News & Update

ปัญหารอวันปะทุ ขยะแบตเตอรี่ ทำอย่างไรให้วิกฤติเป็นโอกาส | TDRI

พลังงานสะอาดคือ ก้าวสำคัญของโลกอนาคต แต่ก้าวที่มั่นคงจะต้องมาพร้อมกับระบบจัดการที่รอบด้าน โดยเฉพาะกับ “แบตเตอรี่” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และระบบกักเก็บพลังงาน (ESS)

ที่พบการขยายตัวอย่างรวดเร็วจากความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ทว่าเมื่อแบตเตอรี่เหล่านี้หมดอายุลง สิ่งเหล่านี้จะกลายเป็น “ขยะอันตราย” จำนวนมหาศาลที่อาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ หากไม่เร่งออกแบบระบบการจัดการที่รอบด้านและยั่งยืน

ปัญหานี้ไม่ใช่อนาคตอันไกล แต่เป็นการนับถอยหลังเพื่อรอวันปะทุออกมา จากตัวเลขการจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2563-2567) มีการจดทะเบียนไปแล้วกว่า 6 แสนคัน โดยอายุของแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่เฉลี่ยที่ 8-10 ปี 

นั่นทำให้คาดการณ์ได้ว่าภายในปี 2574 ไทยจะมีซากแบตเตอรี่สะสมมากกว่า 3.8 หมื่นตัน และอีก 10 ปีนับจากนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 1.6 แสนตันในปี 2578 ก่อนจะพุ่งสูงเกือบ 9 แสนตันในปี 2588

ข้อมูลล่าสุดจากกรมขนส่งทางบกยังสะท้อนแนวโน้มการขยายตัว เพราะเพียง 8 เดือนแรกของปีนี้มีรถยนต์ไฟฟ้าประเภทส่วนบุคคลไม่เกิน 7 ที่นั่งจดทะเบียนแล้วกว่า 1.8 แสนคัน หรือคิดเป็น 51.75% ของรถใหม่ทั้งหมดในกลุ่มนี้ ตอกย้ำให้เห็นถึงการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคของรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงปริมาณแบตเตอรี่หมดอายุในอนาคตกำลังขยายตัวแบบก้าวกระโดด

เช่นเดียวกับปริมาณที่เพิ่มขึ้นของการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ที่ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา (2560-2567) ไทยนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าแบบ CBU (รถยนต์ประกอบสำเร็จนำเข้าทั้งคัน) และ SKD (รถยนต์ที่นำเข้าชิ้นส่วนที่ถูกประกอบมาแล้วระดับหนึ่งแล้วนำมาประกอบเพิ่มในประเทศ) สะสมรวมกว่า 7 แสนคัน

และชิ้นส่วน CKD อีกกว่า 3,200 ตัน ขณะเดียวกันระหว่างปี 2565-2567 ไทยยังนำเข้าแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าสะสมมากกว่า 1.7 ล้านแพ็ก และแบตเตอรี่นิกเกิลเมทัลไฮไดรด์กว่า 1 แสนชิ้น

แบตเตอรี่เหล่านี้จะทยอยหมดอายุหลังปี 2575 เป็นต้นไป ยังไม่นับรวมรถไฟฟ้าขนาดเล็ก เช่น จักรยานไฟฟ้าที่มีน้ำหนักนำเข้าสะสมกว่า 3.9 พันตัน และคิกสกูตเตอร์ มากกว่า 2.1 หมื่นคัน ตลอดจนโทรศัพท์มือถือที่ไทยนำเข้าสะสมกว่า 120 ล้านเครื่อง รวมมูลค่าการนำเข้าแบตเตอรี่ทุกประเภททั้งหมดมากกว่า 1.3 ล้านล้านบาท 

ภาพรวมเหล่านี้สะท้อนว่าไทยกำลังใช้เงินมหาศาลเพื่อนำเข้าแบตเตอรี่และอุปกรณ์ แต่กลับยังไม่มีระบบรองรับเมื่อหมดอายุการใช้งาน

๐ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นหากไม่มีมาตรการจัดการที่เหมาะสม ?

ซากแบตเตอรี่เหล่านี้จะก่อให้เกิดผลกระทบหลายมิติ ทั้งด้านสิ่งแวดล้อมที่เสี่ยงต่อการรั่วไหลของสารเคมี และโลหะสู่ดิน รวมทั้งแหล่งน้ำ สุขภาพของประชาชนที่อาจสะสมสารพิษในร่างกายจนอาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพในระยะยาว

รวมถึงด้านเศรษฐกิจที่ประเทศจะสูญเสียวัตถุดิบมูลค่าสูง ต้องใช้งบประมาณจำนวนมากเพื่อกำจัดหรือส่งออกซาก และยังต้องเผชิญความผันผวนของราคาวัตถุดิบนำเข้าที่อยู่ภายใต้ปัจจัยหลายด้าน รวมถึงปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ด้วย

แต่ทว่าเหรียญย่อมมีสองด้านเสมอ ซากแบตเตอรี่ก็ไม่ใช่มีเพียงแต่ปัญหาหากถูกบริหารจัดการอย่างเหมาะสม ปัญหานี้จะกลายเป็น “ขุมทรัพย์” จากโอกาสใหม่ทางเศรษฐกิจได้ เนื่องจากโลหะอย่างลิเธียม โคบอลต์ นิกเกิล และแมงกานีส สามารถนำกลับมาใช้ได้ในอุตสาหกรรมใหม่ ๆ โรงงานรีไซเคิลยังสามารถสร้างงาน เพิ่ม GDP และเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน

