ปัญหาพลาสติกทั่วโลกสะท้อนให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของขยะพลาสติกที่ยังคงเป็นปัญหาหลักและส่งผลกระทบต่อระบบของโลกกลุ่มเซ็นทรัลซึ่งมีเป้าหมายในการมุ่งสู่ Net Zero ในปี 2050 มีการดำเนินงานผ่านนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นการลดขยะ หยิบสิ่งที่รีไซเคิลได้มาใช้ประโยชน์ เปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด และสร้างความยั่งยืนให้ครบทุกมิติสิ่งแวดล้อม สังคม ธรรมาภิบาล

ด้วยแนวคิดของ พิชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการบริหาร กลุ่มเซ็นทรัล ที่ว่า “หากป่ากลับมา สัตว์ป่าจะกลับมา” และเป็นที่มาของการริเริ่มโครงการใหญ่ๆ มากมาย อาทิ โครงการปลูกป่าใน จ.เชียงใหม่ จ.เชียงราย จ.น่าน ซึ่งเป็นพื้นที่ต้นน้ำ พร้อมสร้างแรงกระตุ้นให้มีการลงมือปฏิบัติ ผ่านการดำเนินโครงการต่างๆ ร่วมกับบริษัทในเครือ และภาคีเครือข่าย ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน เดินหน้ายกระดับความตระหนักเพื่อลดมลพิษทางสิ่งแวดล้อมมาอย่างต่อเนื่อง

‘กลุ่มเซ็นทรัล’ ลงมือทำทุกมิติสิ่งแวดล้อม ปรับ-เปลี่ยน เพื่อโลกที่ยั่งยืน

ความสำเร็จดังกล่าว ขยายผลสู่การพัฒนาโครงการด้านสิ่งแวดล้อมภายในเครือทั้งในส่วนของรีเทล ศูนย์การค้า และโรงแรม ไม่ว่าจะเป็นการลดขยะ แก้ปัญหาขยะพลาสติก การรีไซเคิล รวมถึงการจัดการขยะอาหารนำไปทำปุ๋ย ขณะเดียวกัน ช่วงโควิด-19 มีการจัดการลังกระดาษโดยเปลี่ยนเป็นเตียงผู้ป่วย เปลี่ยนพลาสติกเป็นชุด PPE

และหลังจากโควิด-19 เกิดโครงการ Upcycling เปลี่ยนพลาสติกให้เป็นของมีมูลค่า มีการนำขวดพลาสติกมารีไซเคิลเป็นเสื้อกันหนาว และผ้าห่ม เพื่อส่งต่อให้แก่ผู้ประสบภัยหนาวในถิ่นทุรกันดาร ผ่านโครงการขวดเปล่าไม่สูญเปล่า และยังมีโครงการต่างๆ อีกมากมาย อาทิ ร้าน GOOD GOODS (กู๊ด กู๊ดส์)ภายใต้วิสาหกิจเพื่อสังคม เซ็นทรัล ทำได้ร่วมกับดีไซเนอร์นำวัตถุดิบที่ได้มาออกแบบเป็นกระเป๋าดีไซน์ทันสมัย เพื่อลดปริมาณและเพิ่มมูลค่าให้ขยะพลาสติกได้มากที่สุด เป็นต้น

‘กลุ่มเซ็นทรัล’ ลงมือทำทุกมิติสิ่งแวดล้อม ปรับ-เปลี่ยน เพื่อโลกที่ยั่งยืน

CRC เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

สำหรับบริษัทเซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ตั้งเป้ามุ่งสู่ Green & Sustainable retail มีแนวทางปฏิบัติในการแก้ปัญหาการเพิ่มขึ้นของขยะพลาสติก โดยเน้น 3 ประเด็นสำคัญคือ ‘การลดขยะ’ โดยเฉพาะพลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้ง ถัดมา คือ ‘การใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม’ ส่งเสริมให้ทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค มีความเข้าใจและมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม สุดท้าย ‘การรวบรวมส่งรีไซเคิล’ ผลิตสินค้ากระเป๋าผ้า ผ้าห่ม เสื้อกั๊ก และการลดขยะอาหารโดยลดราคาก่อนหมดอายุ บริจาคให้กลุ่มเปราะบาง หรือรวบรวมทำปุ๋ยและก๊าซชีวภาพ พร้อมเดินหน้าสู่ Net zero ในปี 2050 ผ่านกลยุทธ์ ReNEW ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หันมาใช้พลังงานสะอาด การขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยลดการใช้ทรัพยากร การบริหารจัดการของเสีย การส่งเสริมสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการฟื้นฟูพื้นที่สีเขียว 50,000 ไร่ ภายในปี 2030

‘กลุ่มเซ็นทรัล’ ลงมือทำทุกมิติสิ่งแวดล้อม ปรับ-เปลี่ยน เพื่อโลกที่ยั่งยืน

เซ็นทรัลพัฒนา ลดขยะฝังกลบ 50%

ด้าน บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาธุรกิจศูนย์การค้าเซ็นทรัล ที่พักอาศัย อาคารสำนักงาน และโรงแรมทั่วประเทศ มุ่งพัฒนาโครงการควบคู่ไปกับการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน มีเป้าหมายการลดปริมาณขยะที่ส่งไปหลุมฝังกลบให้เป็นศูนย์ ตั้งเป้า ปี 2023 ลดขยะฝังกลบให้ได้ 35% ของปริมาณขยะทั้งหมดที่ขนออกจากองค์กร และลดลงให้ได้ 50% ภายในปี 2025 รวมถึงเล็งใช้พลังงานทดแทน 100% อาทิ ติดโซลาร์เซลล์ที่หลังคาทุกสาขา และมองหาเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อลดการใช้ฟอสซิล อีกทั้ง มีการกำหนดเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกที่สอดคล้องกับเป้าหมายของข้อตกลงปารีส มุ่งสู่การจำกัดอุณหภูมิฯ ไว้ให้ไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส โดยอยู่ระหว่างศึกษาในเรื่องของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งทางตรงและทางอ้อม

