News & Update

ทีม PRISM ปตท. แนะธุรกิจปิโตรเคมี ปรับตัวตามเทรนด์โลกสู่ความยั่งยืน

ปตท. โดยทีม  “โครงการบริหารการสร้างประโยชน์ร่วมธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น” หรือ PRISM จัดสัมมนาประจำปีครั้งที่ 15 แนะผู้ประกอบการอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เร่งปรับตัวรับเทรนด์โลกมุ่งสู่ความยั่งยืน ด้านกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ชี้ทิศทางเศรษฐกิจในอนาคตอาจชะลอตัว ห่วงเศรษฐกิจไทยระยะยาว จับตานโยบายรัฐบาลหลังตั้งนายกฯ ใหม่ อาจมีมาตรการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้   

วันที่ 16 ส.ค. 2567 บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) โดยโครงการบริหารการสร้างประโยชน์ร่วมธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น (PRISM) ได้จัดงานสัมมนาในหัวข้อ 15th PTT Group Petrochemical Outlook Forum : ภายใต้หัวข้อ “Shaping the Future of Petrochemicals Along the Sustainable Pathway” เพื่อเผยแพร่ภาพรวมเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลก แนวโน้มปิโตรเคมีและโอกาสทางธุรกิจที่จะเกิดขึ้นกับธุรกิจปิโตรเคมีในอนาคต โดยมี นายนพดล ปิ่นสุภา ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน), นายพิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย กรรมการผู้จัดการ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร, นายกฤษฎา อุตตโมทย์ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย และทีมงาน PRISM ร่วมบรรยาย

นายพิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย กรรมการผู้จัดการ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร กล่าวถึงทิศทางเศรษฐกิจว่า เศรษฐกิจไทยระยะสั้นคาดว่ายังเติบโตได้จากการท่องเที่ยวเป็นหลัก แต่ในอนาคตมีแนวโน้มจะลดลง ดังนั้นรัฐบาลจะต้องเร่งหารายได้จากส่วนอื่นๆ มาช่วย พร้อมกันนี้ต้องรอดูนโยบายรัฐบาลใหม่ว่าจะมีอะไรมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้บ้าง ส่วนเศรษฐกิจไทยระยะยาวยังคงน่าเป็นห่วง ซึ่งเห็นได้จากภาคอุตสาหกรรมยังไม่ฟื้นตัว และภาคธนาคารระมัดระวังการปล่อยกู้มากขึ้น ส่งผลกระทบต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ กระทบเศรษฐกิจโดยรวมได้

ขณะที่การเติบโตของเศรษฐกิจโลกก็มีแนวโน้มชะลอตัวลง โดยประเทศที่มีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจโลกมากที่สุดคือ สหรัฐฯ และจีน ซึ่งสหรัฐฯ ยังคงมีเศรษฐกิจที่เติบโตได้ 2.5% ช่วงครึ่งหลังของปี 2567 แต่ในปี 2568 มีแนวโน้มจะลดลงเหลือเพียง 2% โดยปัจจัยที่ยังคงต้องติดตามใกล้ชิดคือการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ ซึ่งจะมีผลต่อนโยบายเศรษฐกิจโดยตรง ขณะที่ประเทศจีนก็เร่งผลิตสินค้าและส่งออกไปต่างประเทศมากขึ้น เพื่อชดเชยปัญหาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ซบเซา ส่งผลให้เกิดปัญหาสินค้าจีนทุบตลาดสินค้าแต่ละประเทศ จนนำมาสู่มาตรการขึ้นกำแพงภาษีนำเข้าตอบโต้

ดังนั้นภาพรวมเศรษฐกิจดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมปิโตรเคมีโดยตรง เนื่องจากความต้องการใช้สินค้าจะลดลงตามภาวะเศรษฐกิจ ขณะที่การผลิตสินค้ามีมากขึ้น ส่งผลให้สินค้าล้นตลาดได้ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวเป็นความท้าทายของภาคปิโตรเคมีที่จะเกิดขึ้นต่อไป

