News & Update

ทั่วโลกใช้ ‘พลังงานสะอาด’ ทะลุ 40% ‘โซลาร์เซลล์’ เติบโตมากสุด

รายงานฉบับใหม่จากกลุ่มสถาบันวิจัยด้านพลังงาน Ember ระบุว่าในปี 2024 การผลิตไฟฟ้าของโลกมากกว่า 40% มาจาก “พลังงานหมุนเวียน” แต่การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ตัวการที่ทำให้ “โลกร้อน” กลับเพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากปีที่ผ่านมาอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น ยิ่งทำให้ความต้องการพลังงานโดยรวมมากขึ้น ส่งผลให้ต้องใช้ “เชื้อเพลิงฟอสซิล” เพิ่มมากขึ้น

พลังงานแสงอาทิตย์” เป็นแหล่งพลังงานที่เติบโตเร็วที่สุด โดยปริมาณไฟฟ้าที่ผลิตได้จากโซลาร์เซลล์เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในช่วงสามปีที่ผ่านมา ฟิล แมคโดนัลด์ กรรมการผู้จัดการของ Ember กล่าวว่า

“พลังงานแสงอาทิตย์กลายเป็นตัวขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของโลก เมื่อจับคู่กับระบบกักเก็บแบตเตอรี่แล้ว พลังงานแสงอาทิตย์จะกลายเป็นพลังที่ไม่อาจหยุดยั้งได้” 

ก่อนหน้านี้ Ember คาดการณ์ว่าปี 2023 จะเป็นปีที่การปล่อยมลพิษจากไฟฟ้าถึงจุดสูงสุด หลังจากที่คงที่ในช่วงครึ่งแรกของปี และหลังจากนั้นการปล่อยมลพิษจะเริ่มลดลง แต่กลับผิดคาด เนื่องจากคลื่นความร้อนที่เกิดขึ้นทั่วโลก ทำให้ความต้องการไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ส่งผลให้พลังงานไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น 1.4% ในปีนั้น 

ความต้องการไฟฟ้ายังคงเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยมาก ข้อมูลจาก สถาบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโคเปอร์นิคัสของสหภาพยุโรป หรือ C3S ระบุว่าเดือนมีนาคม 2025 เป็นช่วงที่ร้อนที่สุดเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์

พลังงานหมุนเวียนเติบโตขึ้น

โซลาร์เซลล์” เป็นแหล่งพลังงานที่ราคาถูกและติดตั้งง่าย ทำให้พลังงานแสงอาทิตย์เป็นแหล่งพลังงานไฟฟ้าที่เติบโตเร็วที่สุดติดต่อกันเป็นปีที่ 20 ตามข้อมูลของ Ember พบว่า ปริมาณการผลิตไฟฟ้าจากแผงโซลาร์เซลล์เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในทุก ๆ 3 ปี นับตั้งแต่ปี 2012

จีนยังคงครองส่วนแบ่งการเติบโตของพลังงานแสงอาทิตย์มากที่สุด ด้วยสัดส่วนถึง 53% ของทั้งโลก โดยตลอดปี 2024 จีนสามารถผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ได้ถึง 834 TWh

ส่วนกำลังการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ของอินเดียเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าระหว่างปี 2023-2024

ขณะที่ ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป 7 ประเทศติดอันดับ 15 ประเทศที่ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ได้มากสุดในโลก โดยในปี 2024 เยอรมนีผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ได้ 71 TWh ซึ่งอยู่อันดับที่ 6 ของโลก ส่วนฮังการีขึ้นแท่นเป็นประเทศที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์สูงสุดในโลกที่ 25%

แม้ว่าจะเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อดูในภาพรวมแล้ว พลังงานแสงอาทิตย์ยังคงเป็นส่วนเล็ก ๆ ของการผลิตพลังงานทั่วโลก เพราะคิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 7% ของกำลังการผลิตไฟฟ้าทั่วโลก ซึ่งเท่ากับการจ่ายไฟให้กับประเทศอินเดียทั้งประเทศ

ขณะที่ พลังงานลมคิดเป็น 8% ของการผลิตพลังงานไฟฟ้าทั่วโลก ส่วนพลังงานนิวเคลียร์คิดเป็น 9% ด้านพลังงานน้ำมีส่วนสนับสนุน 14% ถือเป็นแหล่งพลังงานสะอาดที่ใหญ่ที่สุด แต่ทั้งพลังงานน้ำและพลังงานนิวเคลียร์เติบโตช้ากว่าพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์มาก

เมื่อรวมกันแล้ว แหล่งพลังงานสะอาดทุกประเภทสามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าให้แก่โลกได้มากกว่า 40.9% ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ยุค 1940 ซึ่งเป็นช่วงที่ความต้องการไฟฟ้าน้อยกว่าปัจจุบันประมาณ 50 เท่า โดยพลังงานน้ำเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนที่เก่าแก่ที่สุดในโลก และคิดเป็นสัดส่วนขนาดใหญ่ของไฟฟ้าทั่วโลกในช่วงดังกล่าว

