กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) เปิดรับฟังความเห็น “(ร่าง) แผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2567 – 2580 (Oil Plan 2024)” วันแรก เผยสาระสำคัญเตรียมลดชนิดน้ำมันที่จำหน่ายในประเทศลง พร้อมยกเลิกจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 ในปี 2568 และอยู่ระหว่างเลือกแก๊สโซฮอล์ 95 หรือ E20 เป็นน้ำมันพื้นฐาน ส่วนดีเซลกำหนดให้ B7 เป็นน้ำมันพื้นฐาน พร้อมขยายสัดส่วนการผสมน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ระหว่าง 5- 9.9% ในอนาคตจ่อดันรถบรรทุกใช้เชื้อเพลิงไฮโดรเจน กำหนดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2578-2580 หนุนส่งเสริมการขนส่งน้ำมันทางท่อให้ถึงสัดส่วน 55% ในปี 2580 และเพิ่มสำรองน้ำมันเชิงยุทธศาสตร์ในประเทศให้ได้ 90 วัน หรือ 14,310 ล้านลิตร จากปัจจุบันไทยมีสำรองโดยรวมทั้งหมด 70-75 วัน คาดแผน Oil Plan 2024 ช่วยให้เกิดเม็ดเงินลงทุนกว่า 113,000 ล้านบาท
วันที่ 28 มิ.ย. 2567 กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ได้เปิดเวทีรับฟังความเห็น “(ร่าง) แผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2567 – 2580 (Oil Plan 2024)” ต่อทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปปรับปรุงแผน Oil Plan 2024 ให้สมบูรณ์ โดยเป็นการเปิดเวทีรับฟังความเห็นในกรุงเทพฯ พร้อมทั้งถ่ายทอดผ่านระบบออนไลน์และออฟไลน์ มีผู้เข้าร่วมกว่า 300 คน นอกจากนี้ ธพ. ยังเปิดรับฟังความคิดเห็นเพิ่มเติมผ่านช่องทางแบบสอบถามออนไลน์ (Google Forms) และอีเมล Oilplan2024@gmail.com ตั้งแต่ 28 มิ.ย. – 12 ก.ค. 2567
สำหรับแผน Oil Plan 2024 เป็นหนึ่งใน “แผนพลังงานชาติ (National Energy Plan)” ซึ่งแผนพลังงานชาติ ประกอบด้วย 5 แผนคือ 1. แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2567-2580 (PDP 2024) 2.แผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ พ.ศ. 2567-2580 (Gas Plan 2024) 3. แผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2567 – 2580 (Oil Plan 2024) 4.แผนปฏิบัติการด้านพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พ.ศ. 2567 – 2580 (AEDP2024) และ 5.แผนปฏิบัติการด้านการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2567 – 2580 (EEP2024)
สำหรับสาระสำคัญของร่างแผน Oil Plan 2024 ก็คือ จะมีการปรับลดชนิดน้ำมันที่จำหน่ายในประเทศ โดยในส่วนของน้ำมันดีเซลจะกำหนดให้ไบโอดีเซลB7 เป็นน้ำมันดีเซลพื้นฐาน และกำหนดสัดส่วนการผสมน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ระหว่าง 5-9.9% (จากปัจจุบันกำหนดสัดส่วนผสมน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ที่ 6.6-7%) นอกจากนี้ยังให้ดีเซล B20 เป็นน้ำมันทางเลือก และจะสนับสนุนให้รถบรรทุกขนาดใหญ่หันไปใช้เชื้อเพลิงไฮโดรเจน โดยจะเริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ระหว่างปี 2578-2580
ขณะที่กลุ่มน้ำมันเบนซินจากปัจจุบันมีจำหน่ายอยู่ 5 ชนิด และอยู่ระหว่างการเลือกว่าจะกำหนดให้แก๊สโซฮอล์ 95 หรือ แก๊สโซฮอล์ E20 เป็นน้ำมันพื้นฐานของประเทศต่อไป ทั้งนี้จะยกเลิกการจำหน่ายแก๊สโซฮอล์ 91 ออกไปภายในปี 2568 ส่วนราคาของแก๊สโซฮอล์ E85 และเบนซิน จะเป็นราคาที่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง
นอกจากนี้ยังตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนการขนส่งน้ำมันทางท่อให้มากขึ้น จากปัจจุบันการขนส่งน้ำมันทางท่อมีสัดส่วนประมาณ 36-39% นอกนั้นเป็นการขนส่งทางรถยนต์ อย่างไรก็ตามในแผน Oil Plan 2024 จะเพิ่มสัดส่วนการขนส่งน้ำมันทางท่อเป็น 45% ในปี 2570 และเป็น 55% ในปี 2580
พร้อมกันนี้จะมุ่งเน้นการสำรองน้ำมันเชิงยุทธศาสตร์ในประเทศให้ได้ 90 วัน ตามนโยบายรัฐบาล หรือประมาณ 14,310 ล้านลิตร จากปัจจุบันไทยมีการสำรองน้ำมันดิบ 6% และน้ำมันสำเร็จรูป 1% ของการจำหน่าย หรือเท่ากับเป็นการสำรองน้ำมันรวม 25 วัน แต่ยังมีในส่วนของผู้ผลิตที่สำรองไว้อีก 45-50 วัน ทำให้วันนี้ไทยยังมีการสำรองน้ำมันโดยรวมประมาณ 70-75 วัน แต่เพื่อความมั่นคงด้านพลังงานจะต้องเพิ่มการสำรองเป็น 90 วัน
