กระทรวงพลังงาน เร่งเปิดให้มีการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) 7 มี.ค. 2566 และการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) 10 มี.ค. 2566 ก่อนรัฐบาลประกาศยุบสภาฯ เพื่อให้มาตรการต่างๆ ที่จะสิ้นสุดอายุในเดือน มี.ค. 2566 เดินหน้าได้ต่อเนื่อง ทั้งราคา LPG สำหรับประชาชนทั่วไปและ LPG สำหรับผู้มีรายได้น้อย, ราคาก๊าซ NGV ,ส่วนลดค่าไฟฟ้า รวมถึงเรื่องที่ยังค้างอยู่ เช่น อัตราค่าไฟฟ้าสีเขียว, เปิดเสรีธุรกิจก๊าซระยะที่ 2 ,แผนพลังงานแห่งชาติและแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าระยะยาวประเทศ (PDP)  

ผู้สื่อข่าวศูนย์ข่าวพลังงาน (Energy News Center-ENC) รายงานว่า หลังจากรัฐบาลประกาศเตรียมยุบสภาผู้แทนราษฎรในเดือน มี.ค. 2566 นี้ ส่งผลให้กระทรวงพลังงานต้องเร่งจัดให้มีการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ที่มีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นประธาน

โดยการจัดประชุมทั้ง กพช.และ กบง.ดังกล่าวจะเกิดขึ้นก่อนการยุบสภาฯ เบื้องต้นได้กำหนดจัดการประชุม กบง. ในวันที่ 7 มี.ค. 2566 และประชุม กพช. ในวันที่ 10 มี.ค. 2566 ทั้งนี้เนื่องจากมีวาระด้านพลังงานที่ต้องเร่งตัดสินใจเพราะหลายมาตรการจะสิ้นสุดอายุในสิ้นเดือน มี.ค. 2566

ทั้งนี้วาระที่สำคัญคือ 1. มาตรการด้านราคาก๊าซหุงต้ม(LPG) โดยในส่วนของที่ประชุม กบง. จะต้องพิจารณาในเรื่องราคา LPG สำหรับประชาชนทั่วไป เนื่องจากมติ กบง. เดิมเมื่อวันที่ 18 ม.ค. 2566 กำหนดให้ราคาจำหน่าย LPG สำหรับประชาชนทั่วไปอยู่ที่ 408 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม ระหว่างวันที่ 1-28 ก.พ. 2566 และจากนั้นในวันที่ 1-31 มี.ค. 2566 ให้ปรับขึ้นกิโลกรัมละ 1 บาท หรือเท่ากับปรับขึ้น 15 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม ทำให้ราคา LPG จะมาอยู่ที่ 423 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม ดังนั้นมติดังกล่าวจะสิ้นสุดในเดือน มี.ค. 2566 นี้ จึงต้องมีการพิจารณาถึงทิศทางราคา LPG ของเดือน เม.ย. 2566 ต่อไปล่วงหน้า

นอกจากนี้ยังต้องรอให้คณะรัฐมนตรี(ครม.) พิจารณาตามมติ กบง. ที่เสนอเรื่องการต่ออายุส่วนลดราคา LPG สำหรับผู้มีรายได้น้อย หรือกลุ่มหาบเร่แผงลอย ที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เนื่องจากมาตรการส่วนลดราคา LPG 100 บาทต่อคนต่อ 3 เดือน ที่เริ่มมาตั้งแต่ 1 ม.ค.2566 จะสิ้นสุดมาตรการในวันที่ 31 มี.ค. 2566 โดยที่ประชุม กบง. เมื่อวันที่ 14 ก.พ. 2566 ได้พิจารณาให้ต่ออายุมาตรการดังกล่าวออกไปอีก 3 เดือน ระหว่าง เม.ย.-มิ.ย. 2566 ซึ่งขณะนี้รอเพียง ครม.พิจารณาเห็นชอบเท่านั้น