‘กลุ่มเซ็นทรัล’ ลงมือทำทุกมิติสิ่งแวดล้อม ปรับ-เปลี่ยน เพื่อโลกที่ยั่งยืน

โรงแรมยั่งยืน สิ่งแวดล้อมยั่งยืน

สำหรับบริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จํากัด (มหาชน) มีการวางแนวนโยบายการจัดการขยะอย่างเป็นระบบ กำหนดแนวปฏิบัติให้กับทุกโรงแรม เพื่อให้มีการคัดแยกขยะก่อนนำขยะกำพร้าส่งไปยังหลุมฝังกลบตามหลักการลดขยะจากต้นทาง อีกทั้ง มีการบันทึกข้อมูลขยะโดยแบ่งเป็น 4 ประเภทหลัก คือ 1. ขยะรีไซเคิล 2. ขยะอินทรีย์ 3. ขยะทั่วไป และ 4. ขยะอันตราย

เป้าหมายระยะแรก 10 ปี (ปี 2020-2029) คือ มุ่งลดการใช้พลังงาน ลดการใช้น้ำ ลดปริมาณขยะไปสู่หลุมฝังกลบ และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 20% เทียบจากปีฐาน 2019 เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาด บำบัดน้ำเสียเพื่อใช้รดน้ำต้นไม้ ลดการนำขยะไปยังหลุมฝังกลบ คัดแยกขยะอย่างเป็นระบบ เปลี่ยนขยะอินทรีย์เป็นสารปรับปรุงดินและได้ก๊าซชีวภาพสำหรับปรุงอาหารในโรงแรม ตั้งเป้าเพิ่มพื้นที่สีเขียวด้วยการปลูกป่าอย่างน้อย 100,000 ต้น ภายในปี 2029

‘กลุ่มเซ็นทรัล’ ลงมือทำทุกมิติสิ่งแวดล้อม ปรับ-เปลี่ยน เพื่อโลกที่ยั่งยืน

Love the Earth เปลี่ยนไลฟ์สไตล์เพื่อโลก

เนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก (World Environment Day) กลุ่มเซ็นทรัล ร่วมกับ โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Environment Programme: UNEP) ชวนเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ภายใต้แคมเปญ “Love the Earth” (เลิฟ ดิ เอิร์ธ) ในธีม Beat Plastic Pollution ลดมลพิษทางสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากพลาสติก สู่เป้าหมาย NetZero ปี 2050 ส่งเสริมด้านความยั่งยืนผ่านกิจกรรม World Environment Day ในรูปแบบ Carbon Neutral ตั้งแต่การ Reuse วัสดุภายในงาน นำกลับมาใช้ซ้ำ หรือนำไป Recycle อย่างถูกวิธี รวมถึงการคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมที่เกิดขึ้นทั้งหมด และจะทำการชดเชยปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เท่ากับศูนย์

‘กลุ่มเซ็นทรัล’ ลงมือทำทุกมิติสิ่งแวดล้อม ปรับ-เปลี่ยน เพื่อโลกที่ยั่งยืน

Source : กรุงเทพธุรกิจ

ห้างเซ็นทรัลและห้างโรบินสัน ผนึกกำลัง กรมป่าไม้ ชวนคนไทยร่วมภารกิจ “ปลูกต้นไม้ 100,000 ต้น” เพิ่มกรีนสเปซกว่า 490 ไร่ทั่วประเทศ กับแคมเปญ “CENTRAL | ROBINSON LOVE THE EARTH 2023” พร้อมยืนหยัดสานต่อ 4 กรีนมิชชั่นรักษ์โลกอย่างยั่งยืน ต้อนรับวันสิ่งแวดล้อมโลก

เนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก 5 มิ.ย. 66 ห้างเซ็นทรัลและห้างโรบินสัน ในเครือเซ็นทรัล รีเทล จัดแคมเปญ “CENTRAL | ROBINSON LOVE THE EARTH 2023” (เซ็นทรัล | โรบินสัน เลิฟ ดิ เอิร์ธ 2023) ผนึกกำลัง กรมป่าไม้ ชวนคนไทยทั่วประเทศร่วมภารกิจเพิ่มพื้นที่สีเขียว “ปลูกต้นไม้ 100,000 ต้น” ในพื้นที่ราว 490 ไร่ เพื่อคืนสมดุลให้กับสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดและยั่งยืนที่สุด จาก 3 ปัญหาหลักด้านสิ่งแวดล้อมที่เราต้องประสบอยู่ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็น

1) ภาวะโลกร้อน (Climate Change) โดยในปี 2566 ประเทศไทย มีค่าคาดหมายดัชนีความร้อนสูงถึง 53.8 องศาเซลเซียส และองค์กร WHO คาดว่าอีกไม่เกิน 10 ปี อาจมีผู้ได้รับผลกระทบรุนแรงจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศถึง 250,000 คน

2) ปัญหามลพิษทางอากาศ (Air Pollution / PM2.5) โดย 9 ใน 10 ของประชากรทั่วโลกกำลังหายใจด้วยอากาศที่เป็นพิษ และ 1.3 ล้านคนถึงแก่ชีวิตด้วยสาเหตุมลพิษทางอากาศหรือคิดเป็น 30% จากทั่วโลก 

3) ปริมาณและการจัดการขยะ (Waste Quantity & Management) ซึ่งไทยมีอัตราการเพิ่มขึ้นของขยะสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยปี 2565 มีปริมาณขยะมูลฝอยเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 0.72 ล้านตัน และมีขยะพลาสติกประมาณปีละ 2 ล้านตัน 

เซ็นทรัล-โรบินสัน ชวน ปลูกต้นไม้ 100,000 ต้น เพิ่มกรีนสเปซกว่า 490 ไร่ทั่วไทยเซ็นทรัล-โรบินสัน ชวน ปลูกต้นไม้ 100,000 ต้น เพิ่มกรีนสเปซกว่า 490 ไร่ทั่วไทย

ซึ่งการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนและตรงจุดควรเริ่มอย่างเร็วที่สุด และเริ่มที่ “ตัวเรา” ทุกคน เพื่อให้เกิดการร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพราะปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่รอไม่ได้ จึงเป็นที่มาของแคมเปญ “CENTRAL | ROBINSON LOVE THE EARTH” (เซ็นทรัล | โรบินสัน เลิฟ ดิ เอิร์ธ) ที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง

เซ็นทรัล-โรบินสัน ชวน ปลูกต้นไม้ 100,000 ต้น เพิ่มกรีนสเปซกว่า 490 ไร่ทั่วไทยเซ็นทรัล-โรบินสัน ชวน ปลูกต้นไม้ 100,000 ต้น เพิ่มกรีนสเปซกว่า 490 ไร่ทั่วไทย

รวิศรา จิราธิวัฒน์ ประธานบริหารฝ่ายการตลาด บริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัด และบริษัท โรบินสัน จำกัด (มหาชน) ในเครือเซ็นทรัล รีเทล กล่าวเพิ่มเติมถึงเจตนารมณ์ในการสานต่อแคมเปญ “CENTRAL | ROBINSON LOVE THE EARTH 2023” ว่า “ทางห้างฯ มุ่งมั่นที่จะสานต่อพันธกิจด้านสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนทั้งของเซ็นทรัลกรุ๊ป ในการเพิ่มพื้นที่สีเขียว 50,000 ไร่ทั่วประเทศ ภายในปี 2573 รวมถึงพันธกิจของเซ็นทรัล รีเทล ในฐานะค้าปลีกแรกของไทยที่เป็นองค์กรต้นแบบเพื่อความยั่งยืน ภายใต้กลยุทธ์ ‘CRC ReNEW’

เซ็นทรัล-โรบินสัน ชวน ปลูกต้นไม้ 100,000 ต้น เพิ่มกรีนสเปซกว่า 490 ไร่ทั่วไทยซึ่งประกอบด้วย Reduce Greenhouse Gases ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินธุรกิจ Navigate Well-being Society สร้างสังคมให้น่าอยู่ Eco-friendly Packaging ใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ Waste Management การจัดการขยะมูลฝอย โดยที่ผ่านมาทางห้างฯ มีโปรเจกต์เพื่อสิ่งแวดล้อมที่สำคัญและประสบความสำเร็จในการดำเนินการจนถึงปัจจุบันมากมาย เช่น Say No to Plastic Bags ที่สามารถงดการแจกถุงพลาสติกได้สำเร็จ 100% การสนับสนุนสินค้าที่มีกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อย่าง Central Edition ที่รวบรวมผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสร้างสรรค์โดยชุมชนต่าง ๆ ในไทย พร้อมจับมือกับ 24 ไทยดีไซน์เนอร์รุ่นใหม่นำวัสดุเหลือใช้กลับมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ให้เกิดประโยชน์ ควบคู่กับการใช้ทักษะของคนในชุมชน เพื่อสร้างและกระจายรายได้สู่ชุมชน และล่าสุดกับโปรเจกต์ Organic Zone ในแผนกบิวตี้ที่ห้างเซ็นทรัลชิดลม ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของห้างฯ ในไทยที่สนับสนุนผลิตภัณฑ์ความงามที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง การประหยัดพลังงานขานรับ

เซ็นทรัล-โรบินสัน ชวน ปลูกต้นไม้ 100,000 ต้น เพิ่มกรีนสเปซกว่า 490 ไร่ทั่วไทย

เซ็นทรัล-โรบินสัน ชวน ปลูกต้นไม้ 100,000 ต้น เพิ่มกรีนสเปซกว่า 490 ไร่ทั่วไทยเซ็นทรัล-โรบินสัน ชวน ปลูกต้นไม้ 100,000 ต้น เพิ่มกรีนสเปซกว่า 490 ไร่ทั่วไทย

กับเทรนด์การบริโภคอุปโภคในห้างฯ อย่างที่จอดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าพร้อม EV Charger การติด Solar Rooftop และการใช้ไฟ LED  เพื่อลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ รวมถึง การตกแต่งห้างฯ ที่มุ่งเน้นใช้วัสดุท้องถิ่นและธรรมชาติ เพื่อลดการใช้พลาสติกให้ได้มากที่สุด อีกทั้งแคมเปญ Recycling ต่างๆ ที่ช่วยลดแนวโน้มการเกิดปริมาณขยะ เช่นล่าสุดกับแคมเปญ Beauty Waste Corner Separation ที่ลูกค้าสามารถนำบรรจุภัณฑ์ความงามที่ใช้แล้วมาบริจาคเพื่อนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ทั้งการ Recycle และแปรรูปเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งจะเริ่มในช่วงปลายเดือน มิ.ย. 66 นี้ และโปรเจกต์สำคัญในการเพิ่มพื้นที่สีเขียวทั่วประเทศอย่างต่อเนื่องในปีนี้กับ “CENTRAL | ROBINSON LOVE THE EARTH 2023” ที่ห้างฯ มุ่งมั่นในการเป็นเครือข่ายร่วมกับหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน คืนสมดุลให้กับสิ่งแวดล้อมด้วยสองมือของทุกคน เพื่อส่งต่อโลกในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดให้กับลูกหลานเราในอนาคต”

เซ็นทรัล-โรบินสัน ชวน ปลูกต้นไม้ 100,000 ต้น เพิ่มกรีนสเปซกว่า 490 ไร่ทั่วไทยเซ็นทรัล-โรบินสัน ชวน ปลูกต้นไม้ 100,000 ต้น เพิ่มกรีนสเปซกว่า 490 ไร่ทั่วไทยรายละเอียดแคมเปญ “CENTRAL | ROBINSON LOVE THE EARTH 2023”

