ยุโรปเตรียมบังคับใช้กฎระเบียบที่เข้มงวดยิ่งขึ้น เกี่ยวกับการนำเข้าสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่าในเดือนธันวาคม และอาจมีการปรับเงินสูงถึง 4% ของยอดขายทั่วโลกที่บริษัทสำหรับสินค้านำเข้าที่ไม่เป็นไปตามข้อกำหนด
“น้ำมันพืช” ถูกใช้เป็นส่วนประกอบในสินค้ามากมาย ตั้งแต่อาหาร เครื่องสำอาง ไปจนถึงผลิตภัณฑ์พลาสติก แต่น้ำมันส่วนใหญ่ก็มาจากการตัดไม้ทำลายป่า ทำให้สูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และอันตรายต่อสังคมมาอย่างยาวนาน แนวโน้มดังกล่าวทำให้แบรนด์ต่าง ๆ มองหาผลิตภัณฑ์อื่นมาใช้ทดแทนน้ำมันพืชเหล่านี้
บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพ SMEY กำลังพัฒนาน้ำมันมะพร้าว ปาล์ม และเชียที่ปลูกในห้องทดลองแห่งแรกของโลก โดยไม่ต้องตัดต้นไม้แม้แต่ต้นเดียว และยังช่วยลดเวลาการจัดหาสินค้าจาก 18-24 เดือนให้เหลือเพียงประมาณ 30 วัน ทำให้เทคโนโลยีนี้เป็นทางเลือกที่ปราศจากการตัดไม้ทำลายป่าและสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้สำหรับผู้ผลิต
หมักแทนการเพาะปลูก
SMEY ใช้การหมักใน “ถังปฏิกรณ์ชีวภาพ” โดยในตอนนี้กำลังทดลองป้อนสายพันธุ์ยีสต์มากกว่า 1,000 สายพันธุ์เข้าสู่ระบบการเรียนรู้ของเครื่อง เพื่อดูว่าสายพันธุ์ใดจะสร้างโปรไฟล์ไขมันที่แม่นยำตามที่ต้องการสำหรับการใช้งานที่กำหนด
“แนวทางของเราผสานการหมักและการเรียนรู้ของเครื่องเข้าไว้เป็นระบบเดียว เราทำงานกับยีสต์ที่มาจากธรรมชาติ ไม่ผ่านการดัดแปลงพันธุกรรม โดยใช้เทคโนโลยีการหมักเพื่อผลิตน้ำมันที่มีโปรไฟล์ไขมันที่แม่นยำตามความต้องการเฉพาะของลูกค้า” วิกเตอร์ ซาร์ทาคอฟ-คอร์ชอฟ ผู้ก่อตั้งบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพ SMEY กล่าวกับ Euronews Green
เครื่องจะทำการแมปโปรไฟล์ไขมันตามธรรมชาติของแต่ละสายพันธุ์ จากนั้นจะนำไปการปรับปรุงกระบวนการให้เหมาะสมที่สุดมาใช้ เพื่อขยายการผลิตโดยไม่ต้องดัดแปลงพันธุกรรม
บริษัทคาดการณ์ว่า หากประสบความสำเร็จจะช่วยลดการจัดหาน้ำมันจาก 18-24 เดือน เหลือเพียงประมาณ 30 วัน และเป็นน้ำมันที่มีคุณภาพสม่ำเสมอ ตรวจสอบย้อนกลับได้ และปรับให้เหมาะกับการใช้งานแต่ละประเภท
มาร์ค มาโซเดียร์ ศาสตราจารย์ด้านการตลาดจาก ESSEC Business School กล่าวว่า “น้ำมันที่ผลิตในห้องปฏิบัติการเป็นก้าวสำคัญสู่ความยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับส่วนผสมที่ส่งผลกระทบสูง เช่น น้ำมันปาล์มหรือน้ำมันพืชหายาก”
ดังนั้น น้ำมันของบริษัทจึงเป็นทางออกสำหรับปัญหาสิ่งแวดล้อมและจริยธรรมที่เกิดจากการผลิตน้ำมันพืช ไร้กังวลเรื่องการตัดไม้ทำลายป่า การสูญเสียถิ่นที่อยู่ การใช้ปุ๋ยและน้ำ อีกทั้งน้ำมันเหล่านี้ไม่ใช้ยาฆ่าแมลงหรือปุ๋ย และไม่ก่อให้เกิดภัยคุกคามต่อระบบนิเวศ ขณะเดียวกันก็หลีกเลี่ยงการใช้แรงงานที่ผิดจริยธรรม และปราศจากการทารุณกรรมสัตว์
