Highlight & Knowledge

จากขยะสู่พลังงานกับ 6 เทคโนโลยีเปลี่ยนขยะเป็นพลังงานสะอาด

ปัญหาขยะล้นเมืองกำลังเป็นความท้าทายสำคัญของสังคมไทยและทั่วโลก ในแต่ละวันประเทศไทยมีขยะมูลฝอยเกิดขึ้นมากกว่า 70,000 ตันต่อวัน ซึ่งการกำจัดด้วยวิธีการฝังกลบแบบเดิมไม่เพียงพอ และส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมปัจจุบัน เทคโนโลยีการแปรรูปขยะเป็นพลังงานได้รับความสนใจอย่างมาก เนื่องจากสามารถแก้ปัญหาได้ทั้งด้านการจัดการขยะและการผลิตพลังงานทดแทน

โดยภาครัฐได้กำหนดเป้าหมายการผลิตไฟฟ้าจากขยะชุมชนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้น การแปรรูปขยะเป็นพลังงานไม่เพียงช่วยลดปริมาณขยะที่ต้องนำไปฝังกลบ แต่ยังสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับขยะ กระตุ้นเศรษฐกิจหมุนเวียน และสร้างรายได้ให้กับชุมชน นอกจากนี้ยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากหลุมฝังกลบ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของภาวะโลกร้อน ซึ่งบทความนี้ทางทีมงานได้รวบรวมข้อมูลเทคโนโลยีการแปรรูปขยะเป็นพลังงานที่สำคัญ 6 รูปแบบมาเรียบเรียงให้ทุกท่านได้อ่านกัน ซึ่งเทคโนโลยีทั้งหมดนี้กำลังถูกนำมาใช้ในการแก้ปัญหาขยะและการผลิตพลังงานทดแทน เพื่อนำไปสู่การจัดการขยะอย่างยั่งยืนในอนาคต

1.เทคโนโลยีการฝังกลบเพื่อผลิตก๊าซชีวภาพ

ขอบคุณภาพจาก https://www.energynewscenter.com/

เทคโนโลยีการฝังกลบเพื่อผลิตก๊าซชีวภาพ (Landfill Gas to Energy) เป็นหนึ่งในวิธีการจัดการขยะที่ได้รับความนิยมทั่วโลก เนื่องจากสามารถกำจัดขยะปริมาณมากและผลิตพลังงานได้ในเวลาเดียวกัน ระบบนี้อาศัยกระบวนการย่อยสลายทางชีวภาพของขยะอินทรีย์ในสภาวะไร้อากาศ ทำให้เกิดก๊าซชีวภาพที่มีก๊าซมีเทนเป็นองค์ประกอบหลัก ซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าหรือพลังงานความร้อนการฝังกลบขยะเพื่อผลิตก๊าซชีวภาพไม่เพียงแต่ช่วยลดปัญหาขยะล้นเมือง แต่ยังเป็นการเปลี่ยนของเสียให้เป็นพลังงานสะอาด ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศ และสร้างรายได้ให้กับชุมชนอีกด้วย

หลักการทำงานของเทคโนโลยีการฝังกลบเพื่อผลิตก๊าซชีวภาพมีขั้นตอนสำคัญดังนี้

การเตรียมพื้นที่ฝังกลบ และการออกแบบหลุมฝังกลบ

  • ต้องมีระบบกันซึมที่พื้นและผนังหลุม
  • ติดตั้งระบบระบายน้ำชะขยะ
  • วางระบบท่อรวบรวมก๊าซชีวภาพ
  • ความลึกของหลุมต้องมากกว่า 12 เมตร

กระบวนการย่อยสลายทางชีวภาพ

ขั้นตอนที่ 1: การย่อยสลายแบบใช้ออกซิเจน

  • แบคทีเรียชนิดใช้ออกซิเจนย่อยสลายสารอินทรีย์
  • เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และน้ำ
  • อุณหภูมิในกองขยะสูงขึ้น