2.มาตรการด้านราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) โดยที่ผ่านมา กบง. ได้ขอความร่วมมือกับบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) ให้คงราคาจำหน่าย NGV สำหรับรถแท็กซี่ในโครงการเอ็นจีวีเพื่อลมหายใจเดียวกัน ไว้ที่ 13.62 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 ธ.ค. 2565 และจะสิ้นสุดในวันที่ 15 มี.ค. 2566 นี้ ดังนั้น กบง.จะต้องพิจารณาเกี่ยวกับมาตรการดังกล่าวว่าจะประสานการทำงานร่วมกับ ปตท.ด้านราคา NGV อย่างไรต่อไปหลังสิ้นสุดมาตรการ

3.มาตรการด้านราคาค่าไฟฟ้าประชาชน โดยที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้พิจารณาเห็นชอบอัตราส่วนลดค่าไฟฟ้าตามมติ กบง.งวดเดือน ม.ค.-เม.ย. 2566   โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ 1.กลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าระหว่าง 1-150 หน่วย จะได้รับส่วนลดค่าไฟฟ้า 92.04 สตางค์ต่อหน่วย และ 2. กลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าระหว่าง 151-300 หน่วยจะได้รับส่วนลดค่าไฟฟ้า 67.04 สตางค์ต่อหน่วย   ดังนั้นต้องรอดูว่า ที่ประชุม กพช.ในวันที่ 10 มี.ค. 2566 นี้จะมีการหารือเรื่องส่วนลดค่าไฟฟ้าสำหรับครัวเรือนงวดต่อไปในเดือน พ.ค.-ส.ค. 2566 หรือไม่ เนื่องจากการเลือกตั้งใหม่และกระบวนการจัดตั้งรัฐบาลอาจใช้เวลานาน ดังนั้นหาก กพช. ไม่มีการพิจารณาไว้ก่อนจะส่งผลให้ค่าไฟฟ้าประชาชนงวดต่อไปต้องเท่ากับที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.) ประกาศไว้โดยไม่มีส่วนลดค่าไฟฟ้า

นอกจากนี้ยังมีอีกหลายเรื่องที่กระทรวงพลังงานต้องส่งให้ กพช. และ ครม.พิจารณา เช่น แผนพลังงานแห่งชาติ, แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าระยะยาวประเทศ หรือ PDP, การขออนุมัติวงเงินกู้เพิ่มเติมสำหรับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง รวมถึงกรณีค่าไฟฟ้าสีเขียว 2 แนวทาง ที่ กกพ.อยู่ระหว่างการรับฟังความเห็น ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 7 มี.ค. 2566  และเรื่องการเปิดเสรีธุรกิจก๊าซธรรมชาติระยะที่ 2 ที่ต้องนำกลับมารายงาน กพช. ด้วย

Source : Energy News Center

ประชาชนคนไทยหัวจะปวด หลังสินค้าหลายประเภทพาเหรดขึ้นราคาแพงทั้งแผ่นดิน ร้องจ๊ากก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ขึ้นราคาอีกแล้ว ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. ปรับขึ้นอีก กก.ละ 1 บาท ทำให้ราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มขนาดถัง 15 กก. จะอยู่ที่ราคา 378 บาท/ถัง ปตท.ประเมินราคาเฉลี่ยน้ำมันดิบดูไบปีนี้แตะ 103-104 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ด้านกระทรวงพาณิชย์จับเข่าคุยห้าง-ร้านสะดวกซื้อ ทุกรายยันยังไม่ปรับขึ้นราคาขาย ขณะที่กรมการค้าภายในยอมรับน้ำอัดลมเตรียมขึ้นราคา 1 ก.ค. แต่ในข่าวร้ายยังมีข่าวดี สมาคมผู้ประกอบการข้าวถุงไทย สมาคมโรงสีข้าวไทย สมาคมโรงสีข้าวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ยืนยันไม่ขึ้นราคาข้าวสารถุงแต่จะจัดจุดจำหน่ายข้าวถุงราคาประหยัดทั่วประเทศร่วมกับกรมการค้าภายใน ขณะที่บุญรอดฯอั้นไม่ไหวแล้วขอปรับราคา “เบียร์ลีโอ” 1 บาท