ซาร์ตาคอฟ-คอร์ชอฟกล่าวว่า เทคโนโลยีนี้สามารถจัดหาวัตถุดิบในท้องถิ่นและนำเสนอสูตรใหม่ ๆ ที่มีอายุการเก็บรักษาและความเสถียรที่ยาวนานขึ้น โดยมีเป้าหมายเพิ่มมูลค่าและเสริมสร้างความยืดหยุ่นโดยไม่ทำร้ายธุรกิจที่มีอยู่เดิม พร้อมชี้ให้เห็นถึงโอกาสในการผลิตน้ำมันเกรดเครื่องสำอางในยุโรปที่แบรนด์หรูนำเข้าในปัจจุบัน
ในตอนนี้ SMEY ออกผลิตภัณฑ์ Noyl Silk ซึ่งเป็นเนยโอเลอิกสูงสำหรับผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว และเครื่องสำอาง พร้อมมุ่งเป้าไปที่ตลาดน้ำมันหล่อลื่นและกลุ่มผลิตภัณฑ์โอรีโอเคมีคอลอีกด้วย ในระยะยาว SMEY มีแผนที่จะนำไปใช้ในอาหาร โดยมีผลิตภัณฑ์อย่าง Noyl Cocoa ซึ่งเป็นเนยโกโก้ที่เพาะปลูกทดแทน
บริษัทระบุว่ากำลังมุ่งเน้นทำตลาดที่อเมริกาเหนือและยุโรป และจะให้เช่าฐานข้อมูล NOY แก่บริษัทหมักอื่น ๆ ภายในเดือนตุลาคม 2025
อย่างไรก็ตาม SMEY และบริษัทอื่น ๆ ที่ผลิตน้ำมันทางเลือกจะต้องปฏิบัติตามมาตรฐานด้านประสิทธิภาพและกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด โดยจะต้องพิสูจน์ว่าส่วนผสมที่ใช้แทนนี้ให้ผลลัพธ์ที่เท่าเดิมหรือดีกว่าน้ำมันแบบเดิม และต้องได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล ซึ่งจะใช้ระยะเวลาจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับการใช้งานและภูมิภาค
ซาร์ทาคอฟ-คอร์จอฟประเมินว่า สารทดแทนเนยโกโก้สำหรับใช้ในอาหารอาจจะต้องใช้เวลาในการอนุมัติในยุโรปประมาณสองปีครึ่ง ขณะที่การใช้น้ำมันปาล์มทดแทนในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น ช็อกโกแลตสเปรด อาจใช้เวลาประมาณสามปี
ทั้งนี้ ศ.มาโซเดียร์เตือนว่า การขยายขนาดและปัจจัยการผลิตมีความสำคัญเช่นกัน ในกระบวนการบางขั้นตอนใช้พลังงานมาก ซึ่งอาจลดความยั่งยืนได้ เว้นแต่จะใช้พลังงานหมุนเวียน และต้นทุนยังคงสูงกว่าน้ำมันทั่วไป แม้ว่าราคาจะลดลงก็ตาม
อีกทั้งยังได้ตั้งข้อสังเกตว่าบริษัทต่าง ๆ อาจจะหันไปพึ่งพาวัตถุดิบทางการเกษตรอื่น ๆ เช่น อ้อยหรือข้าวโพด แทน ขณะที่ผู้บริโภคก็ยังคงคาดหวังสินค้าจาก “ธรรมชาติ” มากกว่ามาจากห้องแล็บ และอาจจะมีคำถามเกี่ยวกับอายุการใช้งาน
นอกจากนี้ น้ำมันผลิตในห้องปฏิบัติการไม่ได้ย่อยสลายได้ง่ายทั้งหมด เช่นเดียวกับบรรจุภัณฑ์และการขนส่งยังคงส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
แต่ไม่สามารถปฏิเสธข้อเท็จจริงที่ว่า น้ำมันที่ผลิตในห้องปฏิบัติการอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อภาคเกษตรกรรมที่เปราะบางได้มาก ด้วยการเพิ่มความหลากหลายในการผลิต รักษาเสถียรภาพของอุปทาน และส่งเสริมการทดแทน พร้อมเกิดการพึ่งพาวัตถุดิบใหม่ ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดหาวัตถุดิบ พลังงาน และโครงสร้างพื้นฐานทางอุตสาหกรรม ซึ่งหมายความว่าน้ำมันเหล่านี้จะเข้ามาเสริมแทนที่จะเข้ามาแทนที่น้ำมันทางการเกษตรอย่างสมบูรณ์ในระยะสั้น
ที่มา: Capital Brief, Euro News, Interesting Engineering
Source : กรุงเทพธุรกิจ