ขั้นตอนที่ 2: การย่อยสลายแบบไร้ออกซิเจน

  • แบคทีเรียกลุ่มผลิตกรด (Acid forming bacteria) ย่อยสลายสารอินทรีย์เป็นกรดอินทรีย์
  • แบคทีเรียกลุ่มผลิตมีเทน (Methane forming bacteria) เปลี่ยนกรดอินทรีย์เป็นก๊าซมีเทน

ข้อดี

  • สามารถกำจัดขยะมูลฝอยได้ทุกประเภท
  • ไม่จำเป็นต้องมีระบบคัดแยกก่อน
  • ได้พลังงานจากก๊าซชีวภาพที่สามารถนำไปผลิตไฟฟ้า
  • ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ข้อควรระวัง

  • ต้องมีระบบรองพื้นที่ดีเพื่อป้องกันน้ำใต้ดินปนเปื้อน
  • ต้องมีระบบรวบรวมก๊าซชีวภาพที่มีประสิทธิภาพ
  • ต้องมีการติดตามตรวจสอบการรั่วไหลของก๊าซอย่างสม่ำเสมอ

2.เทคโนโลยีหมักไร้อากาศ

ขอบคุณภาพจาก https://erdi.cmu.ac.th/

เทคโนโลยีหมักไร้อากาศ (Anaerobic Digestion) เป็นนวัตกรรมการจัดการขยะอินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพสูง โดยอาศัยกระบวนการย่อยสลายทางชีวภาพของจุลินทรีย์ในสภาวะที่ไม่มีออกซิเจน ซึ่งสามารถเปลี่ยนของเสียอินทรีย์ให้เป็นก๊าซชีวภาพที่มีมีเทนเป็นองค์ประกอบหลัก เทคโนโลยีนี้ไม่เพียงช่วยลดปริมาณขยะอินทรีย์ แต่ยังสร้างประโยชน์ด้านพลังงานทดแทนและผลิตปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูง

ปัจจุบัน เทคโนโลยีหมักไร้อากาศได้รับการพัฒนาและประยุกต์ใช้อย่างแพร่หลายทั้งในระดับครัวเรือน ชุมชน และอุตสาหกรรม เนื่องจากเป็นระบบที่มีต้นทุนดำเนินการต่ำ ใช้พื้นที่น้อย และสามารถสร้างรายได้จากผลิตภัณฑ์ที่ได้ ทำให้เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับการจัดการขยะอย่างยั่งยืน

หลักการทำงานของ เทคโนโลยีหมักไร้อากาศ

กระบวนการย่อยสลาย แบ่งเป็น 4 ขั้นตอนหลักดังนี้

  1. Hydrolysis
  • สารอินทรีย์โมเลกุลใหญ่ถูกย่อยให้เล็กลง
  • โปรตีนเปลี่ยนเป็นกรดอะมิโน
  • คาร์โบไฮเดรตเปลี่ยนเป็นน้ำตาล
  • ไขมันเปลี่ยนเป็นกรดไขมัน
  1. Acidogenesis
  • น้ำตาลและกรดอะมิโนถูกเปลี่ยนเป็นกรดอินทรีย์
  • เกิดกรดอะซิติก กรดโพรพิโอนิก และกรดบิวทิริก
  • มีการผลิตก๊าซไฮโดรเจนและคาร์บอนไดออกไซด์
  1. Acetogenesis
  • กรดอินทรีย์ถูกเปลี่ยนเป็นกรดอะซิติก
  • เกิดก๊าซไฮโดรเจนและคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มเติม
  1. Methanogenesis
  • กรดอะซิติกถูกเปลี่ยนเป็นก๊าซมีเทน
  • ก๊าซไฮโดรเจนรวมตัวกับคาร์บอนไดออกไซด์เกิดเป็นมีเทน

ข้อดี

  • ลดปริมาณขยะอินทรีย์
  • ผลิตพลังงานสะอาด
  • ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
  • ได้ปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูง
  • ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการต่ำ

ข้อควรระวัง

  • ระวังก๊าซมีเทนและไฮโดรเจนซัลไฟด์ซึ่งติดไฟง่ายและเป็นอันตรายเมื่อสูดดม5
  • ต้องมีระบบระบายอากาศที่ดีและอุปกรณ์ป้องกันที่เหมาะสม