คนไทยกระอักอีกหลังสินค้าทั้งเครื่องอุปโภค บริโภคแพงทั้งแผ่นดิน ทั้งนี้ ในวันที่ 1 ก.ค. ราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) จะมีการปรับราคาขึ้นอีกกิโลกรัม (กก.) ละ 1 บาท ส่งผลให้ราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มขนาดถัง 15 กก. จะปรับขึ้นอีก 15 บาทไป อยู่ที่ราคา 378 บาท/ถัง ตามมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ที่มีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รมว.พลังงาน เป็นประธาน เพื่อลดภาระการจ่ายเงินชดเชยราคาแอลพีจีของกองทุนน้ำมัน เพื่อช่วยเหลือประชาชนตามนโยบายรัฐบาลก่อนหน้านี้ โดยรัฐบาลยังช่วยเหลือส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้มแก่ผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 100 บาท/คน/3 เดือน มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.-30 ก.ย.

ขณะเดียวกัน เมื่อวันที่ 27 มิ.ย.กองทุนน้ำมันมีสถานภาพติดลบ 102,586 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ แบ่งเป็นบัญชีน้ำมันติดลบ 65,202 ล้านบาท เป็นบัญชีก๊าซหุงต้มติดลบ 37,384 ล้านบาท มีเงินฝากเป็นสภาพคล่องของกองทุนน้ำมัน 3,310 ล้านบาท ล่าสุด กองทุนน้ำมันจ่ายชดเชยราคาขายปลีกน้ำมันอยู่ที่ 10.77 บาท/ลิตร เพื่อตรึงราคาไว้ที่ 34.94 บาท/ลิตร ไม่ให้เกินเพดานที่ 35 บาท/ลิตร จากราคาจริงจะอยู่ที่ 45.71 บาท/ลิตร

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปตท.ประเมินว่า สถานการณ์ราคาน้ำมันดิบ 6 เดือนสุดท้ายของปีนี้จะทรงตัวในระดับสูงที่ระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลบวกลบ หรือมีราคาเฉลี่ยทั้งปีนี้ อยู่ที่ 103-104 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล นับว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทำให้ต้นทุนราคาขายปลีกพลังงานโดยรวมของประเทศไทยทั้งน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ เอ็นจีวี และก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ยังอยู่ในระดับสูง ดังนั้น แนวทางรับมือกับปัญหาดังกล่าว คือ ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันประหยัดการใช้พลังงาน เพื่อลดต้นทุนการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศในช่วงที่ราคาแพง ขณะที่ทุกธุรกิจในกลุ่ม ปตท.ทำประกันความเสี่ยงราคา สินค้าเพื่อบริหารความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาไว้รองรับแล้ว

“ส่วนตัวมองว่า ราคาน้ำมันดิบในปี 2566 จะอ่อนตัวลงต่ำกว่าระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หากไม่มีสถานการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นเพิ่มเติม เช่น ปัญหาสู้รบระหว่างประเทศมหาอำนาจ การคว่ำบาตรรัสเซียที่ไม่รุนแรงขึ้น โดยราคาน้ำมันดิบที่มีแนวโน้มอ่อนตัวลงในปีหน้า เนื่องจากคาดว่าจะมีซับผลผลิตน้ำมันดิบเข้าสู่ตลาดโลกมากขึ้น หลังกลุ่มประเทศผู้ผลิตและผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลก (โอเปก) เตรียมปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันเดือนละ 600,000 บาร์เรลต่อวัน ปลายปีนี้จะมีการผลิตน้ำมันดิบป้อนเข้าตลาดโลกอีก 3 ล้านบาร์เรลต่อวัน ประกอบกับทิศทางเศรษฐกิจโลกไม่ได้เติบโตมากนัก ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันยังไม่หวือหวา จึงน่าจะส่งผลให้ราคาน้ำมันอ่อนตัวลงได้” นายอรรถพลกล่าว