ห้างเซ็นทรัลและห้างโรบินสัน ได้เดินหน้าผนึกกำลังกับ “กรมป่าไม้” ต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา เพื่อชวนคนไทยทั่วประเทศร่วมภารกิจเพิ่มพื้นที่สีเขียวทั่วทุกภูมิภาคด้วยการ “ปลูกต้นไม้ 100,000 ต้น” ในพื้นที่ราว 490 ไร่ทั่วประเทศ โดยทุกๆ การช้อปสินค้าในแคมเปญฯ ในแผนกโฮม เครื่องใช้ไฟฟ้า และบิวตี้ จะได้รับสิทธิ์ลงชื่อออนไลน์เพื่อแสดงเจตจำนงในการร่วมภารกิจดังกล่าว โดยความร่วมแรงร่วมใจของคนไทยในแคมเปญครั้งนี้ คาดว่าจะสามารถกักเก็บคาร์บอนได้ถึง 465.5 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี หรือสามารถดูดซับ CO2 จำนวน 14,347.2 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ และช่วยให้อุณหภูมิลดลงเฉลี่ย 1-2 องศาเซลเซียส ควบคู่ไปกับการชวนคนไทยร่วมสานต่อ 4 กรีนมิชชั่นรักษ์โลก ไม่ว่าจะเป็น

เซ็นทรัล-โรบินสัน ชวน ปลูกต้นไม้ 100,000 ต้น เพิ่มกรีนสเปซกว่า 490 ไร่ทั่วไทยเซ็นทรัล-โรบินสัน ชวน ปลูกต้นไม้ 100,000 ต้น เพิ่มกรีนสเปซกว่า 490 ไร่ทั่วไทย ) Say No to Plastic Bags รณรงค์ช้อปไม่รับถุง ปัจจุบันห้างเซ็นทรัลและห้างโรบินสัน งดการแจกถุงพลาสติกในห้างทุกสาขาทั่วประเทศ           

2) รณรงค์ใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในห้างทั่วประเทศ ดีต่อโลกและสิ่งแวดล้อม ใช้วัสดุธรรมชาติ ย่อยสลายได้ หรือรีไซเคิลได้ ลดการใช้วัสดุพลาสติกแบบครั้งเดียวแล้วทิ้ง ดีต่อชุมชน สนับสนุนภูมิปัญญาท้องถิ่น สร้างงานสร้างอาชีพ และกระจายรายได้สู่ชุมชน    

3) ร่วมกับเซ็นทรัล ทำ สร้างรายกลับคืนสู่ชุมชนทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย เปิดพื้นที่สนับสนุน – จำหน่ายสินค้าชุมชนที่ผลิตจากวัสดุในพื้นถิ่น เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ร่วมกับพันธมิตรแบรนด์ชั้นนำ สนับสนุนสินค้าที่มีกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทุกกลุ่มสินค้าในห้างเซ็นทรัลและห้างโรบินสัน ทุกสาขา

4) ห้างเซ็นทรัลและห้างโรบินสันร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเซ็นทรัลกรุ๊ป เพิ่มพื้นที่สีเขียว 50,000 ไร่ ทั่วประเทศ ภายในปี 2573  

เซ็นทรัล-โรบินสัน ชวน ปลูกต้นไม้ 100,000 ต้น เพิ่มกรีนสเปซกว่า 490 ไร่ทั่วไทยเซ็นทรัล-โรบินสัน ชวน ปลูกต้นไม้ 100,000 ต้น เพิ่มกรีนสเปซกว่า 490 ไร่ทั่วไทยพร้อมจัดเต็มกับหลากหลายกิจกรรมรักษ์โลก เอาใจสายกรีนตลอดเดือน มิ.ย. 66 นี้ 

  • กิจกรรมคิกออฟแคมเปญฯ (วันที่ 2 มิ.ย. 66) กับงานเสวนา “CENTRAL | ROBINSON LOVE THE EARTH 2023 TALKS” โดยผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากหลายวงการ ที่จะมาร่วมแชร์ประสบการณ์ และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ได้แก่
    คุณรวิศรา จิราธิวัฒน์ ประธานบริหารฝ่ายการตลาด ห้างเซ็นทรัลและห้างโรบินสัน คุณเถลิงศักดิ์ เพ็ชรสุวรรณ รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คุณอสิตา วิมลไชยจิต เจ้าของ Asita Eco Resort คุณฐาปนีย์ พัววรานุเคราะห์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ล็อกซิทาน ประเทศไทย คุณธีรชัย ศุภเมธีกูลวัฒน์ ผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบ และผู้ก่อตั้งแบรนด์ Qualy คุณพิไลภรณ์ นำศิริวิวัฒน์ Marketing manager Nameco และคุณเต้ย-จรินทร์พร จุนเกียรติ นักแสดง / ผู้ร่วมก่อตั้ง EEC Thailand โดยสามารถรับชมย้อนหลังได้ที่ Facebook Fanpage และ Youtube: Central Department Store และ Robinson Department Store
  • Love the Earth Fair: ห้างเซ็นทรัล ร่วมกับ พันธมิตรแบรนด์ชั้นนำ สนับสนุนสินค้าที่มีกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และเปิดพื้นที่จำหน่ายสินค้าชุมชนที่ผลิตจากวัสดุธรรมชาติและวัสดุเหลือใช้ ไม่ว่าจะเป็น สินค้ากลุ่มโฮม อาทิแบรนด์ SCULPTURE, AWA DÉCOR, NAMECO, SONITE, HASS สินค้ากลุ่มไลฟ์สไตล์ อาทิแบรนด์ QUALY, PAPER ART สินค้ากลุ่มบิวตี้ อาทิแบรนด์ HUG สินค้ากลุ่มแฟชั่น อาทิแบรนด์ CARPENTER, MUNIE, Tlejourn ตลอดเดือน มิ.ย. 66 ณ ชั้น 1 โซน I ศูนย์การค้าเซ็นทรัล แอท เซ็นทรัลเวิลด์
  • Workshop DIY: ชวนร่วมสนุกกับกิจกรรม Workshop DIY รักษ์โลก ร่วมปลูกไม้ประดับในวัสดุเหลือใช้ที่นำกลับมา
    Reuse ใหม่กลายเป็นกระถางต้นไม้สุดเก๋ พร้อมแต่งแต้มสีสันสุดสนุก! สำหรับลูกค้าห้างเซ็นทรัลที่ช้อปสินค้าครบ 1,500 บาท และลูกค้าห้างโรบินสันที่ช้อปสินค้าครบ 1,000 บาทขึ้นไปในแผนกโฮม, Small Appliance และบิวตี้ ในแคมเปญ  “CENTRAL | ROBINSON LOVE THE EARTH 2023” เฉพาะวันที่ 3,4,10 และ 11 มิ.ย. 66 ที่ห้างเซ็นทรัลและโรบินสัน ทุกสาขาทั่วประเทศ
  • Educational Display: เพลิดเพลินไปกับบูธรักษ์โลกสุดสร้างสรรค์ ที่ถูกตกแต่งด้วยวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมชวนทุกคนร่วมภารกิจและมิชชั่นเพื่อโลกของเรา ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 66 – 19 มิ.ย. 66 ที่ห้างเซ็นทรัลและโรบินสัน ทุกสาขา
  • การบริจาคเงินเพื่อสนับสนุนโครงการเพิ่มพื้นที่สีเขียวของกรมป่าไม้ ผ่านมูลนิธิเพื่อสิ่งแวดล้อม โดยเซ็นทรัล กรุ๊ป ตลอดเดือน มิ.ย. 66

