรวมสามารถสรุปได้ดังนี้

  1. การผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ แผงโซลาร์เซลล์จะทำหน้าที่รับพลังงานจากแสงอาทิตย์และแปลงเป็นกระแสไฟฟ้ากระแสตรง (DC)
  2. การแปลงกระแสไฟฟ้า อินเวอร์เตอร์จะทำหน้าที่แปลงกระแสไฟฟ้ากระแสตรงที่ได้จากแผงโซลาร์เซลล์ให้เป็นกระแสไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) ซึ่งเป็นชนิดที่เครื่องปรับอากาศส่วนใหญ่ใช้
  3. การจ่ายไฟให้เครื่องปรับอากาศ กระแสไฟฟ้ากระแสสลับที่ได้จากอินเวอร์เตอร์จะถูกส่งไปยังเครื่องปรับอากาศเพื่อใช้ในการขับเคลื่อนคอมเพรสเซอร์ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการทำความเย็น
  4. กระบวนการทำความเย็น เครื่องปรับอากาศจะทำงานตามหลักการทำความเย็นทั่วไป โดยคอมเพรสเซอร์จะอัดสารทำความเย็นให้มีแรงดันสูง แล้วปล่อยให้ไหลผ่านคอยล์ร้อนเพื่อระบายความร้อนออกสู่ภายนอก จากนั้นสารทำความเย็นจะไหลผ่านคอยล์เย็นเพื่อดูดซับความร้อนภายในห้อง ทำให้อากาศเย็นลง

แอร์โซล่าร์เซลล์ กับแอร์ปกติทั่วไป ต่างกันอย่างไร

การตัดสินใจเลือกใช้แอร์โซลาร์เซลล์หรือแอร์ปกตินั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ รวมถึงงบประมาณ ความต้องการในการใช้พลังงาน และความสำคัญที่ให้กับสิ่งแวดล้อม มาดูตารางเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น

คุณสมบัติแอร์โซลาร์เซลล์แอร์ปกติ
แหล่งพลังงานหลักพลังงานแสงอาทิตย์ไฟฟ้าจากกระแสไฟฟ้าหลัก
ค่าไฟฟ้าประหยัดค่าไฟฟ้าในระยะยาว โดยเฉพาะช่วงกลางวันค่าไฟฟ้าขึ้นอยู่กับการใช้งาน
สิ่งแวดล้อมเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสร้างมลพิษจากการผลิตไฟฟ้า
ต้นทุนและค่าใช้จ่ายสูงกว่าแอร์ปกติ เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายในการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์และอุปกรณ์อื่นๆต่ำกว่าแอร์โซลาร์เซลล์
การบำรุงรักษาต้องทำความสะอาดแผงโซลาร์เซลล์เป็นประจำบำรุงรักษาตามปกติ
ความเสี่ยงประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับสภาพอากาศไม่ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ

ราคาแอร์โซล่าเซลล์

ราคาแอร์โซล่าร์เซลล์ นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ทำให้ราคาแต่ละรุ่นและแต่ละแบรนด์แตกต่างกันออกไป การเลือกซื้อแอร์โซล่าร์เซลล์จึงต้องพิจารณาหลายปัจจัย เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่คุ้มค่ากับการลงทุน สำหรับราคาในปัจจบุัน ก็สามารถเปิดดูได้ตามเว็บไซต์ ซึ่งมีทั้งรูปแบบของการเอาแอร์ปกติ มาจัดชุดกับอุปกรณ์โซล่าร์เซลล์ แล้วขาย รวมถึงแอร์ที่ออกแบบมาตั้งแต่แรกเพื่อใช้กับโซล่าร์เซลล์เลย ในบทความนี้ก็ขอเอาราคาจากเว็บขายของออนไลน์มาให้ดูกันไปเลยครับ

ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาแอร์โซล่าร์เซลล์

  • ขนาด BTU ขนาดของแอร์จะส่งผลโดยตรงต่อราคา ยิ่ง BTU สูง ราคาจะยิ่งสูงขึ้น
  • แบรนด์: แบรนด์ที่เป็นที่รู้จักจะมีราคาสูงกว่าแบรนด์ทั่วไป
  • คุณภาพวัสดุ: วัสดุที่ใช้ในการผลิต เช่น คอยล์ร้อน คอยล์เย็น และคอมเพรสเซอร์ มีผลต่อประสิทธิภาพและอายุการใช้งานของแอร์ ซึ่งส่งผลต่อราคา
  • จำนวนแผงโซลาร์เซลล์: จำนวนแผงโซลาร์เซลล์ที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าจะส่งผลต่อราคาโดยตรง
  • ขนาดและประสิทธิภาพของแผงโซลาร์เซลล์ แผงโซลาร์เซลล์ที่มีขนาดใหญ่และมีประสิทธิภาพสูงจะมีราคาสูงกว่า
  • อุปกรณ์เสริม อุปกรณ์เสริมต่างๆ เช่น แบตเตอรี่ อินเวอร์เตอร์ และระบบควบคุม จะเพิ่มต้นทุนให้กับระบบ
  • ค่าติดตั้ง ค่าแรงในการติดตั้งระบบ รวมถึงค่าใช้จ่ายในการเดินสายไฟและติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์

บทสรุป

แม้ว่าแอร์โซลาร์เซลล์จะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการลดค่าไฟฟ้าและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่ก็มีข้อจำกัดและข้อควรพิจารณาบางประการที่ผู้สนใจควรศึกษาให้ละเอียดก่อนตัดสินใจติดตั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของต้นทุน การบำรุงรักษา และประสิทธิภาพที่ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ ซึ่งถ้าจะให้บอกว่าเหมาะกับใคร ก็น่าจะเหมาะกับผู้ที่มีความจำเป็นต้องใช้เครื่องปรับอากาศอยู่ตลอดทั้งวัน ซึ่งอาจจะเป็นที่พักอาศัยในเขตที่มีอากาศร้อน หรือความจำเป็นด้านอื่นๆ ซึ่งก็ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าหากใช้ในระยะยาวครับ

Photo : freepik.com

มูลนิธิพลังงานสะอาดเพื่อประชาชน ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ เพื่อพัฒนาโครงการสำหรับครัวเรือนที่ติดตั้ง Solar Cell โดยสามารถนำ Carbon Credit จากการผลิต Solar Cell ที่ได้รับรองมาตรฐาน T-VER มาแลกเป็นคะแนน The 1 ของเครือเซ็นทรัลได้ฟรี โครงการนำร่องคือบ้านพลังงานเป็นศูนย์ของเสนา มีเป้าไม่น้อยกว่า 300 ครัวเรือน หรือคะแนน The 1 มากกว่า 4 ล้านคะแนน

วันที่ 14 มิถุนายน 2567 ดร.สุวิทย์ ธรณินทร์พานิช ประธานมูลนิธิฯ ระบุว่า โครงการตลาดคาร์บอนครัวเรือนภาคสมัครใจ ที่ได้รับงบจาก บพข. ร่วมกับ ม.เชียงใหม่ เซ็นทรัล และบริษัทเสนา เป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และครัวเรือน เป็นก้าวสำคัญในการส่งเสริมประสิทธิภาพพลังงาน ลดก๊าซเรือนกระจก และมีส่วนร่วมในตลาดคาร์บอนครัวเรือน นำไปสู่เศรษฐกิจสีเขียว อนาคตสะอาด และความยั่งยืน

