ในยุคที่ทั่วโลกต่างมุ่งหน้าสู่การใช้พลังงานสะอาดเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและภาวะโลกร้อน พลังงานลมได้กลายเป็นหนึ่งในทางเลือกที่น่าจับตามอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีกังหันลมแนวตั้ง หรือ Vertical Axis Wind Turbine (VAWT) ที่กำลังได้รับความสนใจอย่างมาก ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นและเหมาะกับการใช้งานในพื้นที่ที่มีข้อจำกัด โดยเฉพาะในเขตเมือง บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับกังหันลมแนวตั้งในทุกแง่มุม ตั้งแต่หลักการทำงาน ประเภทต่างๆ ข้อดีข้อเสีย การประยุกต์ใช้ ไปจนถึงสถานการณ์ในประเทศไทย

ทำความรู้จัก กังหันลมแนวตั้ง คืออะไร

กังหันลมแนวตั้ง คือ กังหันลมที่มีแกนหมุนและใบพัดตั้งฉากกับการเคลื่อนที่ของลมในแนวราบ ต่างจากกังหันลมแนวแกนนอน (Horizontal Axis Wind Turbine หรือ HAWT) ที่เราคุ้นเคยกันดี ซึ่งมีแกนหมุนขนานไปกับทิศทางลม การออกแบบที่แตกต่างนี้ทำให้กังหันลมแนวตั้งมีคุณสมบัติเฉพาะตัวที่น่าสนใจและเหมาะกับการใช้งานในหลายบริบท โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่มีลมไม่สม่ำเสมอหรือมีพื้นที่จำกัด

หลักการทำงานของกังหันลมแนวตั้งคือการเปลี่ยนพลังงานจลน์ของลมให้เป็นพลังงานกลเพื่อขับเคลื่อนเครื่องกำเนิดไฟฟ้า โดยใบพัดจะรับแรงลมและหมุนรอบแกนตั้ง ทำให้เกิดการผลิตกระแสไฟฟ้า กังหันลมประเภทนี้สามารถรับลมได้จากทุกทิศทางโดยไม่จำเป็นต้องหันหน้าเข้าหาลม ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญเมื่อเทียบกับกังหันลมแนวแกนนอน

ประเภทของกังหันลมแนวตั้ง

กังหันลมแนวตั้งสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภทตามลักษณะการออกแบบของใบพัดและหลักการรับแรงลม ซึ่งแต่ละประเภทก็มีคุณสมบัติและข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป โดยประเภทที่นิยมและมีการศึกษาค้นคว้าอย่างแพร่หลาย ได้แก่

1. กังหันลม Savonius (ซาโวเนียส)

กังหันลม Savonius เป็นกังหันลมแนวตั้งที่ทำงานโดยอาศัยหลักการต้านทานแรงลม (Drag-type) มีลักษณะใบพัดโค้งคล้ายช้อนหรือถังผ่าครึ่งสองอันประกบกัน โดยมีช่องว่างตรงกลางเพื่อดักจับลม การออกแบบนี้ทำให้กังหันลม Savonius สามารถเริ่มต้นหมุนได้เองแม้ในความเร็วลมที่ต่ำมาก และมีแรงบิดเริ่มต้นสูง เหมาะสำหรับการใช้งานในพื้นที่ที่มีลมไม่แรงมากนัก หรือในสภาพแวดล้อมในเมืองที่มีทิศทางลมเปลี่ยนแปลงบ่อย อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้าของกังหันลม Savonius มักจะต่ำกว่ากังหันลมประเภทที่อาศัยแรงยก (Lift-type)

2. กังหันลม Darrieus (แดร์เรียส)

กังหันลม Darrieus เป็นกังหันลมแนวตั้งที่ทำงานโดยอาศัยหลักการแรงยก (Lift-type) มีลักษณะใบพัดเป็นเส้นโค้งคล้ายรูปไข่ หรือรูปตัว H (H-rotor/H-Darrieus) ที่เรียกว่า Troposkien ซึ่งเป็นรูปทรงที่ช่วยให้แรงที่กระทำต่อใบพัดตั้งฉากกับความโค้งของใบพัดในทุกจุด ทำให้สามารถหมุนด้วยความเร็วรอบสูงและมีประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้าที่ดีกว่ากังหันลม Savonius กังหันลม Darrieus เหมาะสำหรับการใช้งานในพื้นที่ที่มีลมค่อนข้างแรงและสม่ำเสมอ อย่างไรก็ตาม กังหันลมประเภทนี้มักจะไม่สามารถเริ่มต้นหมุนได้เองในความเร็วลมต่ำ จึงอาจต้องอาศัยกลไกช่วยในการเริ่มต้นหมุน หรือใช้ร่วมกับกังหันลม Savonius ในบางกรณี

3. กังหันลม Helix (เฮลิกซ์)

Source : Flickr

กังหันลม Helix เป็นกังหันลมแนวตั้งที่มีรูปทรงใบพัดเป็นเกลียวสวยงาม การออกแบบใบพัดแบบเกลียวนี้ช่วยให้การรับลมเป็นไปอย่างต่อเนื่องและลดการสั่นสะเทือน ทำให้การทำงานราบรื่นและเงียบกว่ากังหันลมบางประเภท กังหันลม Helix มักถูกนำไปติดตั้งในอาคารหรือพื้นที่ที่ต้องการความสวยงามและเสียงรบกวนต่ำ นอกจากนี้ยังสามารถทำงานได้ดีในสภาพลมที่หลากหลาย

4. Vortex Bladeless กังหันลมไม่มีใบพัด

Vortex Tacoma Prototype (Source: Vortex Bladeless) 

Vortex Bladeless ซึ่งเป็นนวัตกรรมกังหันลมแนวตั้งที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เพราะไม่มีใบพัด กังหันลมประเภทนี้มีลักษณะคล้ายเสาเล็กๆ ที่สั่นสะเทือนเมื่อโดนลม โดยจะแปลงแรงสั่นสะเทือนนั้นให้เป็นพลังงานไฟฟ้า ข้อดีคือเสียงเงียบมาก ปลอดภัยต่อสัตว์ปีก และใช้พื้นที่น้อย เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการติดตั้งในเขตเมืองใหญ่ ปัจจุบันมีการทดลองใช้งานในหลายเมืองทั่วโลก เช่น มาดริด โตเกียว และนิวยอร์ก

เพื่อให้เห็นภาพรวมของกังหันลมแนวตั้งแต่ละประเภทได้ชัดเจนขึ้น สามารถดูตารางเปรียบเทียบคุณสมบัติเบื้องต้นได้ดังนี้