3.เทคโนโลยีเชื้อเพลิงขยะ

ขอบคุณภาพจาก https://www.energynewscenter.com/

เทคโนโลยีเชื้อเพลิงขยะ (Refuse Derived Fuel: RDF) เป็นกระบวนการแปรรูปขยะมูลฝอยให้เป็นเชื้อเพลิงที่มีคุณสมบัติเหมาะสมสำหรับใช้ในอุตสาหกรรม โดยผ่านกระบวนการคัดแยก ลดขนาด และปรับปรุงคุณสมบัติทางกายภาพและเคมีของขยะ เทคโนโลยีนี้ช่วยแก้ปัญหาการจัดการขยะและการขาดแคลนเชื้อเพลิงในภาคอุตสาหกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพนอกจากนี้ เชื้อเพลิง RDF ยังมีค่าความร้อนสูง สามารถควบคุมคุณภาพได้ และสะดวกต่อการขนส่ง ทำให้เป็นที่นิยมในการใช้ทดแทนเชื้อเพลิงฟอสซิลในโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น โรงงานปูนซีเมนต์ โรงไฟฟ้า และโรงงานอุตสาหกรรมที่ต้องการพลังงานความร้อนสูง

หลักการทำงานของ เทคโนโลยีเชื้อเพลิงขยะ มีอยู่ด้วยกัน 3 หัวข้อหลักๆ ดังนี้

การคัดแยกขยะ

  • แยกวัสดุที่เผาไหม้ไม่ได้ออก เช่น แก้ว โลหะ
  • คัดแยกขยะอันตรายออก
  • แยกขยะอินทรีย์ที่มีความชื้นสูงออก

การปรับปรุงคุณภาพ

  • บดย่อยให้มีขนาดเล็กลง
  • ลดความชื้นให้ต่ำกว่า 15%
  • อัดเป็นแท่งหรือเม็ดเพื่อสะดวกในการขนส่ง

การควบคุมคุณภาพ

  • ตรวจสอบค่าความร้อน
  • วิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมี
  • ควบคุมขนาดและความหนาแน่น

ข้อดีของเทคโนโลยี RDF

  • ลดปริมาณขยะที่ต้องนำไปฝังกลบ
  • ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
  • ทดแทนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล
  • สร้างรายได้จากการขายเชื้อเพลิง
  • ลดต้นทุนการกำจัดขยะ
  • สร้างงานในท้องถิ่น

ข้อควรระวัง

  • ต้องควบคุมความชื้นอย่างเคร่งครัด
  • ระวังการปนเปื้อนของสารอันตราย
  • ต้องมีระบบป้องกันฝุ่นที่มีประสิทธิภาพ
  • ต้องควบคุมการเผาไหม้ให้สมบูรณ์
  • ต้องมีระบบบำบัดมลพิษอากาศที่มีประสิทธิภาพ
  • ต้องมีการตรวจสอบคุณภาพอย่างสม่ำเสมอ
  • ต้องเก็บในที่แห้งและมีการระบายอากาศดี
  • ระวังการลุกติดไฟเองจากการสะสมความร้อน
  • ต้องมีระบบป้องกันอัคคีภัยที่เหมาะสม

4.เทคโนโลยีผลิตก๊าซเชื้อเพลิงจากขยะ

ขอบคุณภาพจาก http://www.mechdesign.co.th/

เทคโนโลยีผลิตก๊าซเชื้อเพลิงจากขยะ (Waste Gasification) เป็นกระบวนการแปรรูปขยะให้เป็นก๊าซเชื้อเพลิงด้วยความร้อนสูงในสภาวะที่มีออกซิเจนจำกัด โดยก๊าซที่ได้เรียกว่า “Syngas” ประกอบด้วยก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ไฮโดรเจน และมีเทนเป็นหลักเทคโนโลยีนี้ถือเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพในการจัดการขยะและผลิตพลังงาน เนื่องจากสามารถกำจัดขยะได้หลากหลายประเภท ลดปริมาตรขยะได้มากถึง 95% และให้พลังงานสูงกว่าการเผาไหม้โดยตรง นอกจากนี้ยังสามารถควบคุมมลพิษได้ดีกว่าการเผาขยะแบบทั่วไป ทำให้เป็นเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