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวอีกว่าสำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานของ ปตท.ไตรมาส 2 คาดว่ายอดขายจะปรับเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1 ที่ผ่านมาและสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็นไปตามทิศทางราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นและโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย รวมทั้งมีการเปิดประเทศทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มกลับมาคึกคักมากขึ้น จึงส่งผลให้รายได้ของกลุ่ม ปตท.ปรับสูงขึ้น 5 เดือนสุดท้ายของปีนี้ กลุ่ม ปตท.ยังจะเดินหน้าขยายการลงทุนด้านพลังงานตามแผนลงทุน 5 ปี เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานพลังงานที่ต้องวางแผนการลงทุนระยะยาว เพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจในอนาคต แต่การลงทุนในธุรกิจที่ไม่ใช่เทรนด์ของอนาคตกลุ่ม ปตท.ก็จะไม่ลงทุนเพิ่มเติม เช่น ธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน เป็นต้น ทั้งนี้ 6 เดือนแรกของปีนี้ ปตท.ได้เข้าไปช่วยแบ่งเบาภาระต้นทุนราคาพลังงานให้กับกลุ่มเปราะบางทั้งการใช้ส่วนลดราคาเอ็นจีวีและแอลพีจี รวมวงเงิน 3,300 ล้านบาทและจะยังยืดอายุมาตรการช่วยเหลือตามนโยบายรัฐบาลต่อไปอีก 3 เดือน (ก.ค.-ก.ย.) เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนกลุ่มเปราะบาง

ด้านนายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. กรมได้ประชุมกับห้างค้าส่งค้าปลีกและร้านสะดวกซื้อ เช่น แม็คโคร บิ๊กซี โลตัส ท็อปส์ ฟู้ดแลนด์ เซเว่น-อีเลฟเว่น ลอว์สัน ซีเจ เอ็กซ์เพรส แมกซ์ แวลู ติดตามสถานการณ์ราคาสินค้า พบว่าภายหลังจากที่มีการผ่อนคลายมาตรการการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 แล้ว ทำให้ประชาชนจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น เฉลี่ย 10-20% โดยในแหล่งที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยว หรือมีนักท่องเที่ยวพักอาศัยจะมียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 40-50%

อธิบดีกรมการค้าภายในกล่าวต่อว่า สำหรับสถานการณ์ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อการครองชีพ ทุกห้างยืนยันว่าจะไม่มีการปรับขึ้นราคาในช่วงนี้และยินดีจะให้ความร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์จัดโปรโมชันอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนและกรมยังได้ขอความร่วมมือตรึงอัตราค่าธรรมเนียมต่างๆ ในช่วงนี้ สำหรับราคาจำหน่ายปลีกจะต้องไม่ให้เอาเปรียบผู้บริโภค โดยให้ปิดป้ายแสดงราคาอย่างชัดเจน ส่วนกรณีข้าวสารบรรจุถุงที่มีกระแสข่าวว่าจะปรับขึ้นราคาก่อนหน้านี้ กรมได้ประชุมกับสมาคมผู้ประกอบการข้าวถุงไทย สมาคมโรงสีข้าวไทย สมาคมโรงสีข้าวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทุกฝ่ายยืนยันว่าจะไม่ปรับขึ้นราคา ทั้งในส่วนผู้ประกอบการข้าวถุงและโรงสี ในฐานะผู้แปรรูปข้าวเปลือกเป็นข้าวสาร นอกจากนี้จะจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายหมุนเวียนแต่ละยี่ห้ออย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งจะจัดให้มีจุดจำหน่ายข้าวถุงราคาประหยัดทั่วประเทศร่วมกับกรมการค้าภายในอีกด้วย

“กรณีที่มีการฉวยโอกาสขึ้นราคา หรือจำหน่ายแพงเกินสมควร จะมีโทษตามมาตรา 29 แห่ง พ.ร.บ. ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 จำคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และกรณีที่ไม่ปิดป้ายแสดงราคาจะมีโทษปรับสูงสุด 10,000 บาท หากพบเห็นพฤติกรรมดังกล่าว สามารถแจ้งได้ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน โทร. 1569 หรือสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทุกจังหวัดจะสั่งเจ้าหน้าที่ออกตรวจสอบ หากพบผิดจะดำเนินการตามกฎหมายขั้นเด็ดขาด” นายวัฒนศักย์กล่าว