ประเภทกังหันลมแนวตั้งหลักการทำงานลักษณะใบพัดข้อดีเด่นข้อจำกัดการประยุกต์ใช้
Savoniusแรงต้าน (Drag)โค้งคล้ายช้อน/ถังผ่าครึ่งเริ่มหมุนได้เองที่ลมต่ำ, แรงบิดสูงประสิทธิภาพต่ำบ้านเรือน, พื้นที่ลมเบา, เสริมระบบอื่น
Darrieus (รวม H-rotor)แรงยก (Lift)โค้งรูปไข่/ตัว Hประสิทธิภาพสูงที่ลมแรง, ความเร็วรอบสูงอาจไม่เริ่มหมุนเองที่ลมต่ำพื้นที่ลมแรง, การผลิตไฟฟ้าขนาดกลาง
Helixแรงยก (Lift)ใบพัดเกลียวทำงานเงียบ, สวยงาม, ลดการสั่นสะเทือนต้นทุนอาจสูงกว่าบางประเภทอาคาร, พื้นที่เมือง, เน้นสุนทรียภาพ
Vortex Bladelessการสั่นสะเทือนไม่มีใบพัด (เสา)เสียงเงียบมาก, ปลอดภัยต่อนก, ใช้พื้นที่น้อยประสิทธิภาพอาจยังไม่สูงเท่าแบบมีใบพัดพื้นที่เมือง, ดาดฟ้าอาคาร

ข้อดีและข้อเสียของกังหันลมแนวตั้ง

กังหันลมแนวตั้งมีจุดเด่นหลายประการที่ทำให้เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับพลังงานสะอาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับกังหันลมแนวแกนนอน แต่ก็มีข้อจำกัดที่ควรพิจารณาเช่นกัน

ข้อดีของกังหันลมแนวตั้ง

  • รับลมได้ทุกทิศทาง กังหันลมแนวตั้งไม่จำเป็นต้องมีระบบหันหน้าเข้าหาลม (Yaw mechanism) เนื่องจากใบพัดสามารถรับลมได้จากทุกทิศทาง นี่เป็นข้อได้เปรียบอย่างมากในพื้นที่ที่มีทิศทางลมเปลี่ยนแปลงบ่อยหรือมีลมปั่นป่วน เช่น ในเขตเมืองที่มีอาคารสูง
  • ทำงานได้ดีในลมต่ำและลมปั่นป่วน การออกแบบของกังหันลมแนวตั้งหลายประเภท โดยเฉพาะ Savonius สามารถเริ่มต้นหมุนได้ในความเร็วลมที่ต่ำมาก และยังคงทำงานได้ดีแม้ในสภาพลมที่ไม่มีความสม่ำเสมอหรือมีกระแสลมปั่นป่วน ซึ่งเป็นเรื่องปกติในสภาพแวดล้อมในเมือง
  • เสียงรบกวนต่ำ โดยทั่วไปแล้ว กังหันลมแนวตั้งมีระดับเสียงรบกวนที่ต่ำกว่ากังหันลมแนวแกนนอน ทำให้เหมาะสำหรับการติดตั้งในพื้นที่ใกล้ชุมชนหรือบนอาคารที่อยู่อาศัย
  • ปลอดภัยต่อสัตว์ปีก เนื่องจากใบพัดหมุนในแนวตั้งและมีความเร็วรอบที่ปลายใบพัดต่ำกว่ากังหันลมแนวแกนนอนมาก จึงลดความเสี่ยงที่นกหรือค้างคาวจะบินชนใบพัด
  • บำรุงรักษาง่าย ชิ้นส่วนหลักของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าและระบบส่งกำลังมักจะอยู่ที่ระดับพื้นดิน ทำให้การเข้าถึงเพื่อบำรุงรักษาหรือซ่อมแซมทำได้ง่ายและปลอดภัยกว่า
  • ใช้พื้นที่ติดตั้งน้อย กังหันลมแนวตั้งสามารถติดตั้งได้ในพื้นที่จำกัด เช่น บนดาดฟ้าอาคาร หรือตามแนวรั้ว ทำให้เหมาะกับการใช้งานในเขตเมืองที่พื้นที่เป็นสิ่งมีค่า
  • ความสวยงามและทัศนียภาพ กังหันลมแนวตั้งบางประเภท เช่น Helix มีรูปทรงที่สวยงามและกลมกลืนกับสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ได้ดีกว่ากังหันลมแนวแกนนอนขนาดใหญ่

ข้อเสียของกังหันลมแนวตั้ง

  • ประสิทธิภาพโดยรวมต่ำกว่า โดยทั่วไปแล้ว กังหันลมแนวตั้งมักจะมีประสิทธิภาพในการแปลงพลังงานลมเป็นไฟฟ้าที่ต่ำกว่ากังหันลมแนวแกนนอนที่มีขนาดใกล้เคียงกัน โดยเฉพาะในสภาวะลมแรงและสม่ำเสมอ
  • อาจไม่สามารถเริ่มต้นหมุนได้เอง (สำหรับบางประเภท) กังหันลม Darrieus ซึ่งเป็นประเภทที่ให้ประสิทธิภาพสูงกว่า Savonius มักมีปัญหาในการเริ่มต้นหมุนเองในความเร็วลมต่ำ ซึ่งอาจต้องใช้มอเตอร์ขนาดเล็กช่วยในการสตาร์ท หรือออกแบบร่วมกับกังหันลม Savonius
  • ปัญหาความล้าของวัสดุ เนื่องจากใบพัดของกังหันลมแนวตั้งต้องรับแรงลมที่เปลี่ยนแปลงทิศทางอยู่ตลอดเวลา อาจส่งผลให้เกิดความล้าของวัสดุ (Fatigue) ได้ง่ายกว่าในระยะยาว หากการออกแบบและวัสดุไม่เหมาะสม
  • ความซับซ้อนในการออกแบบใบพัด การออกแบบใบพัดสำหรับกังหันลมแนวตั้งบางประเภท เช่น Darrieus ต้องอาศัยความเข้าใจในหลักการอากาศพลศาสตร์ที่ซับซ้อน เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด

การประยุกต์ใช้งานกังหันลมแนวตั้ง

ด้วยคุณสมบัติเฉพาะตัว กังหันลมแนวตั้งจึงถูกนำไปประยุกต์ใช้ในหลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่กังหันลมแนวแกนนอนไม่เหมาะสม

