Highlight & Knowledge

เทคโนโลยี CCS (Carbon Capture and Storage) คืออะไร? ดีต่อเรา ดีต่อโลกอย่างไรบ้าง

ทั่วโลกต่างก็มีแผนการปรับเปลี่ยนประเทศของตัวเองเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อค์ไซค์ให้เป็นศูนย์ ซึ่งประเทศไทยเองก็มีการวางแผน และตั้งเป้าหมายเรื่องนี้เหมือนกัน และคาดว่าจะไปถึงเป้าหมายได้ภายในปี 2065 ซึ่งเป็นความจำเป็นที่ต้องไปให้ถึงเป้าหมายให้ได้ เพื่อดำรงไว้ซึ่งความร่วมมือในด้านต่างๆ กับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ทั้งเรื่องของความสัมพันธ์ และการค้านั่นเอง

ในประเทศไทยก็มีโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ เช่นกัน โดยใช้เทคโนโลยีที่มีชื่อว่า CCS (Carbon Capture and Storage) ซึ่งก็มีอยู่ 2 บริษัทที่มีการลงทุนและพัฒนากันอย่างจริงจังก็คือ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP และ บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU โดย PTTEP กำลังพัฒนา CCS ที่โครงการผลิตก๊าซแหล่งอาทิตย์ โดยมีกำลังการกักเก็บคาร์บอนที่ 1 ล้านตันต่อปี โดยโครงการดังกล่าวคาดว่าจะสามารถดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ภายในปี 2569-2570 ขณะเดียวกัน BANPU มีโครงการ CCS จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ Barnett Zero และ Cotton Cove ในสหรัฐอเมริกา โดยมีกำลังการกักเก็บคาร์บอนรวม 0.3 ล้านตันต่อปี ซึ่งทั้ง 2 โครงการนี้เริ่มดำเนินการในปี 2566 และ 2567 ตามลำดับ และวันนี้ทางทีมงานจะพาทุกท่านไปรู้จักโครงการ และเทคโนโลยีนี้ รวมถึงกระบวนการที่ใช้ในการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซค์กันครับ

เทคโนโลยี CCS คืออะไร?

CCS ย่อมาจาก Carbon Capture and Storage หรือ การดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดอ็อกไซด์ เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับความสนใจอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นหนึ่งในวิธีการสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยจะดักจับก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์จากแหล่งกำเนิดในภาคอุตสาหกรรม และนำมากักเก็บไว้ในชั้นหินใต้ดินอย่างถาวร โดยไม่ปล่อยกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ นอกจากนี้ยังมีการติดตาม และตรวจสอบการจัดเก็บก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซค์ เพื่อให้มีความปลอดภัย

กระบวนการของเทคโนโลยี CCS

ภาพจาก : PTTEP

เทคโนโลยี CCS จะมีกระบวนการทำงาน 3 อย่างด้วยกันดังนี้

1.การดักจับ (Capture)

  • แหล่งกำเนิด CO₂ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ที่เราต้องการดักจับนั้นมาจากแหล่งต่างๆ เช่น โรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล โรงงานอุตสาหกรรม และกระบวนการผลิตบางอย่าง
  • การแยก ก๊าซ CO₂ จะถูกแยกออกจากก๊าซอื่นๆ ที่เกิดจากกระบวนการผลิต โดยใช้วิธีทางเคมีหรือทางกายภาพ เช่น การใช้สารละลายเอมีน (amine) ดูดซับ CO₂ หรือการใช้เยื่อหุ้มเซลล์ที่มีรูพรุนขนาดเล็กเพื่อกรองก๊าซ
  • การทำให้บริสุทธิ์ หลังจากการแยกแล้ว ก๊าซ CO₂ จะถูกทำให้บริสุทธิ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่งและกักเก็บ

2.การขนส่ง (Transport)

  • การอัด ก๊าซ CO₂ ที่บริสุทธิ์แล้วจะถูกอัดให้มีความดันสูง เพื่อลดปริมาตรและสะดวกในการขนส่ง
  • ท่อส่ง ก๊าซ CO₂ ที่ถูกอัดจะถูกส่งผ่านท่อไปยังสถานที่กักเก็บ ซึ่งอาจอยู่ห่างไกลจากแหล่งกำเนิดก๊าซก็ได้