หลักการทำงานของเทคโนโลยีผลิตก๊าซเชื้อเพลิงจากขยะ

กระบวนการแก๊สซิฟิเคชัน

  • ให้ความร้อนสูง 800-1,200°C
  • ควบคุมปริมาณออกซิเจน 20-30% ของที่ต้องการในการเผาไหม้สมบูรณ์
  • เกิดปฏิกิริยาเคมีหลายขั้นตอน

ขั้นตอนการเกิดปฏิกิริยา

  1. การอบแห้ง (Drying)
  2. การสลายตัวด้วยความร้อน (Pyrolysis)
  3. การเผาไหม้บางส่วน (Partial Oxidation)
  4. การรีดักชัน (Reduction)

การทำความสะอาดก๊าซ

  • กำจัดฝุ่นและเขม่า
  • กำจัดทาร์และน้ำมันดิน
  • ลดอุณหภูมิก๊าซ

ข้อดี

  • ปล่อยมลพิษน้อยกว่าการเผาไหม้โดยตรง
  • ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
  • เหลือเถ้าน้อยกว่าการเผาไหม้ทั่วไป
  • ประสิทธิภาพการผลิตพลังงานสูง
  • ก๊าซที่ได้มีความบริสุทธิ์สูง
  • สามารถนำไปใช้ได้หลากหลาย
  • ต้นทุนดำเนินการต่ำในระยะยาว
  • สร้างรายได้จากการขายพลังงาน
  • ลดค่าใช้จ่ายในการกำจัดขยะ

ข้อควรระวัง

  • ต้องควบคุมอุณหภูมิและปริมาณออกซิเจนอย่างแม่นยำ
  • ต้องมีระบบทำความสะอาดก๊าซที่มีประสิทธิภาพ
  • ต้องมีการบำรุงรักษาอุปกรณ์อย่างสม่ำเสมอ
  • ระวังการรั่วไหลของก๊าซ
  • ต้องมีระบบป้องกันการระเบิด
  • ต้องมีระบบระบายความร้อนฉุกเฉิน
  • ต้องคัดแยกขยะอันตรายออกก่อน
  • ควบคุมความชื้นของขยะให้เหมาะสม
  • ต้องมีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในการควบคุมระบบ

5.เทคโนโลยีการผลิตน้ำมันจากขยะพลาสติก

ขอบคุณภาพจาก https://www.bestongroup.com/

เทคโนโลยีการผลิตน้ำมันจากขยะพลาสติก (Plastic to Fuel) เป็นนวัตกรรมที่ช่วยแก้ปัญหาขยะพลาสติกและการขาดแคลนเชื้อเพลิงไปพร้อมกัน โดยใช้กระบวนการไพโรไลซิส (Pyrolysis) ซึ่งเป็นการสลายตัวของพลาสติกด้วยความร้อนในสภาวะไร้ออกซิเจนเทคโนโลยีนี้สามารถเปลี่ยนขยะพลาสติกให้กลับมาเป็นน้ำมันที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับน้ำมันดีเซล โดยพลาสติก 1 กิโลกรัมสามารถผลิตน้ำมันได้ประมาณ 0.7-0.8 ลิตร ทำให้เป็นทางเลือกที่น่าสนใจในการจัดการขยะพลาสติกอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ยังช่วยลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

หลักการทำงานของเทคโนโลยีการผลิตน้ำมันจากขยะพลาสติก

การเตรียมวัตถุดิบ

  • คัดแยกพลาสติกตามประเภท
  • ทำความสะอาดและกำจัดสิ่งปนเปื้อน
  • บดย่อยให้มีขนาดเล็กลง

กระบวนการไพโรไลซิส

  • ให้ความร้อนที่ 300-500°C
  • ทำในสภาวะไร้ออกซิเจน
  • พลาสติกจะสลายตัวเป็นไอ
  • ไอระเหยผ่านการควบแน่นเป็นน้ำมัน