ร้อยตรีจักรา ยอดมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวถึงข่าวที่น้ำอัดลมและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เตรียมปรับขึ้นราคาขายตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. ว่า ที่ผ่านมาได้ขอความร่วมมือผู้ประกอบการน้ำอัดลมตรึงราคามาตั้งแต่ต้นปีและได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี แต่เดือนที่แล้วได้รับแจ้งจากผู้ผลิตบางรายว่ามีภาระต้นทุนสินค้าที่เพิ่มขึ้นมาก เช่น ค่าบรรจุภัณฑ์ โดยเฉพาะกระป๋องอะลูมิเนียม ค่าขนส่งและโลจิสติสก์ ผลกระทบจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่า ทำให้ต้นทุนการนำเข้ายิ่งสูงขึ้นมาก ทำให้มีความจำเป็นต้องปรับขึ้นราคาขายสินค้า จึงได้เชิญผู้ผลิตน้ำอัดลมมาหารือเพื่อติดตามสถานการณ์และขอความร่วมมือชะลอการปรับราคา แต่บางรายได้ชี้แจงความจำเป็นในการปรับราคาด้วยเหตุผลด้านต้นทุนดังกล่าว กรมรับทราบและขอความร่วมมือให้ปรับขึ้นราคาแบบให้มีผลกระทบต่อผู้บริโภคน้อยที่สุด ขณะที่รายใดที่สามารถบริหารต้นทุนได้ขอความร่วมมือให้ตรึงราคา ต่อไป

“แม้น้ำอัดลม เครื่องดื่มต่างๆ ไม่ได้เป็นสินค้าควบคุม แต่เป็นสินค้าที่ประชาชนส่วนหนึ่งนิยมบริโภค กรมจึงได้ติดตามดูแลอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด สำหรับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่จะปรับราคา โดยหลักแล้วกรมจะเน้นเข้าไปกำกับดูแลสินค้าที่จำเป็นในการครองชีพของประชาชนมากกว่า ส่วนสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป มีการแจ้งขอปรับราคามาที่กรมบ้าง แต่ยังไม่มีการอนุญาตให้ปรับขึ้นราคาและขอความร่วมมือให้ตรึงราคาต่อไปก่อน” ร้อยตรีจักรากล่าว

ส่วนนายภูริต ภิรมย์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด เปิดเผยว่า เบียร์ลีโอ ถือเป็นเบียร์ยอดนิยมที่มีการปรับราคาช้าที่สุดในตลาดที่ผ่านมาบริษัทบุญรอดฯ มีความพยายามอย่างยิ่งที่จะยืนยันนโยบายการตรึงราคาสินค้า “เบียร์ลีโอ” โดยไม่มีการปรับขึ้นราคา หรือปรับลดปริมาณสินค้า ทุกขนาดบรรจุ มาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2565 ขณะที่ต้นทุนการผลิตสินค้าปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาพลังงานและวัตถุดิบ โดยการตรึงราคาเพื่อลดผลกระทบของผู้บริโภคในสถานการณ์ดังกล่าว

นายภูริตกล่าวต่อว่า ทั้งนี้ เบียร์ลีโอจะมีการปรับขึ้นราคาขายปลีกและขายส่งดังนี้ ขวดใหญ่ (620ml) ปรับขึ้น 12 บาทต่อลัง หรือเท่ากับปรับขึ้น 1 บาทต่อขวด ขวดเล็ก (320ml) ปรับขึ้น 18 บาทต่อลัง หรือเฉลี่ยขวดละ 0.75 บาท กระป๋องยาว (490ml) ปรับขึ้น 11 บาทต่อลัง หรือ 0.90 บาทต่อกระป๋อง กระป๋องสั้น (320ml) ปรับขึ้น 18 บาทต่อลัง หรือกระป๋องละ 0.75 บาท บริษัทขอยืนยันว่าไม่มีนโยบายในการปรับลดปริมาณสินค้าอย่างแน่นอน สำหรับราคาขายปลีกเบียร์ลีโอจะเพิ่มขึ้นลังละ 12 บาท และถาดละ 18 บาท ทำให้ราคาเบียร์ลีโอขวดใหญ่ราคาขายส่งจะอยู่ที่ 616 บาทต่อลัง ขายปลีก 626 บาทต่อลัง และ 59 บาทต่อขวด ส่วนกระป๋องเล็กขายส่งอยู่ที่ 750 บาทต่อถาด ขายปลีก 762 บาทต่อถาด และ 39 บาทต่อกระป๋อง