เซ็นทรัล-โรบินสัน ชวน ปลูกต้นไม้ 100,000 ต้น เพิ่มกรีนสเปซกว่า 490 ไร่ทั่วไทย
เซ็นทรัล-โรบินสัน ชวน ปลูกต้นไม้ 100,000 ต้น เพิ่มกรีนสเปซกว่า 490 ไร่ทั่วไทย

มารวมพลังรักษ์โลก ส่งต่อความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมให้กับสังคมไทยไปด้วยกันกับแคมเปญ “CENTRAL | ROBINSON LOVE THE EARTH 2023” พร้อมติดตามข่าวสารและกิจกรรมดีๆ ของห้างเซ็นทรัลและห้างโรบินสันได้ที่ Facebook Fanpage: Central Department Store และ Robinson Department Store

Source : Spring News

‘เซ็นทรัล ทำ’ เดินหน้าลดความเหลื่อมล้ำ พัฒนาเศรษฐกิจชุมชน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ผ่าน 6 แนวทาง มุ่งดูแลสิ่งแวดล้อม สู่การท่องเที่ยวยั่งยืน กระจายประโยชน์ทั้ง ระดับปัจเจก ระดับชุมชน และ ระดับประเทศ

การพัฒนาเพื่อความยั่งยืน ภายใต้ ‘เซ็นทรัล ทำ’ โดย กลุ่มเซ็นทรัล ถือเป็นการเดินหน้าเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ ผ่านการให้โอกาสทุกคนในสังคมเข้าถึงการศึกษา เกิดศูนย์การเรียนรู้ ส่งเสริมอาชีพคนพิการ ควบคู่ไปกับการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้มั่นคง แบ่งปันความรู้ทักษะต่างๆ สนับสนุนช่องทางสื่อสารทางการตลาด พร้อมรักษาและดูแลสิ่งแวดล้อม มุ่งสู่โลกสีเขียว ขับเคลื่อนทุกภาคส่วนสู่การท่องเที่ยวยั่งยืน 

จากความโดดเด่นในหลายโครงการที่ผ่านมา นับเป็นการขับเคลื่อนด้วยโจทย์ใหญ่ของสังคม คือ ‘การลดความเหลื่อมล้ำ’ ผ่าน 6 แนวทางเพื่อความยั่งยืน ได้แก่

1) ส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน สร้างอาชีพ และบรรเทาสาธารณภัย

2) ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเสมอภาคในการเข้าถึงโอกาส อย่างเท่าเทียม

3) พัฒนาศักยภาพทรัพยากรมนุษย์

4) ขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนและการบริหารจัดการขยะมูลฝอย

5) ลดการสูญเสียอาหารในกระบวนการผลิตและลดปริมาณขยะอาหาร

และ 6) ฟื้นฟูสภาพอากาศ ลดมลภาวะ และผลักดันการใช้พลังงานหมุนเวียน

ดร.ประสาร ไตรรัตน์ววรกุล ประธานกรรมการ บมจ.เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า การลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมและเศรษฐกิจเป็นโจทย์ใหญ่ สิ่งที่สามารถทำได้ คือ การกระจายประโยชน์ทั้ง “ระดับปัจเจก” อาทิ พัฒนาทักษะแรงงาน “ระดับชุมชน” เช่น การสร้างเศรษฐกิจฐานราก หรือ “ระดับประเทศ” เช่น ระบบรัฐสวัสดิการ ระบบสาธารณสุขถ้วนหน้า เบี้ยคนชรา ทั้งนี้ บทบาทธุรกิจกลุ่มเซ็นทรัล คือ ระดับปัจเจกและชุมชน โดยคำนึงถึง 3 องค์ประกอบ คือ การพึ่งพาตนเอง การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และการเรียนรู้และพัฒนาด้านต่างๆ

‘เซ็นทรัล ทำ’ ดำเนินการภายใต้การร่วมมือจากทุกภาคส่วน ด้วยความเชื่อใน ‘พลังของการร่วมลงมือทำ’ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการตั้งใจทำ และมุ่งมั่นที่จะทำในระยะยาว จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น สามารถสร้างสังคมที่ดีกว่าเดิม ซึ่งเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนองค์กรให้ยั่งยืน โดย 7 โครงการที่เป็นไฮไลท์ ได้แก่

จริงใจ มาร์เก็ต จังหวัดเชียงใหม่

ตลาดเกษตรอินทรีย์แห่งแรกของกลุ่มเซ็นทรัล ที่รวบรวมทั้ง อาหาร (Food) ศิลปะและงานออกแบบ (Art & Design) และงานฝีมือ (Craft) มีผู้ประกอบการท้องถิ่นและเกษตรกรนำผักผลไม้ มาจำหน่ายกว่า 15 ชุมชน 70 ครัวเรือน และมีผู้ประกอบการกว่า 250 ราย ที่มาจำหน่ายสินค้าทำมืออัตลักษณ์ไทยและอาหารปลอดภัยพร้อมทาน สร้างเม็ดเงินจากการท่องเที่ยวให้กับเศรษฐกิจไทยได้กว่า 40 ล้านบาทต่อปี