3.การกักเก็บ (Storage)

  • แหล่งกักเก็บ สถานที่กักเก็บก๊าซ CO₂ มักจะเป็นชั้นหินใต้ดินที่มีความพรุนและมีโครงสร้างทางธรณีวิทยาที่เหมาะสม เช่น ชั้นหินทรายหรือชั้นหินปูน
  • การฉีด ก๊าซ CO₂ จะถูกฉีดเข้าไปในชั้นหินใต้ดินด้วยแรงดันสูง ทำให้ก๊าซซึมเข้าไปในรูพรุนของหินและถูกกักเก็บไว้
  • การกักเก็บถาวร หากชั้นหินมีความแน่นหนาและมีโครงสร้างที่มั่นคง ก๊าซ CO₂ จะถูกกักเก็บไว้ได้เป็นเวลานานหลายพันปี

สรุปเรื่องกระบวนการได้แบบง่ายๆ ก็คือ จะเริ่มจากการดักจับก๊าซ CO₂ ที่เกิดขึ้นก่อน จากนั้นก็จะมีการปรับความดันให้เหมาะสมเพื่อขนส่งไปยังแหล่งกักเก็บซึ่งจะถูกกักเก็บไว้บนฝั่งหรือนอกชายฝั่งในชั้นหินทางธรณีวิทยาไว้อย่างปลอดภัย

ตัวอย่างโครงการ CCS ที่ประสบความสำเร็จทั่วโลก

เทคโนโลยี CCS นี้ถือว่าเป็นเทคโนโลยีในการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่มีประสิทธิภาพสูง มีหลายประเทศให้การยอมรับ และนำไปใช้กันอย่างแพร่หลาย มีโครงการที่ใช้เทคโนโลยี CCS นี้อยู่ 41 โครงการทั่วโลก ส่วนใหญ่จะอยู่ในประเทศอเมริกา และเป็นที่น่าดีใจว่าในประเทศไทยก็มีโครงการที่ใช้เทคโนโลยี CCS นี้แล้วเช่นกัน

1.โครงการ Sleipner ในนอร์เวย์

เป็นหนึ่งในโครงการ CCS ที่เก่าแก่ที่สุดและประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 1996 โดยดักจับก๊าซ CO₂ จากแหล่งผลิตก๊าซธรรมชาติ แล้วนำไปกักเก็บในชั้นหินทรายใต้ทะเลเหนือ โครงการนี้สามารถกักเก็บ CO₂ ได้หลายล้านตัน และกลายเป็นมาตรฐานสำหรับโครงการ CCS อื่นๆ ทั่วโลก

2.โครงการ Quest ในแคนาดา

เป็นโครงการ CCS ขนาดใหญ่ที่ดักจับ CO₂ จากโรงไฟฟ้าถ่านหิน ใช้เทคโนโลยีการดักจับแบบ amine เพื่อแยก CO₂ ออกจากก๊าซไอเสีย จากนั้นนำไปกักเก็บในชั้นหินใต้ดิน โครงการนี้ช่วยลดการปล่อย CO₂ ของโรงไฟฟ้าได้อย่างมีนัยสำคัญ

3.โครงการ Boundary Dam ในแคนาดา

ภาพจาก : CSS Knowledge

เป็นโครงการ CCS ที่ดักจับ CO₂ จากโรงไฟฟ้าถ่านหินและนำไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมน้ำมัน CO₂ ที่ดักจับได้จะถูกนำไปฉีดเข้าไปในแหล่งน้ำมันเพื่อเพิ่มการผลิตน้ำมันดิบ โครงการนี้แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของการใช้ CO₂ ในกระบวนการทางอุตสาหกรรมอื่นๆ นอกจากการกักเก็บ

4. โครงการ Northern Lights ในนอร์เวย์

เป็นโครงการ CCS ขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมทั้งการดักจับ การขนส่ง และการกักเก็บ CO₂ จากหลายแหล่งในยุโรป CO₂ จะถูกขนส่งทางท่อไปยังชายฝั่งนอร์เวย์ ก่อนจะถูกฉีดเข้าไปในชั้นหินใต้ทะเล โครงการนี้เป็นตัวอย่างของความร่วมมือระหว่างประเทศในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ภาพจาก : PTTEP