  • การผลิตไฟฟ้าในเขตเมือง นี่คือการประยุกต์ใช้ที่สำคัญที่สุดของกังหันลมแนวตั้ง ด้วยข้อดีเรื่องการรับลมได้ทุกทิศทาง เสียงเงียบ และใช้พื้นที่น้อย ทำให้สามารถติดตั้งบนดาดฟ้าอาคารสูง อาคารสำนักงาน หรือแม้แต่ตามแนวถนน เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้เองภายในอาคาร ลดภาระการใช้ไฟฟ้าจากโครงข่ายหลัก และส่งเสริมแนวคิด “ฟาร์มพลังงานขนาดย่อม” ในเมือง
  • ระบบไฟฟ้าสำหรับบ้านเรือนและธุรกิจขนาดเล็ก กังหันลมแนวตั้งขนาดเล็กเหมาะสำหรับการติดตั้งในบ้านเรือน ฟาร์มขนาดเล็ก หรือรีสอร์ท เพื่อเสริมระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์เซลล์) ในรูปแบบไฮบริด โดยกังหันลมจะผลิตไฟฟ้าในเวลากลางคืนหรือวันที่ไม่มีแดด ช่วยให้มีแหล่งพลังงานสำรองที่เชื่อถือได้
  • ระบบไฟฟ้าสำหรับพื้นที่ห่างไกล ในพื้นที่ที่การเข้าถึงโครงข่ายไฟฟ้าทำได้ยาก กังหันลมแนวตั้งสามารถเป็นส่วนหนึ่งของระบบผลิตไฟฟ้าแบบ Stand-alone ร่วมกับแผงโซลาร์เซลล์และแบตเตอรี่ เพื่อจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ต่างๆ เช่น ไฟส่องสว่าง ระบบสื่อสาร หรือปั๊มน้ำ
  • โครงการสาธิตและงานวิจัย กังหันลมแนวตั้งยังคงเป็นหัวข้อที่น่าสนใจสำหรับการวิจัยและพัฒนา เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และหาวิธีการประยุกต์ใช้ใหม่ๆ ทำให้มีการติดตั้งเพื่อการศึกษาและสาธิตในสถาบันการศึกษาและศูนย์วิจัยต่างๆ
  • ป้ายโฆษณาและสิ่งปลูกสร้างอัจฉริยะ ด้วยรูปทรงที่สวยงามและสามารถทำงานได้ในพื้นที่จำกัด กังหันลมแนวตั้งบางประเภทถูกนำไปรวมกับการออกแบบป้ายโฆษณา หรือโครงสร้างอาคาร เพื่อสร้างพลังงานไฟฟ้าสำหรับอุปกรณ์เหล่านั้นโดยตรง

กังหันลมแนวตั้งในประเทศไทย

ประเทศไทยมีความตื่นตัวในการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าศักยภาพลมโดยรวมของประเทศจะอยู่ในระดับปานกลางเมื่อเทียบกับบางประเทศ แต่กังหันลมแนวตั้งก็ยังคงมีบทบาทสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของการใช้งานขนาดเล็กและในพื้นที่ที่มีข้อจำกัด

  • งานวิจัยและพัฒนา หน่วยงานวิจัยและสถาบันการศึกษาหลายแห่งในประเทศไทยได้ทำการวิจัยและพัฒนากังหันลมแนวตั้งมาอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) ได้มีการวิจัยกังหันลมแกนตั้งชนิดเดเรียสที่สามารถเริ่มต้นหมุนได้ด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาข้อด้อยสำคัญของกังหันลมประเภทนี้ นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาเครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่ไม่มีแรงต้านการหมุนจากแม่เหล็ก (cogging torque) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเริ่มต้นและเร่งความเร็ว
  • โครงการชั่งหัวมัน ตามพระราชดำริ หนึ่งในตัวอย่างที่โดดเด่นของการนำกังหันลมแนวตั้งมาใช้ในประเทศไทยคือที่โครงการชั่งหัวมัน ตามพระราชดำริ จังหวัดเพชรบุรี โครงการนี้ได้ติดตั้ง “กังหันลมผลิตไฟฟ้าความเร็วต่ำ” ที่สามารถผลิตกำลังไฟฟ้าได้แม้ในความเร็วลมเพียง 2.5 เมตรต่อวินาที ซึ่งเหมาะสมกับสภาพลมในพื้นที่ กังหันลมที่ใช้ในโครงการนี้ยังเป็นผลงานการผลิตของศูนย์วิจัยพลังงานของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี โดยใช้วัสดุภายในประเทศเป็นส่วนประกอบกว่า 80% แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของบุคลากรและอุตสาหกรรมไทยในการพัฒนากังหันลมแนวตั้ง
  • การผลิตโดยฝีมือคนไทย มีความพยายามในการพัฒนากังหันลมแนวตั้งโดยฝีมือคนไทย โดยมีการนำยางพาราซึ่งเป็นวัสดุในประเทศมาเป็นส่วนประกอบหลักในใบพัดและโครงสร้าง ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยลดต้นทุน แต่ยังเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตทางการเกษตรของไทย กังหันลมขนาดเล็กเหล่านี้ถูกออกแบบมาให้เหมาะกับความเร็วลมเฉลี่ยทั่วประเทศ และสามารถนำไปใช้ชาร์จแบตเตอรี่เพื่อจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าขนาดเล็กได้
  • การใช้งานในภาคเอกชนและครัวเรือน บริษัทและผู้ประกอบการบางรายในประเทศไทยได้นำเสนอกังหันลมแนวตั้งสำหรับติดตั้งในบ้านเรือน ธุรกิจขนาดเล็ก หรือรีสอร์ท เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของระบบพลังงานทางเลือก ซึ่งมักจะใช้ร่วมกับแผงโซลาร์เซลล์เพื่อสร้างระบบไฮบริดที่สามารถผลิตไฟฟ้าได้ตลอดทั้งวันและคืน
  • แนวโน้มในอนาคต แม้ว่ากังหันลมแนวแกนนอนขนาดใหญ่จะยังคงเป็นกำลังหลักในการผลิตไฟฟ้าจากลมในระดับอุตสาหกรรมของประเทศไทย แต่กังหันลมแนวตั้งกำลังเข้ามาเติมเต็มช่องว่างในตลาดพลังงานขนาดเล็กและในเขตเมือง ด้วยข้อดีที่ตอบโจทย์การใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีข้อจำกัดมากขึ้น การพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง การลดต้นทุน และการสนับสนุนจากภาครัฐ จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้กังหันลมแนวตั้งมีบทบาทมากขึ้นในภูมิทัศน์พลังงานสะอาดของประเทศไทยในอนาคต