ติด Solar Cell ที่บ้าน ช่วยลดโลกร้อน-รับคะแนน The 1 ฟรี

ศาสตราจารย์ ดร.อาภาณี เหลืองนฤมิตชัย ประธานคณะอนุกรรมการแผนงานกลุ่มพลังงาน เคมีและวัสดุชีวภาพ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) กล่าวว่า ในฐานะหน่วยงานที่ให้ทุนโครงการ วิจัยและพัฒนาตลาดคาร์บอนครัวเรือนภาคสมัครใจ เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดในการสนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียนและเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำภายใต้แผนงานพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมการใช้ประโยชน์พลังงานสะอาด พัฒนาระบบเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-GreenEconomy: BCG) ในด้านพลังงานสะอาด พลังงานหมุนเวียน วัสดุชีวภาพ และเคมีชีวภาพให้เป็นระบบเศรษฐกิจมูลค่าสูง มีความยั่งยืนและเพิ่มรายได้ของประเทศพัฒนาเศรษฐกิจไทย มีความสามารถในการแข่งขัน พึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน พร้อมสู่อนาคตโดยใช้วิทยาศาสตร์ การวิจัยและนวัตกรรม และดำเนินการร่วมกับการทำแพลตฟอร์มตลาดคาร์บอนครัวเรือนภาคสมัครใจ

โดยสามารถติดตามข้อมูลการผลิตพลังงานจากระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาและปริมาณการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงสามารถนำก๊าซเรือนกระจกที่ลดลงได้แลกเปลี่ยนกับสินค้าหรือบริการของภาคธุรกิจที่เข้าร่วม รวมถึงการจัดทำระบบนิเวศของแพลตฟอร์มตลาดคาร์บอนครัวเรือนภาคสมัครใจให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้แพลตฟอร์ม เช่น ภาคครัวเรือนต้องการผลตอบแทนจากการใช้พลังงาน ภาคธุรกิจต้องการปริมาณคาร์บอน เพื่อดำเนินการเกี่ยวกับเศรษฐกิจหมุนเวียนและเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ โดยมีอัตราแลกเปลี่ยนที่จูงใจในการทำธุรกรรมเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจสร้างคุณค่าสังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน

ดร.สุวิทย์ ธรณินทร์พานิช ประธานกรรมการมูลนิธิพลังงานสะอาดเพื่อประชาชน กล่าวว่า โครงการวิจัยและพัฒนาตลาดคาร์บอนครัวเรือนภาคสมัครใจ มีปัจจัยที่เอื้ออำนวยต่อการดำเนินโครงการเนื่องจาก นโยบายด้านการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย ซึ่งตอบรับกับความร่วมมือในการลดภาวะโลกร้อนของนานาประเทศ การสนับสนุนตลาดคาร์บอนทั้งในระดับนานาชาติและระดับประเทศ การเติบโตของจำนวนผู้ใช้พลังงานทดแทนและพลังงานสะอาด

ปัจจุบันมีการนำหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียนมาปรับใช้ในภาคธุรกิจ โดยในโครงการจะพัฒนาตลาดคาร์บอนครัวเรือนภาคสมัครใจ ด้วยการจัดทำแพลตฟอร์มในการติดตามการผลิตพลังงานทดแทนและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งจะมุ่งเน้นครัวเรือนที่ติดตั้ง Solar Cell ก่อน เนื่องจากมีจำนวนผู้ใช้งานมากและมีนโยบายจากภาครัฐที่ชัดเจน ทั้งนี้แพลตฟอร์มที่จะพัฒนาขึ้นจะสามารถแลกเปลี่ยนก๊าซเรือนกระจกที่สามารถลดได้ไปเป็นสินค้าหรือบริการกับภาคธุรกิจที่เข้าร่วม

ภาคธุรกิจสามารถนำคาร์บอนที่ได้เพื่อใช้ในการดำเนินธุรกิจด้วยแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน และการดำเนินการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) หรือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net zero emissions) ซึ่งจะเกิดประโยชน์แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องดังนี้

