ในยุคที่ทั่วโลกต่างมุ่งสู่เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและต่อสู้กับภาวะโลกร้อน การค้นหา พลังงานสะอาด เพื่อทดแทนเชื้อเพลิงฟอสซิลจึงเป็นวาระเร่งด่วน แม้ว่ายานยนต์ไฟฟ้า (EV) จะเข้ามามีบทบาทสำคัญ แต่สำหรับเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ที่มีอยู่แล้วกว่า 1,500 ล้านคันทั่วโลก รวมถึงอุตสาหกรรมการบินและการขนส่งทางเรือขนาดใหญ่ การเปลี่ยนผ่านไปใช้พลังงานไฟฟ้าทั้งหมดอาจไม่ใช่เรื่องง่ายและต้องใช้เวลาอย่างมหาศาล คำตอบที่เป็นเสมือน “จอกศักดิ์สิทธิ์” ของวงการพลังงานจึงปรากฏขึ้น นั่นคือ e-Fuels หรือ เชื้อเพลิงสังเคราะห์ (Electrofuels)
e-Fuels คืออะไร? เชื้อเพลิงที่เกิดจากไฟฟ้าและคาร์บอน
e-Fuels คือเชื้อเพลิงเหลวสังเคราะห์ที่ถูกออกแบบมาให้มีคุณสมบัติทางเคมีคล้ายคลึงกับน้ำมันเชื้อเพลิงฟอสซิล ทั้งเบนซิน ดีเซล หรือแม้กระทั่งน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน (Jet Fuel) ทำให้สามารถนำไปใช้กับเครื่องยนต์สันดาปภายในและโครงสร้างพื้นฐานด้านการเติมเชื้อเพลิงที่มีอยู่เดิมได้ โดยไม่ต้องดัดแปลงเครื่องยนต์เลย
ความพิเศษของ e-Fuels คือกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยิ่ง ทำให้ถูกจัดเป็นเชื้อเพลิงที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral)
| องค์ประกอบหลักของ e-Fuels | ที่มาและบทบาท |
| ไฮโดรเจนสะอาด (Green Hydrogen) | ได้จากการแยกน้ำ (H2O) ด้วยกระบวนการอิเล็กโทรลิซิส โดยใช้ พลังงานหมุนเวียน (เช่น พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์) ในการผลิต |
| ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) | ได้จากการดักจับจากชั้นบรรยากาศโดยตรง (Direct Air Capture) หรือจากแหล่งปล่อยก๊าซในภาคอุตสาหกรรม (Carbon Capture) |
| พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) | ใช้ในการขับเคลื่อนกระบวนการผลิตทั้งหมด ตั้งแต่การแยกไฮโดรเจนไปจนถึงการสังเคราะห์เชื้อเพลิง |
โดยหลักการแล้ว เมื่อ e-Fuels ถูกเผาไหม้ในเครื่องยนต์ จะปล่อยก๊าซ CO2 ออกมาในปริมาณที่เท่ากับที่ถูกดักจับมาใช้ในการผลิต ทำให้เกิด สมดุลคาร์บอน ในระบบ (Closed-Loop Carbon Cycle) นี่คือหัวใจสำคัญที่ทำให้ e-Fuels เป็นความหวังในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคการขนส่ง

กระบวนการผลิต e-Fuels (Power-to-Liquid)
e-Fuels ถูกผลิตขึ้นด้วยกระบวนการทางเคมีที่เรียกว่า Power-to-Liquid (PtL) หรือการเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าให้กลายเป็นของเหลว ซึ่งสามารถแบ่งขั้นตอนหลักได้ดังนี้
1. การผลิตไฮโดรเจนสะอาด (Green Hydrogen Production)
เป็นการนำน้ำ (H2O) มาผ่านกระบวนการ อิเล็กโทรลิซิส (Electrolysis) เพื่อแยกโมเลกุลน้ำออกเป็นก๊าซไฮโดรเจน (H2) และก๊าซออกซิเจน (O2) โดยใช้ไฟฟ้าที่มาจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนเท่านั้น จึงได้ชื่อว่า “กรีนไฮโดรเจน”
2. การดักจับคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2 Capture)
ดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศโดยตรง (DAC) หรือจากปล่องโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการสังเคราะห์
3. การสังเคราะห์ (Synthesis)
นำไฮโดรเจนสะอาดและคาร์บอนไดออกไซด์มาทำปฏิกิริยากันภายใต้ความร้อนและความดัน โดยอาศัยตัวเร่งปฏิกิริยา ซึ่งมักใช้ กระบวนการฟิชเชอร์-โทรปช์ (Fischer-Tropsch Process) เป็นหลัก เพื่อสังเคราะห์ให้เกิดเป็น “น้ำมันดิบสังเคราะห์” (Synthetic Crude Oil) ซึ่งเป็นของเหลวที่มีสายโซ่ไฮโดรคาร์บอนยาว