ตารางสรุปสถานการณ์กังหันลมแนวตั้งในประเทศไทย

ด้านรายละเอียด
งานวิจัยและพัฒนา– MTEC วิจัย Darrieus ที่เริ่มหมุนเองได้
– พัฒนาเครื่องกำเนิดไฟฟ้าลดแรงต้าน
– สถาบันการศึกษาหลายแห่งวิจัยต่อเนื่อง
โครงการเด่น– โครงการชั่งหัวมันฯ ติดตั้ง VAWT ผลิตโดย มทร.ธัญบุรี
– ใช้ VAWT ที่ทำงานได้ในลมต่ำ (2.5 ม./วินาที)
การผลิตในประเทศ– มีการพัฒนา VAWT โดยฝีมือคนไทย
– ใช้วัสดุในประเทศ เช่น ยางพารา เป็นส่วนประกอบสำคัญ
การประยุกต์ใช้– ระบบไฟฟ้าสำหรับบ้านเรือนและธุรกิจขนาดเล็ก
– ระบบไฮบริดร่วมกับโซลาร์เซลล์
– โครงการสาธิตและวิจัย
ศักยภาพ– เหมาะสำหรับพื้นที่ลมต่ำและลมปั่นป่วนในเมือง
– ตอบโจทย์การผลิตไฟฟ้ากระจายศูนย์ (Distributed Generation)

อนาคตของกังหันลมแนวตั้ง

กังหันลมแนวตั้งเป็นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพสูงในการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์พลังงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตเมืองที่การติดตั้งกังหันลมแนวแกนนอนขนาดใหญ่ทำได้ยาก ด้วยการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และแก้ไขข้อจำกัดต่างๆ กังหันลมแนวตั้งจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการผลิตพลังงานสะอาดที่อยู่ใกล้ตัวเรามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นบนดาดฟ้าอาคาร บ้านเรือน หรือแม้แต่ตามแนวถนน

แนวคิดที่ว่าตึกในเมืองจะกลายเป็น “ฟาร์มพลังงานขนาดย่อม” ที่สามารถผลิตไฟฟ้าใช้เองได้ ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป ด้วยนวัตกรรมอย่างกังหันลมแนวตั้งที่สามารถทำงานร่วมกับเทคโนโลยีพลังงานสะอาดอื่นๆ เช่น โซลาร์เซลล์ เพื่อสร้างระบบพลังงานแบบผสมผสานที่ยั่งยืนและมีเสถียรภาพ การพัฒนาเหล่านี้จะช่วยให้เราเข้าใกล้เป้าหมายการลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิล และสร้างอนาคตที่สะอาดและยั่งยืนสำหรับทุกคน

สรุป

กังหันลมแนวตั้งเป็นนวัตกรรมพลังงานลมที่โดดเด่นด้วยความสามารถในการรับลมได้จากทุกทิศทาง ทำงานได้ดีในสภาพลมต่ำและปั่นป่วน มีเสียงรบกวนต่ำ และเหมาะสำหรับการติดตั้งในพื้นที่จำกัด โดยเฉพาะในเขตเมือง แม้จะมีข้อจำกัดด้านประสิทธิภาพโดยรวมเมื่อเทียบกับกังหันลมแนวแกนนอน แต่ด้วยการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการประยุกต์ใช้ในโครงการต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพอันยิ่งใหญ่ของกังหันลมประเภทนี้

ในประเทศไทยเองก็มีการศึกษา วิจัย และพัฒนา กังหันลมแนวตั้งอย่างจริงจัง โดยมีโครงการต้นแบบและการผลิตโดยฝีมือคนไทยที่น่าภาคภูมิใจ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการพึ่งพาตนเองด้านพลังงาน และการก้าวไปสู่สังคมที่ใช้พลังงานสะอาดอย่างยั่งยืน กังหันลมแนวตั้งจึงเป็นมากกว่าแค่เทคโนโลยี แต่เป็นความหวังและก้าวสำคัญในการสร้างอนาคตพลังงานที่ยั่งยืนสำหรับโลกของเรา

ประเด็นสำคัญ:

  • ญี่ปุ่นมุ่งสู่ “สังคมไฮโดรเจน” โดยบูรณาการไฮโดรเจนในภาคการขนส่ง การผลิตเหล็ก ก๊าซ และไฟฟ้า
  • ญี่ปุ่นส่งเสริมการใช้ไฮโดรเจนในโรงไฟฟ้า การผสมก๊าซ และรถยนต์โดยสาร ซึ่งนำไปสู่คำถามเกี่ยวกับการกำหนดเป้าหมายเชิงกลยุทธ์และความเป็นไปได้
  • การเดินทางของญี่ปุ่นเน้นย้ำถึงความสำคัญของกลยุทธ์ระดับชาติที่ปรับให้เข้ากับเทคโนโลยี การออกแบบตลาด และความเป็นจริงทางภูมิรัฐศาสตร์

ในขณะที่โลกเร่งพัฒนาพลังงานยั่งยืน ญี่ปุ่นได้สร้างความโดดเด่นด้วยการมุ่งมั่นอย่างกล้าหาญในการใช้ไฮโดรเจนเป็นรากฐานของอนาคตพลังงาน

สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) คาดการณ์ว่าความต้องการไฮโดรเจนทั่วโลกจะแตะ 130 ล้านตันภายในปี 2573 เพิ่มขึ้น 45% จากปี 2566 และพุ่งสูงถึง 430 ล้านตันภายในปี 2593 นับตั้งแต่ปี 2560 ญี่ปุ่นได้วาดภาพ “สังคมไฮโดรเจน” ที่นำไฮโดรเจนไปใช้ในหลากหลายภาคส่วน ตั้งแต่การขนส่ง การผลิตเหล็ก ไปจนถึงก๊าซและไฟฟ้า ญี่ปุ่นเป็นชาติแรกที่เผยแพร่กลยุทธ์ไฮโดรเจนแห่งชาติ โดยวางไฮโดรเจนเป็นเสาหลักของความสามารถในการแข่งขันทางอุตสาหกรรมและความมั่นคงด้านพลังงาน

เกือบทศวรรษต่อมา ความพยายามอันทะเยอทะยานของญี่ปุ่นมอบทั้งแรงบันดาลใจและบทเรียนเตือนใจ ในยุคที่ถูกกำหนดโดยความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี และเป้าหมายด้านสภาพอากาศที่เร่งด่วน การทดลองที่มีเดิมพันสูงของญี่ปุ่นทำหน้าที่เป็นกรณีศึกษาที่ทันสมัยเกี่ยวกับความซับซ้อนของการเปลี่ยนผ่านพลังงาน