Source : ไทยรัฐ

รายงานข่าวแจ้งว่าวันที่ 1 ก.ค.2565 ราคาก๊าซหุงต้ม(แอลพีจี) ปรับราคาขึ้นอีกกิโลกรัม(ก.ก.) ละ 1 บาท ส่งผลให้ราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มขนาดถัง 15 ก.ก. จะปรับขึ้นอีก 15 บาท อยู่ ที่ 378 บาท/ถัง 15 ก.ก. จากปัจจุบันอยู่ที่ 363 บาท/ถัง 15 ก.ก. ตามมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน(กบง.) ที่มีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รมว.พลังงาน เป็นประธาน ซึ่งเป็นการปรับขึ้นครั้งที่ 3 โดยรัฐยังช่วยเหลือส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้มแก่ผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 100 บาท/คน/ 3 เดือน มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.-30 ก.ย.2565 ขณะที่น้ำมันดีเซลในประเทศยังคงตรึงราคาขายปลีกอยู่ที่ 34.94 บาท/ลิตร ไม่ให้เกินเพดาน 35 บาท/ลิตร ตามที่ครม.กำหนด

โดย ปตท. ได้ขยายระยะเวลาการช่วยเหลือส่วนลดแก่ผู้ใช้ก๊าซหุงต้ม(แอลพีจี) ในกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่เป็นร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 100 บาท/คน/เดือน ออกไปอีก 3 เดือน จนถึงวันที่ 30 ก.ย.2565 จากที่หมดอายุในเดือนมิ.ย.2565

นอกจากนี้ ปตท.ขยายระยะเวลาตรึงราคาขายปลีกก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (เอ็นจีวี) ที่ 15.59 บาท/ก.ก. และขยายระยะเวลาตรึงราคาขายปลีกเอ็นจีวี สำหรับผู้ประกอบอาชีพขับขี่รถแท็กซี่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่ 13.62 บาท/ก.ก. ในโครงการ “เอ็นจีวี เพื่อลมหายใจเดียวกัน” ออกไปอีก 3 เดือน จนถึงวันที่ 15 ก.ย.2565 รวมเป็นเงินอีกกว่า 2,800 ล้านบาท

ที่ผ่านมา ปตท. ได้ช่วยเหลือค่าพลังงานแก่ประชาชน ขานรับนโยบายภาครัฐ และบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนทุกภาคส่วน รวมงบประมาณที่ได้ช่วยเหลือไปแล้วกว่า 5,200 ล้านบาท เช่น ตรึงราคาขายปลีกเอ็นจีวี สำหรับผู้ประกอบอาชีพขับขี่รถแท็กซี่เอ็นจีวี ทั้งในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลเป็นเงินกว่า 400 ล้านบาท การตรึงราคาขายปลีกช่วยเหลือกลุ่มผู้ใช้รถเอ็นจีวี ส่วนบุคคลใช้งบกว่า 3,900 ล้านบาท และการจัดหาน้ำมันดิบสำรองเพิ่มเติมเป็นเงินกว่า 550 ล้านบาท

ณ วันที่ 27 มิ.ย.2565 กองทุนติดลบ 102,586 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ แบ่งเป็นบัญชีน้ำมันติดลบ 65,202 ล้านบาท เป็นบัญชีก๊าซหุงต้ม(แอลพีจี) ติดลบ 37,384 ล้านบาท มีเงินฝากเป็นสภาพคล่องของกองทุน 3,310 ล้านบาท โดยขณะนี้กองทุนชดเชยราคาขายปลีกอยู่ที่ 10.77 บาท/ลิตร เพื่อตรึงราคาดีเซลไว้ที่ 34.94 บาท/ลิตร ไม่ให้เกินเพดานที่ 35 บาท/ลิตร จากราคาจริงจะอยู่ที่ประมาณ 45.71 บาท/ลิตร

Source : ไทยโพสต์