4. การกลั่นและปรับปรุงคุณภาพ (Refining and Upgrading)
นำน้ำมันดิบสังเคราะห์ที่ได้มาผ่านกระบวนการกลั่นและปรับปรุงคุณภาพ เพื่อให้ได้เชื้อเพลิงสำเร็จรูปที่มีคุณสมบัติตรงตามมาตรฐานการใช้งาน เช่น e-Gasoline, e-Diesel หรือ e-SAF (Sustainable Aviation Fuel)
เจาะลึกความท้าทายด้านต้นทุน e-Fuels
แม้จะมีศักยภาพสูงในการลดคาร์บอน แต่ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดของ e-Fuels ในปัจจุบันคือ ต้นทุนการผลิตที่สูงมาก ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญในการเข้าสู่ตลาดเชิงพาณิชย์ในวงกว้าง
องค์ประกอบหลักที่ผลักดันให้ต้นทุนสูง
ต้นทุนที่สูงของ e-Fuels มีที่มาจากปัจจัยหลัก 2 ประการในกระบวนการผลิต Power-to-Liquid
- ราคาพลังงานไฟฟ้า
- ค่าไฟแพง การแยกน้ำเพื่อผลิตกรีนไฮโดรเจนด้วยกระบวนการอิเล็กโทรลิซิสต้องใช้พลังงานไฟฟ้าจำนวนมหาศาล และพลังงานไฟฟ้านี้ต้องมาจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนทั้งหมด
- ประสิทธิภาพต่ำ กระบวนการ PtL มีการสูญเสียพลังงานระหว่างทางสูงมาก โดยพลังงานไฟฟ้า 100% ที่ใส่เข้าไป อาจเหลือเป็นพลังงานที่ใช้ในการขับเคลื่อนได้จริงเพียง 8-15% เท่านั้น ทำให้ต้องใช้ไฟฟ้ามากขึ้นเป็นทวีคูณเมื่อเทียบกับพลังงานที่ได้รับ
- เทคโนโลยีและกำลังการผลิต
- เทคโนโลยีใหม่ เทคโนโลยีการดักจับคาร์บอนไดออกไซด์ (DAC) และเครื่องปฏิกรณ์สังเคราะห์ยังมีต้นทุนการติดตั้งและดำเนินการที่สูงมาก
- ขาด Economis of Scale โรงงานผลิตส่วนใหญ่อยู่ในระยะนำร่องหรือเชิงสาธิต ทำให้ยังไม่สามารถลดต้นทุนการผลิตต่อหน่วยลงได้เหมือนกับการผลิตน้ำมันฟอสซิลขนาดใหญ่

การเปรียบเทียบต้นทุนเบื้องต้น
ในปัจจุบัน ราคาของ e-Fuels ยังห่างไกลจากราคาเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างมาก สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่ต้องเร่งแก้ไข
| ประเภทเชื้อเพลิง | ต้นทุน/ราคาโดยประมาณ (อ้างอิงข้อมูลช่วงเริ่มต้น) | อัตราส่วนเทียบกับน้ำมันปกติ |
| e-Fuels (ช่วงทดลอง/สาธิต) | ประมาณ 700บาทต่อลิตร | สูงกว่า 4-9 เท่า หรือมากกว่า |
| น้ำมันเชื้อเพลิงปกติ | ประมาณ 18−30บาทต่อลิตร | 1 เท่า |
*หมายเหตุ การเปรียบเทียบนี้เป็นเพียงตัวอย่างในช่วงของการพัฒนา โดยต้นทุน e-Fuels จะแตกต่างกันไปตามแหล่งพลังงานและสถานที่ผลิต
แนวทางลดต้นทุนเพื่อการแข่งขัน
เพื่อให้ e-Fuels สามารถแข่งขันกับเชื้อเพลิงปกติได้ในเชิงพาณิชย์ จำเป็นต้องอาศัยการพัฒนาและการสนับสนุนอย่างหนัก
- การใช้พลังงานหมุนเวียนราคาถูก การตั้งโรงงานผลิตในพื้นที่ที่มีศักยภาพด้านพลังงานหมุนเวียนสูงและมีราคาถูกมากๆ เช่น การใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในทะเลทราย หรือพลังงานลมในพื้นที่ห่างไกล
- การใช้ไฟฟ้าส่วนเกิน การนำระบบไฟฟ้าแบบ Ancillary Service หรือการใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลาที่ราคาสูงสุดต่ำ (Peak Demand) หรือแม้แต่ช่วงที่ค่าไฟ “ติดลบ” (เกิดขึ้นเมื่อการผลิตพลังงานหมุนเวียนเกินความต้องการใช้) มาใช้ในการผลิตไฮโดรเจนสะอาด จะช่วยลดต้นทุนค่าไฟฟ้าได้อย่างมหาศาล
- การสนับสนุนจากภาครัฐ การให้เงินอุดหนุน สิทธิประโยชน์ทางภาษี หรือการกำหนดโควตาการใช้ e-Fuels ในบางอุตสาหกรรม (เช่น ภาคการบิน) เหมือนที่สหภาพยุโรปหรือสหรัฐอเมริกาได้ดำเนินการ จะช่วยกระตุ้นการลงทุนและผลักดันให้เกิด Economies of Scale ได้เร็วขึ้น
ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่า e-Fuels อาจต้องใช้เวลาอีก 10-15 ปี ในการพัฒนาและขยายกำลังการผลิตเพื่อลดต้นทุนจนสามารถแข่งขันกับเชื้อเพลิงฟอสซิลได้ในตลาด
ข้อดีและข้อท้าทายของ e-Fuels
| ประเภท | ข้อดี (Advantages) | ข้อท้าทาย (Challenges) |
| สิ่งแวดล้อม | เป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ช่วยลด CO2 สุทธิในบรรยากาศ | การเผาไหม้ยังปล่อยมลพิษที่ไม่ใช่คาร์บอน (NOx) ออกมา |
| การใช้งาน | ใช้กับเครื่องยนต์เดิมได้ทันที (Drop-in Fuel) ไม่ต้องดัดแปลงรถหรือระบบเติมน้ำมัน | ประสิทธิภาพการใช้พลังงานต่ำมาก (มีการสูญเสียพลังงานสูงในกระบวนการ PtL) |
| เศรษฐศาสตร์ | ความหนาแน่นพลังงานสูง จัดเก็บและขนส่งได้ง่าย เหมาะกับการขนส่งระยะไกล | ต้นทุนการผลิตสูงกว่าน้ำมันฟอสซิลหลายเท่าตัว ในปัจจุบัน |
| สังคม | เป็นพลังงานสะพานเชื่อม ทำให้เครื่องยนต์สันดาปยังคงอยู่ได้ในช่วงเปลี่ยนผ่าน | ต้องการการลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียนและโครงสร้างพื้นฐานมหาศาล |
สถานการณ์และอนาคตของ e-Fuels ทั่วโลกและในไทย 🇹🇭
กระแสความสนใจใน e-Fuels ทั่วโลกกำลังเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในยุโรปและญี่ปุ่น ซึ่งกำลังผลักดันให้ e-Fuels เป็นทางออกสำหรับภาคการขนส่งที่ไม่สามารถเปลี่ยนไปใช้ไฟฟ้าได้ง่าย เช่น อุตสาหกรรมการบิน (e-SAF) และรถยนต์หรูหรือรถแข่ง
แนวโน้มระดับโลก
- การลงทุนและการพัฒนา ปัจจุบันมีโครงการ e-Fuels เกือบ 120 โครงการใน 28 ประเทศ โดยมีโรงงานเชิงพาณิชย์แห่งแรกเริ่มก่อตั้งแล้ว เช่น โรงงาน Haru Oni ที่ชิลี และ Norsk e-Fuel ในนอร์เวย์
- ตลาดการบิน e-SAF เป็นที่จับตามองอย่างมาก เนื่องจากเป็นทางเลือกเดียวในการลดการปล่อยคาร์บอนของเครื่องบินพาณิชย์อย่างมีนัยสำคัญ
- มูลค่าตลาด คาดการณ์ว่าอุตสาหกรรม e-Fuels ทั่วโลกจะขยายตัวจากระดับหมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ สู่เกือบแสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2575

บทบาทของ e-Fuels ในประเทศไทย
ประเทศไทยโดยเฉพาะกลุ่มบริษัทพลังงานรายใหญ่อย่าง บางจาก คอร์ปอเรชั่น ได้เริ่มให้ความสนใจและศึกษาเทคโนโลยี e-Fuels อย่างจริงจัง โดยมีการร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลก เช่น บริษัท ENEOS จากญี่ปุ่น เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนและพัฒนาในอนาคต
- การศึกษาและวิจัย ภาคเอกชนไทยกำลังติดตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยีอย่างใกล้ชิด และมองว่า e-Fuels มีศักยภาพที่จะเป็นคำตอบสุดท้ายในการเปลี่ยนผ่านพลังงานของประเทศในระยะยาว หากได้รับการสนับสนุนด้านต้นทุนจากภาครัฐ
- การสนับสนุนจากภาครัฐ ปัจจัยสำคัญคือการสนับสนุนทั้งในด้านกฎหมาย นโยบาย และการอุดหนุนเพื่อลดต้นทุนการผลิตในช่วงเริ่มต้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มความคุ้มค่าในเชิงพาณิชย์และกระตุ้นการลงทุนได้เร็วขึ้น
e-Fuels จึงเป็นมากกว่าแค่เชื้อเพลิงสังเคราะห์ แต่เป็น นวัตกรรมแห่งความยั่งยืน ที่จะช่วยให้โลกของเราสามารถก้าวข้ามยุคเชื้อเพลิงฟอสซิลไปได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยมีโจทย์สำคัญที่รอการแก้ไขคือ “ต้นทุน” หากโจทย์นี้ถูกปลดล็อกได้สำเร็จ เราก็จะได้เห็น e-Fuels ถูกเติมในยานพาหนะต่างๆ ทั่วโลกในอนาคตอันใกล้