จากวิสัยทัศน์สู่การปรับทิศทาง: กลยุทธ์ไฮโดรเจนที่พัฒนาขึ้น

กลยุทธ์ไฮโดรเจนขั้นพื้นฐานของญี่ปุ่นในปี 2560 ได้กำหนดเส้นทางที่มุ่งมั่น โดยตั้งเป้าสร้างห่วงโซ่อุปทานไฮโดรเจนที่ปราศจากคาร์บอน ความหวังนี้ได้รับการหนุนจากนวัตกรรมในประเทศ เช่น เทคโนโลยีเซลล์เชื้อเพลิงของโตโยต้า และการเปิดตัวเรือขนส่งไฮโดรเจนเหลวลำแรกของโลก Suiso Frontier

ภายในปี 2566 ความท้าทายในทางปฏิบัติทำให้ต้องมีการปรับกลยุทธ์ใหม่ กลยุทธ์ฉบับปรับปรุงใช้กรอบ “ความปลอดภัย + 3E” ที่เน้นความปลอดภัย ความมั่นคงด้านพลังงาน ประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ และความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม โดยระบุแผนการลงทุนภาครัฐและเอกชนมูลค่า 15 ล้านล้านเยน (100 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) และเน้นความร่วมมือระหว่างประเทศ การปรับปรุงนี้แสดงถึงการมุ่งสู่วิสัยทัศน์ไฮโดรเจนสีเขียว ซึ่งสอดคล้องกับคำมั่นสัญญาความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2593 ของญี่ปุ่นและแนวโน้มโลก IEA คาดว่าไฮโดรเจนที่มีการปล่อยมลพิษต่ำ โดยเฉพาะไฮโดรเจนสีเขียว จะครองสัดส่วน 98% ของการบริโภคทั้งหมดภายในปี 2593

ถึงแม้จะมีการปรับเปลี่ยน วิสัยทัศน์ไฮโดรเจนของญี่ปุ่นยังคงครอบคลุม แตกต่างจากแนวทางทั่วไปที่สงวนไฮโดรเจนไว้สำหรับภาคส่วนที่ลดคาร์บอนได้ยาก เช่น เหล็ก การขนส่ง และการบิน ญี่ปุ่นยังคงผลักดันการใช้ไฮโดรเจนในโรงไฟฟ้า การผสมก๊าซ และรถยนต์โดยสาร ขอบเขตที่กว้างขวางนี้ก่อให้เกิดคำถามเกี่ยวกับการจัดลำดับความสำคัญเชิงกลยุทธ์และความเป็นไปได้

ความไม่มั่นคงด้านพลังงาน: แรงผลักดันหลัก

ความไม่มั่นคงด้านพลังงานที่ฝังรากลึกของญี่ปุ่นเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของกลยุทธ์ไฮโดรเจน ในฐานะชาติหมู่เกาะที่ขาดแคลนทรัพยากร ญี่ปุ่นต้องนำเข้าพลังงานถึง 87% โดยความสามารถในการพึ่งพาตนเองลดลงอย่างมากนับตั้งแต่ภัยพิบัตินิวเคลียร์ฟุกุชิมะ ความเชื่อมั่นของสาธารณชนต่อพลังงานนิวเคลียร์ยังคงเปราะบาง และการขยายพลังงานหมุนเวียนถูกจำกัดด้วยข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์และความท้าทายในการเชื่อมโยงระบบกริด

ด้วยโครงสร้างพื้นฐานพลังงานหมุนเวียนในปัจจุบัน ญี่ปุ่นจำเป็นต้องนำเข้าไฮโดรเจนหมุนเวียน ซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งเชิงกลยุทธ์ แม้ว่าไฮโดรเจนจะถูกยกย่องว่าเป็นทางออกสำหรับความมั่นคงด้านพลังงาน แต่การนำไปใช้จริงอาจสร้างรูปแบบใหม่ของการพึ่งพาผู้ส่งออกไฮโดรเจน

ความท้าทายในกลยุทธ์ไฮโดรเจนของญี่ปุ่น

  • ต้นทุนสูง: ไฮโดรเจนสีเขียวยังมีราคาแพงกว่าเชื้อเพลิงทั่วไปมาก แม้ว่ารัฐบาลญี่ปุ่นตั้งเป้าลดต้นทุนผ่านการขยายขนาดและนวัตกรรม แต่เส้นทางยังคงไม่แน่นอน การศึกษาล่าสุดระบุว่า แม้ต้นทุนการผลิตไฮโดรเจนจะลดลงเหลือ 2 ดอลลาร์สหรัฐ/กก. ต้นทุนการลดคาร์บอนอาจยังสูงถึง 500-1,250 ดอลลาร์สหรัฐ/ตันคาร์บอนไดออกไซด์ในหลายภาคส่วน นอกจากนี้ ต้นทุนการจัดเก็บและขนส่งก็เป็นอุปสรรคสำคัญ
  • การพึ่งพาการนำเข้าต่อเนื่อง: การเปลี่ยนจากการนำเข้าเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นไฮโดรเจนอาจเพียงแค่เปลี่ยนรูปแบบการพึ่งพา แต่ไม่แก้ปัญหาความเปราะบางเชิงโครงสร้าง เนื่องจากความสามารถในการส่งออกไฮโดรเจนของประเทศคู่ค้ายังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ความเสี่ยงจากการจัดหาล่าช้าหรือราคาผันผวนจึงยังคงมีอยู่
  • ความไม่แน่นอนของอุปสงค์: แม้ว่าญี่ปุ่นจะให้คำมั่นจัดซื้อไฮโดรเจน 12 ล้านตันต่อปีภายในปี 2583 แต่รัฐบาลยังไม่ระบุชัดเจนว่าจะจัดสรรให้ภาคส่วนใดบ้าง ความคลุมเครือนี้ทำให้การวางแผนการลงทุนและปรับนโยบายเป็นเรื่องยาก

ความท้าทายของห่วงโซ่อุปทานโลก

เพื่อความมั่นคงด้านอุปทาน ญี่ปุ่นได้สร้างความร่วมมือด้านไฮโดรเจนกับออสเตรเลีย ตะวันออกกลาง และสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตาม ห่วงโซ่อุปทานไฮโดรเจนหมุนเวียนทั่วโลกยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ข้อมูลจาก IEA ระบุว่า แม้ออสเตรเลียและสหรัฐฯ จะมีโครงการไฮโดรเจนหมุนเวียนกว่า 300 โครงการ แต่มีเพียงส่วนน้อยที่ดำเนินการได้จริง ตัวอย่างเช่น กำลังการผลิตของออสเตรเลียคิดเป็นเพียง 0.004% ของผลผลิตที่คาดการณ์ไว้ ความไม่สอดคล้องนี้เน้นย้ำถึงความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์และโลจิสติกส์ ญี่ปุ่นจึงต้องกระจายแหล่งไฮโดรเจนและสร้างสำรองเชิงยุทธศาสตร์