การปรับปรุงคุณภาพน้ำมัน

  • กลั่นแยกส่วน
  • กำจัดสารปนเปื้อน
  • ปรับปรุงคุณสมบัติให้ได้มาตรฐาน

ข้อดี

  • ลดปริมาณขยะพลาสติก
  • ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
  • ลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล
  • สร้างมูลค่าเพิ่มจากขยะ
  • ลดต้นทุนการกำจัดขยะ
  • ลดการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
  • สร้างงานในท้องถิ่น
  • ส่งเสริมการคัดแยกขยะ
  • พัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียน

ข้อควรระวัง

  • ต้องควบคุมอุณหภูมิอย่างแม่นยำ
  • ต้องป้องกันการรั่วไหลของก๊าซ
  • ต้องมีระบบบำบัดไอเสียที่มีประสิทธิภาพ
  • ระวังการระเบิดจากก๊าซสะสม
  • ต้องมีระบบดับเพลิงที่เหมาะสม
  • ต้องมีอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล
  • ต้องควบคุมคุณภาพวัตถุดิบ
  • ต้องตรวจสอบคุณภาพน้ำมันอย่างสม่ำเสมอ
  • ต้องปรับปรุงคุณภาพให้ได้มาตรฐาน
  • ต้องมีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ
  • ต้องมีการบำรุงรักษาเครื่องจักรอย่างสม่ำเสมอ
  • ต้องมีระบบจัดการของเสียที่เหมาะสม

6.เทคโนโลยีการเผาในระบบเตาเผา

ขอบคุณภาพจาก https://www.greennetworkthailand.com/

เทคโนโลยีการเผาในระบบเตาเผา (Incineration) เป็นกระบวนการกำจัดขยะด้วยความร้อนสูงที่ได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยสามารถลดปริมาตรขยะได้ถึง 90% และนำพลังงานความร้อนที่ได้ไปผลิตไฟฟ้าหรือไอน้ำระบบเตาเผาสมัยใหม่ได้รับการออกแบบให้มีระบบควบคุมมลพิษที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถกำจัดสารพิษและฝุ่นละอองได้มากกว่า 99% ทำให้เป็นที่ยอมรับในหลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะในพื้นที่เมืองที่มีข้อจำกัดด้านพื้นที่ฝังกลบ นอกจากนี้ยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเมื่อเทียบกับการฝังกลบ และสร้างรายได้จากการขายไฟฟ้าหรือพลังงานความร้อน

หลักการทำงานของเทคโนโลยีการเผาในระบบเตาเผา

ขั้นตอนการเผาไหม้

  1. การอบแห้งและระเหยน้ำ (100-200°C)
  2. การเผาไหม้สารระเหย (200-750°C)
  3. การเผาไหม้คาร์บอนคงตัว (750-1,100°C)
  4. การเผาไหม้สมบูรณ์ (>850°C)

ระบบควบคุมมลพิษ

  • ระบบดักฝุ่นแบบไฟฟ้าสถิต
  • ระบบบำบัดก๊าซกรด
  • ระบบกำจัดไดออกซินและฟูแรน
  • ระบบดักจับโลหะหนัก

การนำพลังงานกลับมาใช้

  • หม้อไอน้ำผลิตไฟฟ้า
  • ระบบผลิตน้ำร้อนและไอน้ำ
  • ระบบทำความเย็น

ข้อดี

  • ลดปริมาตรขยะได้มาก
  • กำจัดขยะได้หลายประเภท
  • ทำลายเชื้อโรคได้สมบูรณ์
  • ผลิตไฟฟ้าได้ต่อเนื่อง
  • มีประสิทธิภาพการผลิตพลังงานสูง
  • ลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล
  • ควบคุมมลพิษได้ดี
  • ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
  • ใช้พื้นที่น้อยกว่าการฝังกลบ

ข้อควรระวัง

  • ต้องควบคุมอุณหภูมิให้สูงกว่า 850°C
  • ต้องควบคุมปริมาณอากาศให้เหมาะสม
  • ต้องควบคุมระยะเวลาเผาไหม้ให้เพียงพอ
  • ต้องตรวจสอบระบบบำบัดอย่างสม่ำเสมอ
  • ต้องมีการตรวจวัดมลพิษอย่างต่อเนื่อง
  • ต้องมีแผนรองรับกรณีระบบขัดข้อง
  • ต้องมีระบบป้องกันการระเบิด
  • ต้องมีระบบดับเพลิงฉุกเฉิน
  • ต้องมีแผนอพยพกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน
  • ต้องมีผู้เชี่ยวชาญควบคุมระบบ
  • ต้องมีการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ
  • ต้องมีการจัดการเถ้าที่เหมาะสม
  • ต้องมีระบบสำรองไฟฟ้า