นายนพดล ปิ่นสุภา ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การจัดสัมมนาฯของ PRISM ครั้งนี้ เป็นการจัดงานต่อเนื่องเป็นปีที่ 15 ซึ่งหากมองไปอีก 15 ปีข้างหน้า หรือ ปี 2573 ซึ่งเป็นจังหวะที่สอดคล้องกับหมุดหมายที่หลายประเทศคาดการณ์ว่า การผลิตน้ำมันสูงสุด (peak oil) จะเกิดขึ้น ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงาน เช่น เกิดการลดใช้น้ำมันลงในบางประเทศ อย่างประเทศในชาติตะวันตก แต่ในส่วนของฝั่งเอเชียยังมีการใช้อยู่ ซึ่งการคาดการณ์แนวโน้มตลาดปิโตรเคมีใน 15 ปีข้างหน้า ถือเป็นเรื่องที่ยาก ขณะที่การลงทุนเป็นเรื่องใหญ่เพราะต้องใช้งบประมาณลงทุนจำนวนมากและต้องเตรียมพร้อมในระยะยาว ฉะนั้น การประเมินปัจจัยต่างๆที่จะเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับทิศทางตลาดปิโตรเคมีในอนาคตจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ผู้ประกอบการจะต้องศึกษาปัจจัยต่างๆ เพื่อนำไปประกอบการตัดสินใจและปรับตัวได้ทันต่อสถานการณ์

ด้าน ทีมนักวิเคราะห์สถานการณ์น้ำมัน กลุ่ม ปตท. (PRISM) ได้ประเมินทิศทางอุตสาหกรรมปิโตรเคมี โดยเริ่มจากตลาดโพลิเอทิลีน(PE) โดยคาดว่าความต้องการใช้จะยังเติบโตเฉลี่ย 3% ไปจนถึงปี 2572 แต่จะได้รับแรงกดดันจากกำลังผลิตที่จะเข้าสู่ตลาดมากขึ้นในช่วงปี 2570-2571 โดยเฉพาะกำลังผลิตจากจีน ส่งผลให้ราคาโพลิเอทิลีน จะยังอยู่ในระดับทรงตัว แม้ว่าดีมานด์จะเติบโตแต่ยังมีปัญหาโอเวอร์ซัพพลาย ดังนั้นผู้ผลิตจะต้องปรับตัวโดยการพัฒนาสินค้าให้ตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น

Screenshot

ด้านตลาดโพลิโพรพิลีน(PP) ประเมินว่า จะยังเติบโตได้ในระดับเฉลี่ย 3% ต่อปี เนื่องจากยังได้รับแรงกดดันจากปัญหาโอเวอร์ซัพพลายในช่วงปี 2567- 2572 ส่งผลให้ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์(สเปรด)ของโพลิโพรพิลีน (PP) กับแนฟทา ในช่วง 5 ปีนี้จะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปัจจุบัน ขณะที่ในปี 2572 ความต้องการใช้เม็ดพลาสติกรีไซเคิล จะเติบโตประมาณ 10-12% ดังนั้นผู้ผลิตจะต้องปรับรูปแบบธุรกิจให้รับกับการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ หันเข้าหานวัตกรรมเพิ่มการผลิตสินค้าที่มีประสิทธิภาพ มุ่งเรื่องของรีไซเคิล พร้อมจับมือกับพันธมิตรเพื่อสร้างการแข่งขันไปสู่ความยั่งยืนทางธุรกิจ

ส่วนตลาดอะโรเมติกส์ (พาราไซลีน (PX),เบนซีน(BZ)) ประเมินว่า จะปรับตัวดีขึ้นตามทิศทางของดีมานด์ที่จะเติบโตตาม GDP ขณะที่ซัพพลายใหม่ไม่ได้มีเข้ามาเพิ่มเติมมากนัก แต่อย่างไรก็ตามผู้ผลิตยังต้องปรับตัวตามทิศทางของตลาด และเพิ่มเรื่องของการรีไซเคิลให้มากขึ้น

ขณะที่ตลาดผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้า (Styrenic) ประเมินว่า ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์จะยังเติบโตเฉลี่ย 5% ตามการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ซึ่งผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนเครื่องใช้ไฟฟ้าเร็วขึ้น ภายใน 2-3 ปี จากอดีตจะปรับเปลี่ยนภายใน 3-5 ปี ส่งผลให้พลาสติกชนิดโพลีสไตรีน (PS) และ ABS จะมีดีมานด์เติบโตต่อเนื่อง ขณะที่ซัพพลายใหม่ไม่เข้ามาสู่ตลาดเพิ่มขึ้นเหมือนก่อน ฉะนั้นคาดว่าธุรกิจ Styrenic จะฟื้นตัวอย่างช้าๆ ตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป โดยผู้ผลิตจะต้องปรับธุรกิจให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค และมุ่งสู่เรื่องของความยั่งยืนให้มากขึ้น 