บทเรียนเชิงกลยุทธ์สำหรับอนาคตไฮโดรเจน

ความก้าวหน้าทางนโยบายทำให้ญี่ปุ่นเป็นผู้นำระดับโลก โดยครองสิทธิบัตรที่เกี่ยวข้องกับไฮโดรเจน 24% และบุกเบิกนวัตกรรมในการขนส่งไฮโดรเจนเหลวและการเผาไหม้ร่วมกับแอมโมเนีย อย่างไรก็ตาม การเดินทางนี้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการจัดลำดับความสำคัญที่ชัดเจน การมุ่งเน้นไปยังภาคส่วนที่มีคุณค่าสูง เช่น การผลิตเหล็ก การสังเคราะห์แอมโมเนีย การขนส่งหนัก และการบิน จะช่วยเพิ่มผลกระทบสูงสุด การขยายไปสู่รถยนต์โดยสารหรือการใช้งานในครัวเรือนอาจกระจายทรัพยากรโดยไม่เกิดประโยชน์ตามสัดส่วน

สัญญาระยะยาวที่มีราคาคงที่กับประเทศผู้ส่งออกไฮโดรเจนที่หลากหลายจะช่วยลดความเสี่ยงด้านราคาและการจัดหา การร่วมมือกับภูมิภาคที่มีศักยภาพด้านพลังงานหมุนเวียนสูงและความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ต่ำ เช่น ละตินอเมริกา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และแอฟริกา จะยิ่งเสริมความแข็งแกร่งให้กลยุทธ์ของญี่ปุ่น

ที่มา: Harvard University
Source : กรุงเทพธุรกิจ

ไฮโดรเจนสีเขียว หรือเรียกสั้นๆว่า กรีนไฮโดรเจน (Green Hydrogen) กำลังจะกลายเป็นพลังงานทางเลือกที่เป็นพลังงานสะอาดที่ดีสำหรับโลกเราในตอนนี้ เพราะเป็นพลังงานสะอาดที่ช่วยให้โลกสามารถลดมลพิษเป็นศูนย์ได้ เรียกง่ายๆ ว่า เป็นกุญแจสำหรับสู่ Net Zero แม้ว่าไฮโดรเจนสีเขียวยังมีต้นทุนที่สูงเมื่อเทียบกับเชื้อเพลิงฟอสซิล และพลังงานทางเลือกอื่นๆ ก็ตาม ซึ่งเชื่อว่าหากได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ต้นทุนที่ว่าสูงนี้ก็จะค่อยๆ ลดลงได้เช่นกัน ในบทความนี้ทางคณะทำงานด้านพลังงานหอการค้าไทยได้รวบรวมเอาเรื่องราวของไฮโดรเจนสีเขียวมาฝากกัน ไปติดตามอ่านกันได้เลย

ไฮโดรเจนสีเขียว (Green Hydrogen) คืออะไร

ไฮโดรเจนสีเขียว

ไฮโดรเจนสีเขียวเป็นพลังงานสะอาดชนิดหนึ่ง ซึ่งผลิตขึ้นโดยใช้กระแสไฟฟ้า เพื่อแยกโมเลกุลไฮโดรเจนออกจากโมเลกุลของออกซิเจนในน้ำ ทำให้เกิดผลพลอยได้ในกระบวนการผลิตที่เกิดจากการเผาไหม้ไฮโดรเจนที่ไม่ใช้คาร์บอนไดออกไซค์แต่เป็นน้ำ ซึ่งกระบวนการนี้ทำให้เราทราบว่า ไม่ว่าจะเป็นน้ำ หรือก๊าซ ก็สามารถเป็นแหล่งสกักไฮโดรเจนออกมาได้ แต่ว่าจะออกมาเป็นไฮโดรเจนประเภทไหนนั้น ก็ขึ้นอยู่กับกระบวนการผลิต ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามรูปแบบเชื้อเพลิงที่ใช้ รวมถึงการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิต โดยสามารถแบ่งประเภทของไฮโดรเจนออกมาได้อีกหลายประเภทดังนี้

  • บราวน์ไฮโดรเจน (Brown Hydrogen) หรือไฮโดรเจนสีน้ำตาล เป็นไฮโดรเจนที่ผลิตโดยใช้ถ่านหินผ่านกระบวนการที่เรียกว่า Coal Gasification ซึ่งวิธีการนี้จะทำให้เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนประมาณ 16 กิโลกรัมต่อไฮโดรเจน 1 กิโลกรัมที่ผลิตออกมาได้ ส่วนใหญ่จะมีการผลิตในประเทศจีนซึ่งถ่านหินเป็นจำนวนมาก
  • เกรย์ไฮโดรเจน (Grey Hydrogen) หรือไฮโดรเจนสีเทา เป็นไฮโดรเจนที่ได้จากก๊าซธรรมชาติ หรือนำมัน โดยผ่านกระบวนการ Steam Reforming ซึ่งกระบวนการนี้จะก่อให้เกิดก๊าชคาร์บอนประมาณ 9 กิโลกรัมต่อไฮโดรเจน 1 กิโลกรัมที่ผลิตได้
  • เทอร์ควอยไฮโดรเจน (Turquoise Hydrogen) หรือไฮโดรเจนสีฟ้าคราม เป็นไฮโดรเจนที่ผลิตได้จากการแยกมีเทนออกมาเป็นคาร์บอนและไฮโดรเจน ผ่านกระบวนการ Methane Pyrolysis ซึ่งคาร์บอนที่ผลิตออกมาได้นั้นสามารถนำไปใช้เป็นวัตถุดิบเชิงพาณิชย์ได้ แต่ว่าตอนนี้ยังอยู่ในช่วงของการพัฒนา และยังไม่มีการนำไปใช้เชิงพาณิชย์ใดๆ เลย
  • บลูไฮโดรเจน (Blue Hydrogen) หรือไฮโดรเจนสีฟ้า เป็นไฮโดรเจนที่ใช้กระบวนการผลิตแบบเดียวกับเกรย์ไฮโดรเจน ซึ่งใช้กระบวนการ Steam Reforming แต่จะมีการเพิ่มเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture Utilization and Storage : CCUS) เข้ามาเพื่อช่วยในการลดการปล่อยคาร์บอน โดยกระบวนการผลิตบลูไฮโดรเจน จะปล่อยคาร์บอนประมาณ 3 – 6 กิโลกรัมต่อไฮโดรเจน 1 กิโลกรัมที่ผลิตออกมาได้
ไฮโดรเจนสีเขียว