ศูนย์การเรียนรู้ผ้าทอนาหมื่นศรี จังหวัดตรัง 

เริ่มต้นในปี 2557 ซึ่งกลุ่มเซ็นทรัล จัดตั้งเป็นวิสาหกิจชุมชนผ้าทอนาหมื่นศรี พัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวชุมชนเชิงวัฒนธรรม สนับสนุนก่อสร้าง ‘พิพิธภัณฑ์ผ้าทอนาหมื่นศรี’ เพื่อรวบรวมผ้าทอมือโบราณที่มีประวัติยาวนานกว่า 200 ปี พร้อมอบรมมัคคุเทศก์ให้แก่เยาวชน จัดทำเส้นทางจักรยานท่องเที่ยวชุมชน สู่ต้นแบบของศูนย์การเรียนรู้การอนุรักษ์เชิงวัฒนธรรม โดยในปี 2565 ที่ผ่านมา สามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชนกว่า 7.3 ล้านบาท และมีจำนวนสมาชิกชุมชนที่เข้าร่วม 155 คน

ศูนย์การเรียนรู้พุทธนิเวศเกษตรอินทรีย์ ไร่เชิญตะวัน จังหวัดเชียงราย

การท่องเที่ยวชุมชนเชิงวิถีเกษตรอินทรีย์ โดยร่วมมือกับพระเมธีวชิโรดม (ท่าน ว.วชิรเมธี) ต่อยอด โครงการพุทธนิเวศเกษตรอินทรีย์ ไร่เชิญตะวัน สู่ ‘ต้นแบบศูนย์การเรียนรู้ด้านนวัตกรรมการทำเกษตรอินทรีย์’ พัฒนาวิสาหกิจชุมชน เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม บนพื้นที่ 2 ไร่ และในปี 2566 เซ็นทรัล ทำ ตั้งเป้าพัฒนาพื้นที่เพิ่มเติม 13 ไร่ แบ่งเป็น ปลูกไม้ผล พืชเศรษฐกิจ 3 ไร่ และปลูกผักสวนครัว สมุนไพรพื้นบ้าน 10 ไร่

ชุมชนเกษตรอินทรีย์วิถีชีวิตยั่งยืนแม่ทา อ.แม่ออน จังหวัดเชียงใหม่

การท่องเที่ยวชุมชนเชิงวิถีเกษตรอินทรีย์ โดยจับมือกับ มูลนิธิสายใยแผ่นดิน และหน่วยงานต่างๆ ดำเนินโครงการพื้นที่วิถีชีวิตยั่งยืนแม่ทา แลกเปลี่ยนความรู้กับชุมชน สู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ สร้างรายได้ และจัดตั้ง ‘วิสาหกิจชุมชนแม่ทา ออร์แกนิค’ จากการรวมกลุ่มของเกษตรรุ่นใหม่ 20 ราย พัฒนาการท่องเที่ยววิถีชุมชน การจัดทำที่พักโฮมสเตย์ ขยายสู่สหกรณ์การเกษตรยั่งยืนแม่ทา จำกัด ที่มีสมาชิกประมาณ 80 ราย และมีการสร้างเครือข่ายสมาชิกเพิ่มเติม 10% ต่อปี สร้างรายได้ให้ชุมชนในปี 2565 มากกว่า 5 ล้านบาท

กาแฟอินทรีย์ รักษาป่าภูชี้เดือน จังหวัดเชียงราย

การท่องเที่ยวชุมชนเชิงนิเวศ ชูจุดเด่นกาแฟอาราบิก้าออร์แกนิคบริสุทธิ์จากธรรมชาติ พลิกฟื้นเขาหัวโล้นจากการปลูกพืชเชิงเดี่ยวและสารเคมี สู่การส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนกลุ่มกาแฟอินทรีย์รักษาป่าภูชี้เดือน ปลูกกาแฟสายพันธุ์อาราบิก้าแท้ ทริปปิก้า มัลเดอริ่ง จากต่างประเทศ บนพื้นที่กว่า 1,500 ไร่ และ ในปี 2565 ที่ผ่านมา สามารถสร้างรายได้ให้ชุมชนมากกว่า 6 ล้านบาท มีสมาชิกเข้าร่วมกว่า 84 ราย

ชุมชนผ้าย้อมครามบ้านกุดจิก จ.สกลนคร

การท่องเที่ยวชุมชนเชิงวัฒนธรรม โดยร่วมมือกับ กรมพัฒนาชุมชน พัฒนาและต่อยอดทักษะความรู้ชุมชนและสมาชิก ‘กลุ่มทอผ้าบ้านกุดจิก’ ชูความโดดเด่น ที่เป็นภูมิปัญญาอันเป็นเอกลักษณ์การทอผ้า การปลูกฝ้าย ย้อมคราม ที่สืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่น พัฒนาผลิตภัณฑ์ ส่งเสริมการตลาดและช่องทางการจำหน่าย พัฒนาเป็นสินค้าภายใต้แบรนด์ good goods โดยในปี 2565 สร้างรายได้ให้กับชุมชน 1 ล้านบาท มีคนในชุมชนเข้าร่วมกว่า 30 คน

ศูนย์การเรียนรู้พัฒนาผลผลิตการเกษตรและผลิตภัณฑ์ชุมชน บ้านเทพพนา อ.เทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ

การท่องเที่ยวชุมชนเชิงวิถีเกษตรอินทรีย์ เป็น 1 ใน 7 ของผู้ปลูกอะโวคาโด พันธุ์แฮสส์ในประเทศไทย ปรับเปลี่ยนการปลูกพืชเชิงเดี่ยวด้วยระบบเกษตรอัจฉริยะครบวงจรการ ขยายผลเครือข่ายผู้ปลูกอะโวคาโดกว่า 1,000 ราย เพิ่มพื้นที่สีเขียวทดแทนป่าเสื่อมโทรม 2,000ไร่ ในปี 2565 ที่ผ่านมา ชุมชนมีสมาชิกกว่า 400 ราย มีรายได้กว่า 3 ล้านบาท ตั้งเป้าเพิ่มสมาชิกปีละ 100 ราย

