ภายใต้กระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกที่ให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และความพยายามของประเทศไทยในการมุ่งสู่เป้าหมาย “ความเป็นกลางทางคาร์บอน” (Carbon Neutrality) และ “คาร์บอนเป็นศูนย์” (Net Zero) เครื่องมืออย่าง “คาร์บอนเครดิต” จึงมีบทบาทสำคัญในฐานะกลไกทางเศรษฐกิจที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อมูลล่าสุดจาก องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. ณ วันที่ 30 เมษายน 2568 สะท้อนภาพรวมที่น่าสนใจของตลาดคาร์บอนเครดิตในประเทศไทย โดยมีการสรุปสถิติการซื้อขายผ่านเว็บไซต์ ตลาดคาร์บอน ครอบคลุมปีงบประมาณ 2563 – 2568 ปริมาณการซื้อขายคาร์บอนเครดิตสะสมรวมทั้งสิ้น 3,358,208 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2e) คิดเป็นมูลค่ารวม 320,102,590 บาทแบ่งเป็น ดังนี้
แนวโน้มการซื้อขายย้อนหลัง
- ปี 2563 : 169,806 tCO2e มูลค่า 4.37 ล้านบาท
- ปี 2564 : 286,580 tCO2e มูลค่า 9.71 ล้านบาท
- ปี 2565 : 1,187,327 tCO2e มูลค่า 128.49 ล้านบาท
- ปี 2566 : 857,102 tCO2e มูลค่า 68.32 ล้านบาท
- ปี 2567 : 686,079 tCO2e มูลค่า 85.79 ล้านบาท
- ปี 2568 (ข้อมูลถึง 30 เม.ย.) : 171,314 tCO2e มูลค่า 23.41 ล้านบาท
จากตัวเลขจะเห็นว่าช่วงปี 2563–2565 ตลาดของไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดด อันเป็นผลจากกระแส COP26 การประกาศเป้าหมายใหม่ที่ท้าทายขึ้นของประเทศ และการเตรียมเปิดศูนย์ซื้อขายคาร์บอนเครดิต ทำให้ผู้ประกอบการซื้อกักตุนไว้เป็นจำนวนมาก เนื่องจากราคายังถูกมาก ขณะที่ปี 2567 แม้ปริมาณซื้อขายลดลง แต่มูลค่าต่อหน่วยกลับเพิ่มขึ้น สะท้อนถึงการซื้อขายที่ “มีคุณภาพ” มากขึ้น
ปี 2568 สัญญาณฟื้นตัว
มาปี 2568 นี้ เริ่มแสดงสัญญาณฟื้นตัว โดยเป็นผลจากหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น
- ความต้องการคาร์บอนเครดิตที่แตกต่างกันไปตามประเภทอุตสาหกรรม
- ข้อกำหนดหรือมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมขององค์กร
- ราคาคาร์บอนเครดิตที่เปลี่ยนแปลง
- นโยบายจากภาครัฐ
การซื้อขายในปี 2568 สะท้อนความต้องการที่ “แท้จริง” ของผู้ซื้อ ที่ต้องการนำคาร์บอนเครดิตไปชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตนเอง มากกว่าการเร่งกักตุนเพื่อเก็งกำไรแบบที่เกิดขึ้นในปี 2565
ประเภทโครงการที่โดดเด่นในปี 2568
ตามปริมาณการซื้อขาย (tCO2e)
- ชีวมวล : 132,095 tCO₂e
- พลังงานแสงอาทิตย์ : 18,598 tCO₂e
- ป่าไม้ : 12,496 tCO₂e
ตามด้านมูลค่าซื้อขาย
- ป่าไม้ : 8.97 ล้านบาท
- P-REDD+ (การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการทำลายป่าและความเสื่อมโทรมของป่า และการเพิ่มพูนการกักเก็บคาร์บอนในพื้นที่ป่าในระดับโครงการ) : 7.33 ล้านบาท
- ชีวมวล : 5.30 ล้านบาท
3 อันดับโครงการที่มีราคาต่อหน่วยสูงสุด
- ป่าไม้ : 2,076.30 บาท/tCO₂e
- P-REDD+ : 2,000 บาท/tCO₂e
- เกษตรยืนต้น : 1,000 บาท/tCO₂e
ปัจจัยที่ส่งผลต่อตลาดคาร์บอน
ตลาดคาร์บอนเครดิตเคลื่อนไหวตามกลไกอุปสงค์–อุปทาน เช่นเดียวกับสินค้าอื่นๆ โดยมีปัจจัยสำคัญดังนี้
– อุปสงค์ (Demand)
- ความต้องการชดเชยคาร์บอนขององค์กร (Net Zero / Carbon Neutrality)
- กระแส ESG จากนักลงทุนและพันธมิตรธุรกิจ
- ความตระหนักของบุคคลทั่วไปต่อสิ่งแวดล้อม
– อุปทาน (Supply)
- จำนวนโครงการที่ขึ้นทะเบียนในปี 2568 คือ 52 โครงการ คาดว่าจะลด/กักเก็บ GHG ได้รวม 409,292 tCO₂e/ปี
- โครงการที่ได้รับการรับรองคาร์บอนเครดิต คือ 33 โครงการ ปริมาณที่ได้รับการรับรอง 1,631,710 tCO₂e/ปี โดยมากกว่า 98% เป็น Carbon Reduction Credit เช่น พลังงานทดแทน การจัดการของเสีย และการขนส่ง ส่วน Carbon Removal เช่น ป่าไม้ มีสัดส่วนยังน้อยมาก
การไม่สมดุลระหว่างอุปสงค์ที่ต้องการเครดิตแบบ Removal และอุปทานที่เน้น Reduction จึงเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อปริมาณการซื้อขายและระดับราคา

แนวโน้มระยะสั้นและระยะยาว
แม้จะมีการชะลอตัวในช่วงปี 2566–2567 แต่ตลาดคาร์บอนเครดิตของไทยยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะในระยะสั้นที่ยังอยู่ในช่วงภาคสมัครใจ (Voluntary) ก่อนเข้าสู่ตลาดภาคบังคับ (Compliance) ปัจจัยหนุนสำคัญ ได้แก่
- เป้าหมาย Net Zero Emission ของประเทศ
- นโยบายลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (CFO) และภาษีคาร์บอน
- แรงกดดันจากผู้ลงทุนต่างชาติและพันธมิตรทางการค้าด้าน ESG
- นโยบายรัฐบาล โดยเฉพาะการผลักดันให้ไทยเป็น “Carbon Trading Hub” ของภูมิภาค
- การออก Thailand Taxonomy ระยะที่ 1 และ 2
- การเตรียมประกาศใช้ พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
Source: กรุงเทพธุรกิจ