ดังนั้นหากเทียบประเภทของไฮโดรเจนทั้งหมดแล้ว จะพบว่ากรีนไฮโดรเจน จะมีกระบวนการผลิตที่สะอาดมากที่สุด เพราะไม่มีการปล่อยคาร์บอนออกมาเลย แต่ก็ยังมีข้อจำกัดในเรื่องของต้นทุนการผลิตที่ยังค่อนข้างสูงอยู่นั่นเอง ซึ่งในอนาคตหากมีการนำมาใช้อย่างจริงจังและแพร่หลายมากขั้น ก็น่าจะช่วยในเรื่องของการลดต้นทุนได้อีกมาก

ข้อดีและข้อเสียงของกรีนไฮโดรเจน

สำหรับกรีนไฮโดรเจนนั้นแม้จะมีข้อดีที่เห็นอย่างชัดเจน แต่ก็ยังมีข้อเสียอยู่เช่นเดียวกัน หากเรานำมาใช้เป็นพลังงานแล้วมาดูกันว่าข้อดีและข้อเสียมีอะไรกันบ้าง

ข้อดี

  • ไม่มีอันตรายใดๆ ไม่เหมือนถังแก๊ส NGV, LPG
  • วัสดุหาง่าย ใช้น้ำเปล่า 100%
  • เครื่องยนต์เผาไหม้ดีขึ้น ช่วยลดควันดำ
  • สามารประหยัดน้ำมันได้ถึง 40 – 60%
  • มีระบบระบายความร้อนที่ควบคุมทางอิเลคทรอนิคส์
  • ปรับการผลิตก๊าซได้ตามรอบเครื่องยนต์

ข้อเสีย

  • มีราคาแพง
  • ประสิทธิภาพเชิงความร้อนต่ำ มีปัญหาเรื่องการจุดระเบิดย้อนกลับ (BACKFIRE)
  • ต้องใช้เงินลงทุนในการผลิตเป็นจำนวนมหาศาล
  • ยากต่อการจัดเก็บ การขนส่งและการบรรทุก
  • ประสิทธิภาพยังทำได้แค่เพียง 1 ใน 4 ของก๊าซธรรมชาติ

แม้ว่ากรีนไฮโดรเจนจะมีข้อเสียต่างๆ ตามที่นำเสนอไปนั้น แต่เชื่อว่าในอนาคตจะมีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อแก้ไขข้อเสียต่างๆ นั้นได้จนหมด และปัจจุบันมีโครงการที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและการใช้ไฮโดรเจนทั่วโลกกว่า 200 โครงการ ซึ่งคาดว่าจะมีโครงการใหม่ๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ไฮโดรเจนสีเขียว

โดยซาอุดิอาระเบียเป็นประเทศที่มีการตั้งเป้าหมายในการผลิตไฮโดรเจนให้ได้มากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลก ราว 4 ล้านตันต่อปี ภายในปี 2030 นี้ และ กำลังสร้างโรงงานพลังงานสีเขียวและแอมโมเนียที่ใหญ่ที่สุดในนีโอม ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น “เมืองแห่งอนาคต” นอกจากนี้ ACWA Power บริษัทพลังงานของซาอุดิอาระเบีย ได้ลงนามในข้อตกลงกับ Air Products บริษัทอุตสาหกรรมเคมีของสหรัฐฯ เพื่อสร้างโรงงาน ซึ่งจะใช้พลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ทั่วทั้งทะเลทราย และคาดว่าจะขับเคลื่อนซาอุดิอาระเบียสู่การปลอดคาร์บอนในอนาคต

ส่วนประเทศญี่ปุ่นก็มีการจัดตั้งโรงงานกรีนไฮโดรเจนอยู่ใกล้กับฟุกุชิมะ โดยจะเน้นผลิตเพื่อนำไปใช้งานเป็นหลักเนื่องจากไม่มีทรัพยากรมากพอที่จะผลิตเพื่อใช้ในประเทศได้อย่างเพียงพอ สภาพยุโรปได้ประกาศการขยายลงทุนในกรีนไฮโดรเจนขนาดใหญ่มูลค่ากว่า 500 ล้านเหรียญ

และในเยอรมันนีก็เป็นอีกประเทศที่มีการผลิตไฮโดรเจนมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากทางรัฐบาลในเรื่องของการผลิต และยังมีการสนับสนุนภาพอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานไฮโดรเจนสีเขียวอีกด้วย โดยมีโครงการ “National Hydrogen Strategy” เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมไฮโดรเจน ซึ่งทำเงินได้ถึง 7 พันล้านยูโรสำหรับการเปิดตัวไฮโดรเจนสีเขียวในเยอรมนี และอีก 2 พันล้านยูโรสำหรับพันธมิตรระหว่างประเทศ

ไฮโดรเจนสีเขียว

นอกจากนี้ยังมีประเทศออสเตรเลีย และชิลีที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่าจะเป็นประเทศผู้ส่งออกไฮโดรเจนรายใหญ่ของโลก เพราะทั้งสองประเทศนี้มีทรัพยากรทางธรรมชาติและโครงสร้างต่างๆ ที่เอื้อต่อการผลิตและการส่งออกไฮโดรเจนนั่นเอง โดยชิลีได้มีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านไฮโดรเจนเนื่องจากทรัพยากรลมที่เหมาะสมที่สุด

แหล่งข้อมูล
Green Network Thailand
ฐานเศรษฐกิจ
ภาพประกอบ
Freepik

ระหว่างธันวาคมนี้ไปจนถึงมีนาคมปีหน้า จะได้มีการทดสอบ การผลิตกระแสไฟฟ้าจากหิมะ ในเมืองอาโอโมริ ทางภาคเหนือของญี่ปุ่น

เพื่อใช้เป็นทางเลือกในการผลิตกระแสไฟฟ้าในเมืองซึ่งทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องเห็นตรงกันว่าทั้งประหยัดและเหมาะสมกับเมืองอย่างมาก

แนวคิดนี้พัฒนาขึ้นโดยอาจารย์ภาควิชาด้านไฟฟ้าของมหาวิทยาลัยโตเกียว ร่วมกับบริษัท Start-up ด้าน IT และสภาเมือง โดยจะนำหิมะที่ต้องเก็บกวาดตามหนทางในเมืองมาใส่ ใส่ลมร้อนเข้าไปจนอุณหภูมิเกิดการเปลี่ยนแปลง