การทำธุรกิจเพื่อสังคมต้องคำนึงถึงการสร้างค่านิยมร่วมหรือคุณค่าร่วม CSV (Creating Shared Value) เพราะการสร้างคุณค่าร่วมเป็นสิ่งที่คำนึงถึงทุกภาคส่วน พร้อมนำสิ่งที่ธุรกิจมีและเชี่ยวชาญ สนับสนุนให้สังคมเติบโต ภายใต้สิ่งแวดล้อมสีเขียว ดังที่ ดร.ประสาร ได้กล่าวทิ้งท้ายไว้อย่างน่าสนใจ คือ การสร้างคุณค่าร่วมกันที่สำคัญต้องไม่พูดว่า ธุรกิจเพื่อสังคม คือ กิจกรรมพิเศษที่แตกต่างจากการทำธุรกิจปกติเพราะมันคือเรื่องเดียวกัน

Source: กรุงเทพธุรกิจ

นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เซ็นทรัล รีเทล กล่าวว่า “เซ็นทรัล รีเทล บริษัทเล็งเห็นความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนธุรกิจควบคู่กับการพัฒนาอย่างยั่งยืน เซ็นทรัล รีเทล ได้ปลูกฝังวัฒนธรรมองค์กร และสร้าง Mindset ให้พนักงานตระหนักถึงผลกระทบรอบด้าน

ต่อผู้คน ชุมชน สังคม และโลก ส่งเสริมและผสมผสานกิจกรรมที่ทำให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืนในทุกกระบวนการทำงาน พร้อมกำหนดแนวทางที่ชัดเจนใน Road map ผ่านกลยุทธ์ CRC ReNEW เป็นเข็มทิศในการดำเนินธุรกิจครอบคลุมทุกมิติ เพื่อนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายระยะยาวคือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี 2593 นี่คือ ความเชื่อมั่นของ เซ็นทรัล รีเทล ในการสร้างอนาคตเพื่อคนรุ่นต่อไป พร้อมเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจค้าปลีกที่ยั่งยืน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตามแนวคิด CRC Green & Sustainable Retail”

ด้านสิ่งแวดล้อม และความยั่งยืนหลายโปรเจกต์อย่างจริงจัง และทำอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด โดยโครงการสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จจนได้รับรางวัล The Global CSR & ESG Awards 2022 คือ Journey to Zero: A Circular System to End Food Waste โครงการด้านการจัดการขยะอาหารตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ เริ่มจากบนเกาะสมุยสู่ตัวเมืองจังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยนำแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มาใช้ ส่งเสริมการคัดแยกขยะต้นทาง และการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าเพื่อลดปริมาณขยะลงหลุมฝังกลบผ่านกระบวนการรีไซเคิล และนำกลับมาใช้ใหม่ ซึ่งผลผลิตที่ได้เป็นก๊าซชีวภาพถูกนำมาใช้แทนก๊าซ LPG ช่วยลดค่าใช้จ่าย

ให้กับวิทยาลัยนานาชาติการท่องเที่ยวเกาะสมุย มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานีได้กว่า 40% และปุ๋ยอินทรีย์จากขยะอาหารถูกนำไปขยายผลเป็นเกษตรอินทรีย์ ลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มรายได้จากการจำหน่ายผัก ผลไม้ ภายใต้แบรนด์ฟาร์มชาวเกาะของชุมชนบนเกาะสมุย สอดคล้องกับเป้าหมายของ เซ็นทรัล รีเทล ในการลดขยะอาหารลง 30% ภายในปี 2573 ทั้งนี้ ในปี 2565 โครงการ Journey to Zero สามารถช่วยลดปริมาณขยะอินทรีย์ได้กว่า 25 ตันต่อปี (ข้อมูล ณ เดือนสิงหาคม 2565) ซึ่ง เซ็นทรัล รีเทล ตั้งเป้าขยายความสำเร็จโครงการ Journey to Zero ต่อยอดไปยังพื้นที่ท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ทั้งเชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา และกรุงเทพฯ พร้อมมุ่งผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง ส่งเสริมพฤติกรรมเชิงบวกแก่ลูกค้า และพนักงาน ก่อให้เกิดการสร้างคุณค่าร่วม (Creating Shared Values) ต่อชุมชน และภาคีเครือข่ายในพื้นที่ครอบคลุมทั่วประเทศ

รางวัล The Global CSR & ESG Awards 2022 เป็นรางวัลที่ได้รับการยอมรับสูงสุดด้านกิจกรรมเพื่อสังคม โดยยกย่องบริษัทที่มีความเป็นเลิศด้านนวัตกรรม หรือโครงการที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาองค์กรสู่ความยั่งยืนของ เซ็นทรัล รีเทล ในมิติต่างๆ ครอบคลุมโครงการด้านสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาชุมชนเพื่อให้เกิดการพึ่งพาตนเอง “เซ็นทรัล รีเทล พร้อมผนึกกำลัง และความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งพนักงาน ผู้มีส่วนได้เสีย หน่วยงานภาครัฐในพื้นที่ และภาคีเครือข่าย ในการดูแลชุมชน และสิ่งแวดล้อม ต่อยอดโครงการ เพื่อความยั่งยืน พร้อมทั้งสานต่อเจตนารมณ์ไปยังผู้บริหารรุ่นถัดไป เพื่อส่งต่อโลกที่น่าอยู่ให้กับทุกๆ เจเนอเรชั่น” นายญนน์ กล่าวปิดท้าย

Source : กรุงเทพธุรกิจ

กลุ่ม ปตท. ภายใต้แบรนด์ ออน- ไอออน (on-ion) ผนึกพันธมิตร บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ขยายความร่วมมือให้บริการสถานีอัดประจุสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า (on-ion EV Charging Station) ในศูนย์การค้าเซ็นทรัล 37 สาขา ใน 18 จังหวัด ทั่วประเทศ รวมกว่า 350 ช่องจอด นอกจากนี้ยังเสริมทัพด้วย บริษัท อีโวลท์ เทคโนโลยี จำกัด ร่วมขยายสถานีกว่า 50 ช่องจอด รวมเป็นกว่า 400 ช่องจอด ภายในสิ้นปีนี้ เพื่อส่งเสริมไลฟ์สไตล์พลังงานสะอาด เดินหน้าพันธกิจเพื่อสิ่งแวดล้อม ร่วมขับเคลื่อนสังคมคาร์บอนต่ำ