บทสรุป

เทคโนโลยีการแปรรูปขยะเป็นพลังงานเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพในการจัดการขยะอย่างยั่งยืน โดยแต่ละเทคโนโลยีมีข้อดีและความเหมาะสมในการใช้งานที่แตกต่างกัน เช่น เทคโนโลยีการฝังกลบเหมาะสำหรับพื้นที่ที่มีขนาดใหญ่และต้องการระบบที่ดูแลง่าย เทคโนโลยีหมักไร้อากาศเหมาะกับขยะอินทรีย์และสามารถผลิตปุ๋ยได้ด้วยเทคโนโลยี RDF เหมาะสำหรับการผลิตเชื้อเพลิงที่มีคุณภาพสูงและขนส่งสะดวก

ในขณะที่เทคโนโลยีแก๊สซิฟิเคชันให้ประสิทธิภาพการผลิตพลังงานสูงและควบคุมมลพิษได้ดี ส่วนเทคโนโลยีการผลิตน้ำมันจากพลาสติกช่วยแก้ปัญหาขยะพลาสติกและสร้างเชื้อเพลิงคุณภาพสูง และเทคโนโลยีเตาเผาสามารถกำจัดขยะได้ปริมาณมากและผลิตไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่อง

การเลือกใช้เทคโนโลยีต้องพิจารณาปัจจัยหลายด้าน ทั้งประเภทและปริมาณขยะ งบประมาณ พื้นที่ติดตั้ง และความพร้อมของบุคลากร โดยอาจใช้หลายเทคโนโลยีร่วมกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการขยะ ที่สำคัญต้องให้ความสำคัญกับการควบคุมมลพิษและความปลอดภัยในการดำเนินงาน รวมถึงการบำรุงรักษาระบบอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้การจัดการขยะมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

แบตเตอรี่ Shenxing Plus ชาร์จเต็มวิ่งได้ 1,000 กม. ชาร์จ 10 นาทีวิ่งได้ 600 กม.

ช่วงนี้ทางผู้ผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าต่างก็พากันเปิดตัวแบตเตอรี่รุ่นใหม่ล่าสุด ซึ่ง CATL ผู้ผลิตแบตเตอรี่อันดับ 1 ของโลกในตอนนี้ ก็ได้เปิดตัวแบตเตอรี่รุ่นใหม่ล่าสุดในชื่อ Shenxing Plus ออกมา…

รู้จัก Urban-Act โครงการเปลี่ยนไทยสู่เมืองคาร์บอนต่ำ

วันนี้จะพาทุกท่านมารู้จักกับโครงการใหม่ล่าสุดที่เพิ่งมีการทำข้อตกลง เพื่อเปลี่ยนเมืองไทยสู่เมืองคาร์บอนต่ำ ซึ่งเป็นโครงการที่ได้รับความร่วมมือจาก องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (ESCAP) องค์การเมืองและรัฐบาลท้องถิ่นแห่งเอเชียแปซิฟิก (UCLG ASPAC) มหาวิทยาลัยชตุทการ์ท…

กังหันลมแบบไร้ใบพัด อนาคตใหม่ของการใช้พลังงานสะอาดที่บ้าน หรืออาคารในเมือง

ถ้าพูดถึงกังหันลม เราคงจะนึกภาพกังหันลมที่มีขนาดใหญ่ พร้อมใบพัดที่หมุนเพื่อไปสร้างกระแสไฟฟ้า ซึ่งปัจจุบันนี้ก็ได้มีบริษัทที่คิดค้นพัฒนากังหันลมแบบใหม่ออกมา เป็นกังหันลมแบบไร้ใบพัด (Bladless Wind Turbines) ที่มีการพัฒนามาสักระยะหนึ่งแล้ว อาทิเช่น…