และอากาศหมุนเวียนกลายเป็นลม จนไปหมุนใบพัดของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าและสร้างกระแสไฟฟ้าออกมา

นี่ถือเป็นการประหยัดงบในการผลิตกระแสไฟฟ้าได้มาก เพราะได้หิมะมาจากหิมะที่ต้องกวาดทิ้งทะเลไปเฉยๆโดยไม่ไช้ประโยชน์อะไร และปริมาณไฟฟ้าผลิตที่ได้ใกล้เคียงกับที่ได้จากแผงโซลาร์เซลล์อีกด้วย

ทีมคิดค้นเชื่อว่า ไฟฟ้าจากหิมะนี้จะเหมาะกับเมืองหนาวอย่าง อาโอโมริ ที่ทุกปีมีหิมะตกมาในปริมาณมาก

และต้องจัดเตรียมงบก้อนใหญ่ในแต่ละปีเพื่อเก็บกวาดหิมะทิ้งไป โดยกำลังอยู่ระหว่างพัฒนาระบบกักเก็บไฟฟ้าที่ผลิตได้นี้ไว้ใช้ได้อย่างต่อเนื่องอีกด้วย

สื่อญี่ปุ่นรายงานว่าทีมคิดค้นได้ความคิดในการผลิตไฟฟ้าจากหิมะ มาจากบริษัท Start-up ในยุโรปที่ผลิตไฟฟ้าจากทราย และบริษัทในญี่ปุ่นที่นำอุณหภูมิที่แตกต่างกันของน้ำพื้นผิวทะเลกับน้ำระดับที่ลึกลงไปมาใช้เป็นพลังงานผลิตกระแสไฟฟ้า

พร้อมกันนี้ยังคิดว่าน่าจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการผลิตไฟฟ้า ในยุคที่โลกโหยหาพลังงานสะอาดเพื่อลดการพึ่งพาน้ำมัน ตามเทรนด์ใส่ใจสิ่งแวดล้อม

และเหมาะมากกับประเทศที่มีหิมะตกเป็นประจำ รวมไปถึงประเทศหนาวมีหิมะตกและกำลังประสบวิกฤตพลังงานอย่างยูเครนอีกด้วย / nikkei

Source : Marketeer

สุพัฒนพงษ์ เปิด 4 แนวทางนำไทยสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ปี 2050 เดินหน้าลดสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลลงให้เหลือน้อยกว่า 50% รวมทั้งเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่ที่เป็นพลังงานสะอาด

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยในการกล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “บทสรุปทิศทางของประเทศไทยสู่ Green Energy & Economy” ภายในงานสัมมนา TEA FORUM 2022 “Mission Possible: Energy Transition to the Next 2050” ว่า

สำหรับแผนที่ไทยจะก้าวสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2050 โดยการทำงานร่วมกันระหว่างกระทรวงพลังงานและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีแนวทางสำคัญ 4 ด้าน  ได้แก่ 

  • มีเป้าหมายที่จะลดสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลลงให้เหลือน้อยกว่า 50% รวมทั้งเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่ที่เป็นพลังงานสะอาด และการทำสัญญาซื้อพลังงานน้ำจากลาวเพิ่มขึ้น โดยมีเป้าหมายระยะยาวคือการให้มีการใช้พลังงานสะอาดเป็นส่วนใหญ่ซึ่งผลิตได้ในประเทศเพื่อลดการนำเข้าเชื้อเพลิงฟอสซิล
  • ส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ โดยตั้งเป้าให้มีการใช้รถอีวีมากขึ้นตามนโยบาย 30@30 เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากภาคการขนส่งราว 100 ล้านตันต่อปี 

ทั้งนี้ มาตรการส่งเสริมการใช้อีวีได้รับการตอบรับอย่างดีจากอุปสงค์ในประเทศ ซึ่งมีผู้ประกอบการที่เข้าร่วมแล้วอย่างน้อย 4 บริษัท จะเป็นการสัดส่วนการผลิตรถอีวีในประเทศราว 10% ในอีก 2 ปีต่อจากนี้

  • การลดใช้พลังงานในภาคส่วนอื่นๆ อาทิ อาคารสำนักงาน ที่อยู่อาศัย ให้มีความเข้มข้นการใช้พลังงานลดลง 40% ด้วยการใช้เทคโนโลยีเซนเซอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เข้ามาช่วยลดการใช้พลังงาน และลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 

เปิด 4 แนวทางนำไทยสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนปี 2050

เปิด 4 แนวทางนำไทยสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนปี 2050

  • ส่งเสริมการปลูกป่าเพื่อดักจับและดูดซับคาร์บอนที่เกิดจากภาคการผลิตและอุตสาหกรรม โดยเปลี่ยนแนวคิดจากการทำ CSR ขององค์กรเอกชนเป็นโอกาสในการสร้างรายได้จากการมีคาร์บอนเครดิต นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาเทคโนโลยีในการนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมาจากภาคอุตสาหกรรมให้กลับลงสู่บ่อก๊าซธรรมชาติที่ไทยมี ซึ่งคาดว่าจะกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 2,700 ล้านตัน

นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวต่อไปอีกว่า การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานเป็นทิศทางที่ปรากฏชัดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และกลายเป็นเมกะเทรนด์โลกที่ชัดเจนขึ้นเมื่อหลายประเทศทั่วโลกต้องเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างรุนแรงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จากสาเหตุสำคัญคือการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ 

ซึ่งไทยเองได้ประกาศจุดยืนบนเวทีโลกในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสมัยที่ 26 (COP26) ที่เมืองกลาสโกว์ ประเทศสกอตแลนด์ เมื่อปลายปีที่ผ่าน ที่จะก้าวสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนให้ได้ภายในปี 2050 เป้าหมายที่ท้าทายยิ่งขึ้นจากเดิมที่กำหนดไว้ปี 2075

“ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากเป็นลำดับต้นๆ ของโลก ดังนั้นแทนที่จะต้องตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาจากทั่วโลก ไทยจึงต้องอาสาเป็นต้นแบบประเทศที่ก้าวสู่ความเปลี่ยนแปลงสู่ความเป็นการทางคาร์บอน”

ขณะเดียวกันแผนการเดินหน้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนต้องเกิดขึ้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากประเทศที่กุมเศรษฐกิจโลกกว่า 75% ได้ทำความตกลงร่วมกันแล้วในการตั้งกติกาใหม่ให้การปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เป็นข้อจำกัดทางการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันไทยมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 350 ล้านตันต่อปี 

Source : ฐานเศรษฐกิจ