นางสาววัลยา จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เพื่อตอบรับเทรนด์ EV ที่คนไทยหันมาให้ความสำคัญกับการใช้รถไฟฟ้ามากขึ้น เราจึงได้ร่วมมือกับพันธมิตรกลุ่มธุรกิจพลังงานรายใหญ่ ร่วมขยายสถานีฯ ในศูนย์การค้าเซ็นทรัล 37 สาขา ใน 18 จังหวัด ทั่วประเทศ รวมกว่า 400 ช่องจอด ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งถือว่ามากที่สุดและเป็นเบอร์ 1 ในกลุ่มศูนย์การค้าของไทย โดยเฟสแรกคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนตุลาคม ตอบรับการเดินทางในทุก ๆ วัน (short haul) หรือจะเดินทางแบบเมืองเชื่อมเมือง (long haul) ก็ได้ โดยจุดชาร์จครอบคลุมทั่วประเทศ ทำให้เกิด Worry-Free Journey หรือ การเดินทางแบบไร้กังวล ความสะดวกสบาย ชาร์จไฟกับรถยนต์ได้ทุกแบรนด์ ทุกค่าย   สถานที่และระบบชาร์จมีมาตรฐานและความปลอดภัยสูง อีกทั้งกลุ่มเซ็นทรัลยังมีโครงการส่งเสริม Eco-lifestyle Marketing ทั้งโปรโมชั่น และส่วนลดต่างๆ เพื่อสนับสนุนการใช้รถ EV ให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของคนไทย เป็นการร่วมกันดูแลโลกและสิ่งแวดล้อม พร้อมต่อยอดตามดีมานต์ของลูกค้าในอนาคต และขยายสู่ธุรกิจอื่น ๆ อาทิ ที่อยู่อาศัย โรงแรม และอาคารสำนักงาน โดยคาดว่าจะมีส่วนช่วยในการลดการปลดปล่อยก๊าซ CO2 ให้ประเทศไทย ได้มากกว่า 5,250 ตันต่อปี  

นายนพดล ปิ่นสุภา ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กลุ่ม ปตท. โดย บริษัท อรุณ พลัส จำกัด (ARUN PLUS) ได้ขยายสถานีอัดประจุสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ภายใต้     แบรนด์ ออน- ไอออน (on-ion EV Charging Station) บนทำเลศักยภาพร่วมกับเซ็นทรัลพัฒนา ผู้นำในอุตสาหกรรมศูนย์การค้าของไทยให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ รองรับการเติบโตของตลาด EV ให้พลังงานทางเลือกอยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด พร้อมสนับสนุนให้คนไทยใช้พลังงานสะอาด เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในรูปแบบของ “Green Charging Network” ผ่าน on-ion mobile application การจับมือกับเซ็นทรัลพัฒนาในครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนการลงทุนด้านนวัตกรรมพลังงานอนาคต เป็นความร่วมมือระหว่างบริษัทชั้นนำของประเทศไทยในด้านพลังงานและด้านพัฒนาศูนย์การค้า สร้างความมั่นคงด้านพลังงานแห่งอนาคต และให้ผู้ใช้ EV เกิดความมั่นใจว่าสามารถเดินทางทั่วไทยได้อย่างไร้กังวลเรื่องแบตเตอรี่หมดระหว่างทาง ซึ่งผู้ใช้ EV ที่ใช้บริการชาร์จไฟที่สถานีของ ออน-ไอออน จะมั่นใจได้ว่าพลังงานไฟฟ้าที่ได้รับเป็นพลังงานสะอาดที่มาจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน 100% ด้วยการออกใบรับรองการใช้พลังงานหมุนเวียน หรือ Renewable Energy Certificates (RECs) และเป็นพลังงานหมุนเวียนที่ผลิตในประเทศไทยทั้งหมด นอกจากนี้ผู้ใช้บริการซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดจะได้รับสิทธิพิเศษต่าง ๆ อีกมากมาย 

ปัจจุบัน กลุ่ม ปตท. ได้ลงทุนธุรกิจด้าน EV Value Chain รองรับการขยายฐานธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจร เพื่อร่วมสร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทยให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นในทุกมิติ ทั้งในด้านการผลิต จำหน่าย ระบบกักเก็บพลังงาน แพลตฟอร์มเช่ายานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงพลังงานหมุนเวียนและการประหยัดพลังงาน โดยพร้อมร่วมมือกับเซ็นทรัลพัฒนา ผลักดันการใช้พลังงานสะอาด ประสิทธิภาพสูง เพื่อสร้างสังคมคาร์บอนต่ำให้กับประเทศไทยและคนไทยทุก ๆ คน ต่อไป

นายพูนพัฒน์ โลหารชุน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อีโวลท์ เทคโนโลยี จำกัด กล่าวว่า การร่วมมือกับเซ็นทรัลพัฒนาในครั้งนี้นับเป็นการร่วมมือครั้งสำคัญเพื่อเพิ่มศักยภาพในการขยายเครือข่ายสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้าให้แข็งแกร่งและครอบคลุมมากขึ้น เข้าถึงสถานีชาร์จได้ง่ายขึ้น อีโวลท์ในฐานะผู้ให้บริการสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจร มุ่งขยายเครือข่ายสถานีชาร์จเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ At Home, At Work, At Play, At Travel ซึ่งเซ็นทรัลพัฒนาเป็นศูนย์การค้าชั้นนำที่มีโลเคชั่นใจกลางเมืองและจังหวัดหลักในแต่ละภูมิภาคที่ดี (Prime Location) โดยอีโวลท์ที่จะเข้ามาเสริมในส่วนของการขยายเครือข่ายสถานีชาร์จในศูนย์การค้าเพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้งาน At Play โดยพร้อมเปิดให้ใช้บริการเต็มรูปแบบภายในปี 2565 ผ่าน EVolt Application ทั้งระบบ IOS และ Android

Source : Energy News Center