ภาคครัวเรือน มีช่องทางการสร้างรายได้จากการใช้พลังงานสะอาด หรือสามารถแลกเป็นสินค้าและบริการจากภาคธุรกิจที่เข้าร่วมผ่านแพลตฟอร์มที่พัฒนาขึ้น ทั้งยังสร้างคุณค่าให้กับผู้ใช้พลังงานสะอาดในการเป็นส่วนหนึ่งของการลดภาวะโลกร้อน

ภาคธุรกิจ สามารถดำเนินธุรกิจด้วยแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียนในส่วนการใช้พลังงานสะอาด โดยการซื้อคาร์บอนเครดิต หรือแลกเปลี่ยนเป็นสินค้าและบริการให้กับครัวเรือนที่เข้าร่วมผ่านแพลตฟอร์มที่พัฒนาขึ้น ซึ่งจะส่งเสริมภาพลักษณ์ของการดำเนินธุรกิจเป็นส่วนหนึ่งในการเพิ่มยอดขาย สร้างการเติบโตของธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน สอดคล้องกับเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในระยะยาว

ประเทศไทย สามารถพัฒนาตลาดคาร์บอนครัวเรือนแบบภาคสมัครใจให้เกิดขึ้นจริงในประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้เป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศเป็นไปตามเป้าหมาย โดยจะส่งผลให้ทั้งประชาชนและภาคธุรกิจหันมาใช้พลังงานสะอาดรวมถึงการดำเนินการด้านอื่นที่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้มากขึ้น และยังสร้างผลประโยชน์ร่วมในหลายด้าน เช่น การบรรเทาผลกระทบของมลพิษทางอากาศ, การรักษามั่นคงทางพลังงาน, นวัตกรรมเทคโนโลยี การลดต้นทุนทางพลังงาน การจ้างงาน และลดการย้ายถิ่นฐานเข้าเมือง เป็นต้น ส่งผลให้ประเทศไทยเติบโตอย่างก้าวหน้าและยั่งยืนต่อไป

ติด Solar Cell ที่บ้าน ช่วยลดโลกร้อน-รับคะแนน The 1 ฟรี

รศ.วงกต วงศ์อภัย ตำแหน่ง รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยพหุศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า สถาบันวิจัยพหุศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นหน่วยงานที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประเมินภายนอกสำหรับโครงการภาคสมัครใจของประเทศไทย ได้ดำเนินการประเมินปริมาณก๊าซเรือนกระจก ตามมาตรฐานต่าง เช่น Thailand Voluntary Emission Reduction Program (T-VER) หรือที่รู้จักในวงกว้างว่า คาร์บอนเครดิต  ที่องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. กำหนด โดยมีขั้นตอนการดำเนินการเบื้องต้น 6 ขั้นตอน คือ

  1. การจัดทำเอกสารโครงการ
  2. การตรวจสอบเอกสาร หรือ Validation
  3. การขึ้นทะเบียนโครงการ Solar ดังกล่าวกับ อบก. 
  4. การดำเนินการโครงการพร้อมการตรวจวัดต่างๆ
  5. การจัดทำเอกสารขอทวนสอบผลคาร์บอนเครดิตที่ได้ ก่อนที่จะนำไป
  6. ยื่นขอรับรองคาร์บอนเครดิตจากทาง อบก.

การตรวจสอบเอกสารและทวนสอบต่างๆ ถือเป็นความสำคัญและจำเป็นที่ประเทศต้องการ รวมถึงเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศในอนาคต

คุณพิชัย จิราธิวัฒน์  ตำแหน่ง กรรมการบริหาร กลุ่มเซ็นทรัล  กล่าวว่า  ปัจจุบันประเทศไทยต้องการคาร์บอนเครดิตเป็นอย่างมาก ในอนาคตมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นสูง จากกระแสความตื่นตัวและความมุ่งมั่นทั้งในระดับประเทศและระดับองค์กรที่มีการตั้งเป้าหมายที่จะเป็น Carbon Neutrality และ Net Zero Emissions  และกระแสโลกเรื่อง Climate Change