แต่คำถามสำคัญคือ ประเทศไทยจะปล่อยให้ซากเหล่านี้กลายเป็นวิกฤติ หรือพลิกให้เป็นโอกาสในการสร้างความได้เปรียบทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมวิกฤติ หรือพลิกให้เป็นโอกาสในการสร้างความได้เปรียบทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม

เพื่อไม่ให้ “ภูเขาซากแบตเตอรี่” กลายเป็นภาระมหาศาล ประเทศไทยควรดำเนินนโยบายใน 6 แนวทางนี้ 

1.กำหนดกรอบกฎหมาย สำหรับการจัดการแบตเตอรี่ทุกประเภทเพื่อควบคุมการจัดเก็บการนำกลับมาใช้ใหม่ และการรีไซเคิลอย่างปลอดภัย 

2.จัดตั้งกลไกความรับผิดชอบของผู้ผลิต (Extended Producer Responsibility: EPR) ให้ผู้ผลิตและผู้นำเข้ารับผิดชอบต่อซากแบตเตอรี่

3.พัฒนาระบบข้อมูลและการติดตามแบตเตอรี่ผ่าน “Battery Passport” เพื่อบันทึกข้อมูลตลอดชีวิตของแบตเตอรี่ 

4.ยกระดับมาตรฐานแบตเตอรี่ใหม่ มาตรฐานการใช้ซ้ำ เพื่อป้องกันการนำแบตเตอรี่ด้อยคุณภาพกลับมาใช้ใหม่ รวมถึงมาตรฐานในการรีไซเคิล 

5. กำกับดูแลโรงงานรีไซเคิลและสร้างตลาดวัสดุรีไซเคิลที่มีคุณภาพ พร้อมกำหนดสัดส่วนวัสดุรีไซเคิลขั้นต่ำในแบตเตอรี่ใหม่ 

6. สนับสนุนงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ในการตรวจสอบ แยกประเภท และรีไซเคิลที่มีต้นทุนต่ำและเหมาะสมกับบริบทของไทย

ขณะเดียวกันยังมีโจทย์ที่ยังต้องศึกษาเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็น ด้านกฎหมาย ไทยควรมีกฎหมายเฉพาะเกี่ยวกับการจัดการแบตเตอรี่ หรือควรเชื่อมโยงกับกฎหมายที่มีอยู่แล้ว ด้านกลไกการเงิน ผู้รับภาระต้นทุนหลักในการจัดการหลังสิ้นอายุขัยควรจะเป็นใคร

ด้านสังคม จะสร้างแรงจูงใจอย่างไรให้ประชาชนส่งคืนแบตเตอรี่หมดอายุเข้าสู่ระบบที่ถูกต้องเพื่อป้องกันการนำไปดัดแปลง และนำกลับมาใช้ใหม่ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายจากการใช้งาน ด้านสิ่งแวดล้อม ไทยควรลงทุนสร้างโรงงานรีไซเคิลเองหรือทำความร่วมมือในระดับภูมิภาค 

คำถามใหญ่ที่หลายฝ่ายกำลังถกกันก็คือ ไทยควรเปิดให้มีการนำเข้าซากแบตเตอรี่จากต่างประเทศหรือไม่ เพื่อให้ระบบรีไซเคิลมีขนาดเศรษฐกิจที่คุ้มค่า ซึ่งหากจะเดินหน้าจริงจะต้องดำเนินการโดยคู่ขนานไปกับการกำหนดเงื่อนไขและมาตรการป้องกันอย่างรอบคอบ เพื่อไม่ให้กลายเป็นปัญหาขยะทะลักเข้าประเทศ

การสร้างระบบจัดการซากแบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพ จึงไม่ได้เป็นเพียงการป้องกันปัญหาขยะแบตเตอรี่เท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสในการเสริมพลังการแข่งขันของประเทศในระยะยาวด้วย

Source : กรุงเทพธุรกิจ

สหภาพยุโรปยืนยันกฎใหม่ ห้ามขายรถยนต์ที่ปล่อยคาร์บอน เริ่มปี 2035

คณะกรรมาธิการด้านสภาพอากาศของสหภาพยุโรป ยังคงยืนกรานจะออกกฎห้ามขายรถยนต์ที่ปล่อยคาร์บอน แม้ผู้ผลิตรถยนต์จะโต้แย้งก็ตาม คณะกรรมาธิการด้านสภาพอากาศยืนยันแผนของสหภาพยุโรป ที่จะ 'ยุติการขายรถยนต์ที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์' ภายในปี 2035 ซึ่งจะมีผลทำให้เครื่องยนต์ดีเซลและเบนซินรุ่นใหม่ๆ ผิดกฎหมาย…

ตลาดน้ำมันโลกกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางมีแนวโน้มยกระดับความรุนแรงขึ้น

หน่วยธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) รายงานสถานการณ์ตลาดน้ำมันประจำสัปดาห์วันที่ 7 – 11 ต.ค.…