อย่างไรก็ตามหลังจากรับฟังความคิดเห็นร่างแผน Oil Plan 2024 แล้ว กระทรวงพลังงานจะรวบรวมทั้ง 5 แผนดังกล่าวไว้ในแผนพลังงานชาติ ซึ่งคาดว่าจะจัดทำเสร็จในเดือน ก.ย. 2567 เพื่อเสนอให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.), คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) พิจารณาและนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อเห็นชอบและประกาศใช้อย่างเป็นทางการต่อไป
นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ในช่วง 2 ปีนี้ สถานการณ์การใช้น้ำมันของประเทศไทยจะยังเผชิญกับปัจจัยความไม่แน่นอนและต้องเตรียมความพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง ทั้งจากการเข้ามาของเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า(EV) ที่ในปี 2566 มียอดจดทะเบียนรถ EV เพิ่มขึ้นกว่า 1 แสนคัน แม้ว่าปี 2567นี้ ยอดจดทะเบียนจะลดลงบ้าง แต่เชื่อว่าในระยะยาว รถ EV จะเติบโตมากขึ้น อย่างแน่นอน
อีกทั้ง ยังมีปัจจัยเรื่องของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ที่มีสถานะติดลบกว่า 1.1 แสนล้านบาท และตาม พ.ร.บ.กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 กำหนดให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง จะต้องยกเลิกการชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพ ทั้งกลุ่มน้ำมันแก๊สโซฮอล์ และน้ำมันไบโอดีเซล ภายในวันที่ 24 ก.ย. 2567 แต่ยังสามารถขอผ่อนผันได้อีก 2 ปี หรือ ไปสิ้นสุดในวันที่ 24 ก.ย. 2569 ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น กองทุนน้ำมันฯ จะไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลือได้แล้ว ทางกระทรวงพลังงาน จึงต้องกำหนดแผนว่าจะดูแลผู้ประกอบการเอทานอลและไบโอดีเซลอย่างไร
โดยเบื้องต้นได้เตรียมแนวทางผลักดันไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับวัตดุดิบ แต่ก็ต้องมีการลงทุนด้านเทคโนโลยี ซึ่งหากเกิดขึ้นได้ทันภายใน 2 ปีนี้ ก็จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจ แต่หากเกิดขึ้นไม่ทันผู้ประกอบการในธุรกิจนี้ก็อาจทยอยล้มหายตายจากไป ก็เป็นเรื่องที่ฝ่ายนโยบายและผู้ประกอบการจะต้องหาทางออกร่วมกัน
นอกจากนี้ ในร่างแผน Oil Plan 2024 ยังต้องพิจารณาเรื่องการขนส่งทางท่อ ซึ่งที่ผ่านมาภาครัฐได้พยายามผลักดันให้เกิดการลงทุนและใช้งานมากขึ้น และหากมีการตอบรับที่ดี ในอนาคตก็อาจขยายการขนส่งไปยังหนองคาย และประเทศลาว ซึ่งจะส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อม ลดการเกิดอุบัติเหตุ และเพิ่มความสะดวกรวดเร็ว แต่ก็ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนด้วย เพื่อส่งเสริมให้เกิดเป็น Single Platform หรือ แพลตฟอร์มการขนส่งแบบไร้รอยต่อ
ขณะเดียวกัน ยังมีเรื่องของ SPR หรือ คลังสำรองน้ำมันเชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ให้ความสำคัญ และมีเป้าหมายที่จะกำหนดให้สำรองน้ำมันฯ อยู่ที่ 90 วัน ก็เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณารายละเอียดต่อว่า จะหางบประมาณมาจากส่วนใด การดูแลรักษาเนื้อน้ำมัน และกลไกการบริหารจัดการจะเป็นอย่างใด ก็เป็นเรื่องที่ต้องหารือกันต่อไป
นายสราวุธ แก้วตาทิพย์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กล่าวว่า ร่างแผน Oil Plan 2024 ได้คาดการณ์ทิศทางความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงโลก ที่มีแนวโน้มลดลงในระยะเวลาไม่เกิน 10 ปีข้างหน้า ซึ่งส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันสูงสุด ( Oil Peak demand) ของประเทศจะไม่เกินปี พ.ศ. 2573 แต่น้ำมันยังคงเป็นเชื้อเพลิงหลัก โดยเฉพาะในภาคขนส่ง จึงได้วางกรอบการบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิงภายใต้วิสัยทัศน์ “ก้าวสู่การเปลี่ยนผ่านพลังงานด้วยความมั่นคง และยกระดับธุรกิจพลังงานเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
