เหลือจะเชื่อ! การวิเคราะห์ใหม่เผยให้เห็นว่ามากกว่าครึ่งหนึ่งของการปล่อยก๊าซคาร์บอนจากเชื้อเพลิงฟอสซิลทั้งหมดในปี 2023 มาจากบริษัทเพียง 36 บริษัทถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซ รวมถึง Saudi Aramco, Shell, ExxonMobil, Coal India และบริษัทจีนหลายแห่ง มีส่วนเชื่อมโยงกับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่า 20,000 ล้านตัน
InfluenceMap กลุ่มวิจัยด้านสภาพอากาศ เผยแพร่รายงาน Carbon Majors การคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากการเผาไหม้ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซที่ผลิตโดยบริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิลรายใหญ่ 169 แห่งในปี 2023 พบว่า 93 บริษัทปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2022
ในปี 2023 ถ่านหินเป็นแหล่งกำเนิดของการปล่อยมลพิษ 41% ของทั้งหมด ตามมาด้วยน้ำมัน 32% ก๊าซ 23% และซีเมนต์ 4% นอกจากนี้ รายงานยังรวมข้อมูลในอดีตตั้งแต่ปี 1854-2023 ไว้ด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตั้งแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรม การปล่อยก๊าซคาร์บอนจากเชื้อเพลิงฟอสซิลมากกว่า 66% นับตั้งแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรมมาจากบริษัทเพียง 180 แห่งเท่านั้น (ในจำนวนมี 11 บริษัทที่ปิดตัวไปแล้ว)
“การวิเคราะห์ล่าสุดของฐานข้อมูล Carbon Majors เผยให้เห็นว่า แม้ในตอนนี้บริษัทต่าง ๆ จะมีสัญญาด้านสภาพภูมิอากาศทั่วโลก แต่ผู้ผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิลรายใหญ่ที่สุดของโลกกลับเพิ่มปริมาณการผลิตและการปล่อยมลพิษอย่างมีนัยสำคัญ” เอ็มเม็ตต์ คอนแนร์ นักวิเคราะห์อาวุโสของ InfluenceMap ซึ่งเป็นกลุ่มนักวิจัยที่จัดทำข้อมูลกล่าว
ข้อมูลยังแสดงให้เห็นว่า 80% ของบริษัทปูนซีเมนต์มีการปล่อยมลพิษเพิ่มขึ้นสูงสุดในปี 2023 ส่วนบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ Saudi Aramco ขึ้นแท่นเป็นบริษัทที่ปล่อยมลพิษสูงสุดในปี 2023 ด้วยอัตรา 4.38% ของทั้งโลก หากเปรียบเป็นประเทศ บริษัทแห่งนี้ก็จะปล่อยมลพิษมากเป็นอันดับ 4 ของโลก รองจากจีน สหรัฐ และอินเดีย
ส่วนอันดับ 2 คือ Coal India ผู้ผลิตถ่านหินที่รัฐบาลเป็นเจ้าของรายใหญ่ที่สุดในโลก ปล่อยมลพิษไป 3.68% ของทั้งโลก ตามมาติด ๆ ด้วย CHN Energy บริษัทเหมืองแร่และพลังงานของรัฐบาลจีน ในอันดับที่ 3 ด้วยสัดส่วน 3.65% ของทั้งโลก ส่วนอันดับ 4 คือ Jinneng Group ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานของรัฐบาลจีนเช่นกัน ปล่อยมลพิษไป 2.92% ของทั้งโลก และอันดับที่ 5 National Iranian Oil Company ผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของรัฐบาลอิหร่าน ในอัตรา 2.75%
จะเห็นได้ว่าทั้ง 5 อันดับเป็นบริษัทของรัฐบาลทั้งสิ้น นับเป็นความย้อนแย้งของรัฐบาลแต่ละประเทศ เพราะ ลายประเทศตั้งใจจะเข้าสู่เน็ตซีโร่ แต่บริษัทที่รัฐเป็นเจ้าของ 16 แห่ง ติดอันดับผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจก 20 อันดับแรกของรายงาน ซึ่งคิดเป็นปริมาณมากกว่าครึ่งหนึ่งของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากเชื้อเพลิงฟอสซิลทั้งหมด
คริสเตียนน่า ฟิเกเรส สถาปนิกของข้อตกลงปารีสกล่าวว่า ผลการค้นพบของรายงานแสดงให้เห็นว่า “ประเทศต่าง ๆ ชะลอเป้าหมายในข้อตกลงปารีส บริษัทของรัฐกลับเป็นผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก โดยเพิกเฉยต่อความต้องการอันเร่งด่วนของประชาชน”
ตามรายงานระบุว่า บริษัทจีนมีปล่อยก๊าซคาร์บอนมากกว่าบริษัทจากประเทศอื่นอย่างมาก โดยในปี 2023 บริษัทจีนปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากเชื้อเพลิงฟอสซิลและซีเมนต์ถึง 23% ของทั้งหมดโลก รักษาตำแหน่งประเทศที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนมากที่สุดในโลกอีกปี
รายงาน Carbon Majors จัดทำขึ้นครั้งแรกในปี 2013 ถูกนำมาใช้ในเชิงกลยุทธ์เพื่อให้บริษัทต่าง ๆ รับผิดชอบต่อการมีส่วนสนับสนุนต่อความเสียหายที่เกิดจากสภาพอากาศ และนักวิทยาศาสตร์นำไปใช้ เพื่อวัดบทบาทของบริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ทำให้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศรุนแรงขึ้น
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของข้อตกลงปารีสในการจำกัดภาวะโลกร้อนให้ไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรม ภายในปี 2030 ทั่วโลกจะต้องลดการปล่อยคาร์บอนลง 45% สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศได้กล่าวไว้แล้วว่าโครงการเชื้อเพลิงฟอสซิลใด ๆ ที่เริ่มหลังปี 2021 จะไม่สอดคล้องกับการลดการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050
เนื่องจากการปล่อยคาร์บอนของบริษัทหลายแห่งยังคงเพิ่มขึ้น คูมี ไนดู ประธานของสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์เชื้อเพลิงฟอสซิลกล่าวว่าขณะนี้ “จำเป็น” ที่รัฐบาลจะต้องก้าวขึ้นมาและใช้สิทธิอำนาจของตนเพื่อยุติการขยายตัวของถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซ
“เราอยู่ในช่วงเวลาสำคัญในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ และความจริงที่น่าตกใจก็คือ บริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ใหญ่ที่สุดในโลกไม่ได้ปล่อยคาร์บอนเพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของผู้คนด้วย” ไนดูกล่าว
ซาวิโอ คาร์วัลโญ หัวหน้าภูมิภาคขององค์กรสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ 350.org กล่าวว่าผลการวิจัยนี้เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ และเป็นสัญญาณเตือนสำหรับรัฐบาล ผู้กำหนดนโยบาย และภาคประชาสังคม
“บริษัทและบุคคลที่มีฐานะร่ำรวยมหาศาลยังคงแสวงหากำไรในระยะสั้นเพื่อตนเองและผู้ถือหุ้น โดยไม่สนใจแก้ไขวิกฤติสภาพอากาศ หรืออยากจะเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงไปสู่พลังงานหมุนเวียน” เขากล่าวอธิบาย
ที่มา: Axios, Euro News, The Guardian
Source : กรุงเทพธุรกิจ