ในปี 2024 การผลิตพลังงานไฟฟ้าในสหภาพยุโรป 71% มาจากแหล่งพลังงานสะอาดทุกประเภท ซึ่งถือว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกอย่างมาก และเป็นปีแรกที่การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แซงหน้าถ่านหิน ด้วยสัดส่วน 11% ซึ่งเป็นผลมาจากส่งเสริมให้ติดแผงโซลาร์เซลล์ตามบ้าน จนสามารถผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ได้มากขึ้น 

หลายประเทศในยุโรปทยอยปิดโรงไฟฟ้าถ่านหิน ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลให้น้อยที่สุด ขณะที่สหราชอาณาจักรเลิกใช้ถ่านหินอย่างถาวร ซึ่งการหันมาใช้พลังงานหมุนเวียนนี้จะช่วยให้ยุโรปมีความมั่นคงทางพลังงานมากยิ่งขึ้น และไม่จำเป็นต้องพึ่งพาถ่านหินจากรัสเซีย

แม้ว่า พลังงานสะอาดจะเพิ่มขึ้นเป็น แต่ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมายังไม่เริ่มลดลง เพราะความต้องการไฟฟ้าทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นยังคงแซงหน้าการเติบโตของพลังงานหมุนเวียน 

ตามรายงานพบว่าในปี 2024 ความต้องการไฟฟ้าทั่วโลกเพิ่มขึ้น 4% สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการใช้เครื่องปรับอากาศเพิ่มขึ้นในปีที่อากาศร้อนเป็นพิเศษ อีกทั้งในช่วงห้าปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจเอเชียที่เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอินเดียและจีน ทำให้ต้องเร่งผลิตพลังงานไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิลต่อไป เพื่อตอบสนองความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ในปี 2024 การผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิลเพิ่มขึ้น 1.4% โดยคิดเป็นถ่านหิน 34% และก๊าซอีก 22% ทำให้การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนทั่วโลกเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 14,600 ล้านตัน เพิ่มจากปีก่อน 1.6%

อย่างไรก็ตาม แมคโดนัลด์กล่าวว่า สำหรับปี 2025 คลื่นความร้อนไม่น่าจะเป็นปัจจัยหลักที่จะทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น แต่ปัญญาประดิษฐ์ ศูนย์ข้อมูล ยานยนต์ไฟฟ้า และปั๊มความร้อน จะเข้ามามีบทบาทสำคัญที่ทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้น

รายงานระบุว่า เทคโนโลยีเหล่านี้รวมกันทำให้ความต้องการไฟฟ้าทั่วโลกเพิ่มขึ้น 0.7% ในปี 2024 ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเมื่อ 5 ปีก่อน


ที่มา: BBCEuro NewsThe Guardian
Source : กรุงเทพธุรกิจ

อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้ากระอัก กราไฟท์ขาดแคลนผลิตแบตเตอรี่ไม่ได้

การขาดแคลนกราไฟท์วัตถุดิบในการผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ที่ใช้ในยานยนต์ไฟฟ้าอาจต้องชะลอการขับเคลื่อนทั่วโลกให้เป็นสีเขียว แบตเตอรี่รถยนต์ขาดแคลน เพราะ กราไฟต์ซึ่งเป็นแร่ธาตุสำคัญที่ใช้ในการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ประสบปัญหาการขาดแคลนอุปทานท่ามกลางความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าที่พุ่งสูงขึ้น อาจชะลอการขับเคลื่อนทั่วโลกให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม กราไฟต์ใช้สำหรับการเป็นขั้วลบของแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่เรียกว่าแอโนด ผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลกมักใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนเพื่อขับเคลื่อนยานยนต์ไฟฟ้า (EV) จอร์จ…

แท็กซี่-รถสาธารณะเฮ พลังงานขยายเวลาช่วย”ค่าก๊าซ NGV”

แท็กซี่-รถสาธารณะเฮ พลังงานขยายเวลาช่วย"ค่าก๊าซ NGV" มุ่งแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนจากราคาที่สูงขึ้นจนกระทบการประกอบอาชีพ หลังตั้งคณะทำงานดำเนินการตรวจสอบและแก้ไขปัญหา นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัว (พีระพันธุ์…

กองทุนน้ำมันฯ ปรับลดเงินชดเชยราคา LPG ลงเหลือ 2.21 บาทต่อกิโลกรัม หลังราคาตลาดโลกต่ำกว่า 600 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน

ราคา LPG โลกลดลง ส่งผลกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ปรับลดเงินชดเชยราคา LPG เหลือ 2.21 บาทต่อกิโลกรัม พร้อมลดเก็บเงินโรงแยกก๊าซฯ…