สาระสำคัญของ (ร่าง) แผน Oil Plan 2024 ทั้ง 4 ด้าน คือ 1. ด้านการบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อความมั่นคง กรมธุรกิจพลังงานได้วางแผนทบทวนรูปแบบและอัตราการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงให้มีความเหมาะสม รวมถึงจัดหาน้ำมันเชื้อเพลิงให้เพียงพอต่อความต้องการและเพิ่มขีดความสามารถในการรับมือกับภาวะวิกฤตด้านน้ำมันเชื้อเพลิงของประเทศ
2. ด้านการบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิงในภาคขนส่ง เพื่อบริหารจัดการอุปทานน้ำมันเชื้อเพลิงในภาคขนส่งให้สอดคล้องกับความต้องการใช้ที่มีแนวโน้มลดลง บนเงื่อนไขที่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจะไม่สามารถอุดหนุนราคาได้ในอนาคต มีราคาเหมาะสม และสนับสนุนเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศ จึงได้กำหนดแนวทางดำเนินการ ดังนี้
– ภาคขนส่งทางบก จะปรับลดชนิดน้ำมันกลุ่มดีเซลและกำหนดให้มีเบนซินพื้นฐานที่เหมาะสมกับประเทศ นอกจากนี้ยังได้เตรียมความพร้อมด้านกฎระเบียบและมาตรฐานเพื่อกำกับดูแลคุณภาพและความปลอดภัยของการนำเชื้อเพลิงไฮโดรเจนมาใช้ในภาคขนส่งที่คาดว่าจะพร้อมใช้งานเชิงพาณิชย์ในอนาคต
– ภาคขนส่งทางอากาศ จะส่งเสริมการผลิตและการใช้เชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel: SAF) เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในภาคการบิน มุ่งใช้ศักยภาพวัตถุดิบจากในประเทศ เช่น น้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว (used cooking oil : UCO) น้ำมันปาล์มดิบ เอทานอล คาดว่าจะสามารถเสนอให้เริ่มมีสัดส่วนการผสม SAF ที่ 1% ในปี พ.ศ. 2569
– ภาคขนส่งทางน้ำ จะส่งเสริมการผลิตและจำหน่ายเชื้อเพลิงทดแทนสำหรับเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ อาทิ น้ำมันเตากำมะถันต่ำที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพ (B24 VLSFO) ซึ่งปัจจุบันที่ตลาดสิงคโปร์มีการซื้อขาย B24 (ผสมเชื้อเพลิงชีวภาพ 24%)
3. ด้านการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านการผลิตและขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง กรมธุรกิจพลังงานได้วางแนวทางปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง ประกอบด้วยการกำกับดูแลการผลิตน้ำมันสำเร็จรูปของโรงกลั่นน้ำมัน การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการจัดการคลังน้ำมัน ผลักดันการขนส่งน้ำมันทางท่ออย่างเต็มประสิทธิภาพ และส่งเสริมการติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้าในสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง
4. ด้านการส่งเสริมธุรกิจใหม่ในอนาคต เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุปทานน้ำมันเชื้อเพลิงให้สามารถปรับตัวจากการเปลี่ยนผ่านพลังงานและสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ กรมธุรกิจพลังงานได้จัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อส่งเสริมการลงทุนในธุรกิจใหม่สำหรับขับเคลื่อนในระดับนโยบายประเทศ ประกอบด้วย ธุรกิจปิโตรเคมีพลาสติกชีวภาพ เชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืนและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่อง อาทิ ดีเซลชีวภาพสังเคราะห์ และน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพ พร้อมเสนอกลไกการขับเคลื่อนร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดการลงทุนอย่างเป็นรูปธรรมภายในปี 2570
โดยภาพรวมผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการตาม (ร่าง) แผน Oil Plan 2024 ฉบับนี้ คาดว่าในมิติด้านเศรษฐกิจ จะมีเม็ดเงินลงทุนกว่า 113,000 ล้านบาท สามารถช่วยสร้างรายได้ให้กับผู้ผลิตไบโอดีเซลและเอทานอลกว่า 71,000 ล้านบาทต่อปี และช่วยประหยัดเงินตราต่างประเทศจากการนำเข้าน้ำมันดิบได้ 59,000 ล้านบาทต่อปี ส่วนในมิติด้านสังคมนั้น จะช่วยสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร 41,500 ล้านบาทต่อปี และในมิติด้านสิ่งแวดล้อม จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 7.1 ล้านตัน เทียบเท่าการปลูกป่าโกงกางขนาด 2.6 ล้านไร่ต่อปี
Source : Energy News Center