ภาคธุรกิจ เป็นภาคส่วนที่มีศักยภาพในการช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมต่างๆ กลุ่มเซ็นทรัล จึงมีความต้องการที่จะซื้อคาร์บอนเครดิตมาชดเชยในการจัดกิจกรรมอีเวนท์ต่างๆ โดยผู้เข้าร่วมโครงการ สามารถนำ Carbon Credit 1 ตันคาร์บอน มาแลกเป็นคะแนน The 1 ได้ 1,600 คะแนน เพื่อนำไปเป็นส่วนลดสินค้าและบริการ รวมถึงรับสิทธิประโยชน์ในกลุ่มเซ็นทรัลทั่วประเทศ

กลุ่มเซ็นทรัลมีความมุ่งหวังการเติบโตของธุรกิจจะต้องควบคู่ไปกับการพัฒนาสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืน และตระหนักว่าต้องเริ่มตั้งแต่ต้นทางของห่วงโซ่อุปทานตลอดจนถึงปลายทางของการจัดการอย่างถูกหลัก โดยหนึ่งในเป้าหมายคือการปรับเปลี่ยนหันมาใช้พลังงานสะอาดและยั่งยืน เพื่อลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมจากการดำเนินธุรกิจ ทั้งยังช่วยลดปัญหามลพิษด้วยพลังงานสะอาด และสอดคล้องกับเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมของโลก 

ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เสนาฯ ถือเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายแรกของไทยที่เริ่มสร้างบ้านพร้อมติดโซลาร์รูฟให้พร้อมใช้งานตั้งแต่ซื้อบ้านทั้งโครงการเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ขณะนั้นมองว่าการใช้พลังงานทดแทนคือเทรนด์ของอนาคต ที่นอกจากจะช่วยลดค่าใช้จ่ายของลูกบ้านแล้ว ยังลดการสร้างคาร์บอนที่เป็นต้นเหตุของปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก ทั้งนี้สิ่งที่เสนาให้ความสำคัญคือการพัฒนาโครงการและสนับสนุนการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ด้านการใช้พลังงานทดแทนที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของลูกบ้าน

สอดคล้องกับเป้าหมายการลดคาร์บอนขององค์กร โดยเฉพาะการนำแนวคิดบ้านพลังงานเป็นศูนย์ (Zero Energy Housing) ซึ่งสามารถประหยัดการใช้ไฟฟ้าของบ้านได้สูงสุดถึง 38% และการส่งเสริม Decarbonized Lifestyle ให้ลูกบ้านสามารถใช้ชีวิตรักษ์โลกได้ง่ายๆ เพียงอยู่กับเราเท่านั้น ปัจจุบันเสนาติดตั้งโซลาร์รูฟให้กับลูกบ้าน ทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมแล้วทั้งหมดทุกโครงการรวมกว่า 1,000 หลัง

สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ลูกบ้านเสนาที่ติดโซลาร์ สามารถสมัครเข้าร่วมโครงการฯ โดยปริมาณคาร์บอนเครดิตที่เกิดขึ้นจะสามารถนำไปแลกคะแนนเพื่อใช้เป็นส่วนลดหรือซื้อของต่อไปได้ เช่น ลูกบ้านที่ติดตั้งโซลาร์ 5kw คาร์บอนเครดิตจะถูกคำนวณและสามารถเปลี่ยนเป็นคะแนน The 1 ได้ 600 คะแนนต่อเดือน หรือ 7,200 คะแนนต่อปี โดยในเบื้องต้นตั้งเป้าว่าจะมีลูกบ้านเข้าร่วมโครงการนี้ไม่น้อยกว่า 300 หลังคาเรือน ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณโครงการดีๆ ที่ให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานสะอาด รวมถึงให้โอกาสทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมในการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง เพื่อคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืนต่อไป

Source : ฐานเศรษฐกิจ