นายกฤษฎา อุตตโมทย์ ที่ปรึกษากิติมศักดิ์สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย กล่าวว่า เทรนด์การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีได้เกิดขึ้นในช่วงปี 2558-2566 และเห็นได้ชัดเจนในปี 2566 ที่ทั่วโลกหันมาให้ความสำคัญกับการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า(EV) แทนรถยนต์สันดาป โดยมีการใช้สูงถึง 14 ล้านคัน เติบโตขึ้น 35% จากปีก่อน และจีนเป็นประเทศที่มีการใช้มากที่สุด อยู่ที่ 8.1 ล้านคัน ขณะที่ไทยมีการใช้ปี 2566 อยู่ที่ประมาณ 76,000 คัน เติบโตขึ้น 600% และนอร์เวย์ เป็นประเทศแรกในยุโรป ที่ประกาศว่า ในปี 2568 รถที่ใช้ในประเทศจะต้องเป็น EV 100% ซึ่งการที่นอร์เวย์ จะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้ เกิดจากการขับเคลื่อนด้วยนโยบายรัฐบาล

Screenshot

อย่างไรก็ตาม การส่งเสริมรถ EV ในไทย ระยะแรกจะเป็นลักษณะของ OEM และในปี 2567 นี้ จะเป็นปีแรกที่เห็นการประกอบรถ EV ในไทย ขณะที่การติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้า ณ เดือน มิ.ย.2567 มีอยู่ประมาณ 10,846 หัวจ่าย จาก 3,125 แห่ง ซึ่งปัจจุบัน ทางสมาคมฯ อยู่ระหว่างหารือกับสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เพื่อประเมินความเหมาะสมของจำนวนสถานีชาร์จไฟฟ้าต่อการใช้งานของรถEV เพื่อปรับแผนการลงทุนให้เหมาะสมต่อไป

คุณหญิงทองทิพ รัตนะรัต ยังได้ให้ข้อเสนอแนะว่า อุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่กำลังเผชิญกับความท้าทายนั้น เป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการจะต้องปรับตัวเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือ ขณะเดียวกันก็มองว่า ตลาดฝั่งตะวันตก โดยเฉพาะ “อินเดีย” เป็นประเทศเป้าหมายที่ “รัฐบาลใหม่” ควรให้ความสำคัญและทำอย่างไรก็ได้เพื่อเปิดตลาดใหม่ให้ได้ เนื่องจากอินเดียมีจำนวนประชากรมากและในอนาคตจะเป็นประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่น่าสนใจ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มโอกาสให้กับอุตสาหกรรมปิโตรเคมีของไทยในอนาคตได้

Source : Energy News Center

“ดีป้า”ส่งนวัตกรรมปั้น36″สมาร์ทซิตี้” สู่เป้าหมายเมืองอัจฉริยะ 105 แห่ง

ภาสกร ประถมบุตร รองผู้อำนวยการ กลุ่มงานโครงการพิเศษและศูนย์พัฒนาดิจิทัลและนวัตกรรม สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ”ว่า ดีป้า ในฐานะที่เป็นหน่วยงานหลักในการส่งเสริมให้เกิดสมาร์ทซิตี้ หรือเมืองอัจฉริยะให้ครอบคลุมทั่วประเทศไทย ซึ่งมีเป้าหมายหลักในการนำเทคโนโลยีมาใช้อย่างฉลาด…

กระทรวงพลังงาน ชูโมเดลหมู่บ้านตะเพินคี่ อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี เป็นตัวอย่างความสำเร็จติดตั้งระบบ Solar Home 

กระทรวงพลังงานผลักดันระบบ Solar Home ให้ทุกพื้นที่ได้มีไฟฟ้าใช้ เพิ่มความสะดวกสบายในชีวิตประจำวัน หวังใช้โมเดลหมู่บ้านตะเพินคี่ ต.วังยาว อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี เป็นตัวอย่างความสำเร็จ…

กฟผ. ชูโรงไฟฟ้า SMR สร้างเสถียรภาพระบบผลิตไฟฟ้า เปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด

กฟผ. ชูโรงไฟฟ้า SMR สร้างสมดุลทั้งด้านความมั่นคง ราคา และสิ่งแวดล้อม  ระบุจุดเด่น มีอายุการใช้งานของโรงไฟฟ้ายาวนานกว่า 60 ปี  ใช้เชื้อเพลิงปริมาณน้อยและมีรอบการเปลี่ยนเชื้อเพลิงทุก 2…