ประโยชน์ของเทคโนโลยี CCS

  • ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก CCS ช่วยลดปริมาณก๊าซ CO₂ ที่ปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของภาวะโลกร้อน ในไทยสามารถลดการปล่อยก๊าซ CO₂ ได้มากถึง 10 ล้านตันต่อปี จากโครงการ Eastern CCS Hub ของกลุ่ม ปตท.
  • ยืดอายุการใช้งานของเชื้อเพลิงฟอสซิล CCS ทำให้สามารถใช้ประโยชน์จากเชื้อเพลิงฟอสซิลได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องลดการผลิตพลังงานจากเชื้อเพลิงเหล่านี้ลงทันที
  • ส่งเสริมการลงทุน และการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ การพัฒนาเทคโนโลยี CCS นำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การพัฒนาวัสดุใหม่ๆ สำหรับการดักจับ CO₂ , น้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานชีวภาพ, ไฮโดรเจนสีฟ้า และยังสามารถสร้างตำแหน่งงานต่างๆ ได้มากกว่า 10,000 ตำแหน่ง

แม้ว่าประโยชน์ของเทคโนโลยี CCS จะมีค่อนข้างมาก แต่ก็ยังมีข้อจำกัด และความท้าทายอยู่เช่นกัน

ข้อจำกัดและความท้าทายของเทคโนโลยี CCS

  • ต้นทุนยังสูงอยู่ กระบวนการ CCS ยังมีต้นทุนสูง ทั้งในด้านการลงทุนและการดำเนินงาน
  • ความเสี่ยงในการรั่วไหล มีความเสี่ยงที่ก๊าซ CO₂ อาจรั่วไหลออกมาจากแหล่งกักเก็บได้
  • ความไม่แน่นอนทางธรณีวิทยา การเลือกแหล่งกักเก็บที่เหมาะสมมีความสำคัญอย่างยิ่ง แต่ยังมีความไม่แน่นอนทางธรณีวิทยาที่อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของการกักเก็บ
  • การยอมรับจากสังคม ยังมีประชาชนบางส่วนที่กังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของเทคโนโลยี CCS

บทสรุป

เทคโนโลยี CCS เป็นเครื่องมือสำคัญในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แม้ว่ายังมีข้อจำกัดอยู่บ้าง แต่ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง CCS มีศักยภาพที่จะเป็นส่วนหนึ่งของโซลูชันในการสร้างโลกที่ยั่งยืน สำหรับในประเทศไทยก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี และหวังว่าในอนาคตจะสามารถก้าวผ่านข้อจำกัดต่างๆ และความท้าทายเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions)

ขอบคุณข้อมูลจาก : PTTEP
Cover Photo : Freepik

5 รถยนต์ไฟฟ้าราคาต่ำกว่า 500,000 บาท ปี 2025 คุ้มค่าน่าใช้

ในปี 2025 รถยนต์ไฟฟ้าได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัด ที่มีราคาต่ำกว่า 500,000 บาท ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นใช้รถยนต์ไฟฟ้า หรือต้องการรถคันที่สองสำหรับเดินทางในเมือง รถยนต์ไฟฟ้าในกลุ่มนี้แม้จะมีขนาดเล็ก…

เงินฝากสีเขียว เงินฝากรูปแบบใหม่ เพื่อสิ่งแวดล้อม

ด้วยกระแสของพลังงานสะอาด พลังงานทดแทนต่างๆ ที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มีการคิดค้นนวตกรรม และผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาดออกมา มากมาย แม้แต่ธนาคาร ก็ยังมีผลิตภัณฑ์และบริการด้านการเงินสีเขียว (Green…

รู้จัก “ขยะกำพร้า” ขยะที่นำไปเป็นเชื้อเพลิงสร้างพลังงานได้

ด้วยปริมาณขยะที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การเปลี่ยนรูปแบบการซื้อขายสินค้าจากหน้าร้าน มาเป็นแบบออนไลน์ที่ทำให้มีปริมาณการใช้วัสดุห่อหุ้มสินค้า กล่องพัสดุ รวมถึงพวกวัสดุปิดกล่องต่างๆ มากมาย ซึ่งเป็นตัวก่อให้เกิดขยะเป็นจำนวนมาก รวมถึงวัสดุต่างๆ…