โลกของเรากำลังเดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญทางประวัติศาสตร์ เมื่อคำว่า “ภาวะโลกร้อน” (Global Warming) ดูจะเบาบางเกินไปที่จะอธิบายปรากฏการณ์สุดขั้วที่เราเผชิญอยู่ จนสหประชาชาติต้องนิยามใหม่ว่าเป็นยุค “โลกเดือด” (Global Boiling) แม้ทั่วโลกจะตื่นตัวกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกผ่านการใช้รถยนต์ไฟฟ้าหรือพลังงานแสงอาทิตย์ แต่ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ล่าสุดชี้ชัดว่า “แค่ลดการปล่อยใหม่นั้นยังไม่พอ”

ทำไมถึงไม่พอ คำตอบอยู่ที่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ปริมาณมหาศาลที่มนุษย์ปล่อยสะสมไว้ในชั้นบรรยากาศตลอด 200 ปีที่ผ่านมา ก๊าซเหล่านี้ยังคงวนเวียนและทำหน้าที่กักเก็บความร้อนต่อไป แม้ว่าวันนี้เราจะหยุดโรงงานทุกแห่งและหยุดรถทุกคันในโลกทันที อุณหภูมิโลกก็จะยังคงสูงขึ้นต่อไปอีกนาน ดังนั้นโจทย์ใหญ่ของมนุษยชาติจึงเปลี่ยนไป ไม่ใช่แค่การหยุดปล่อย (Zero Emissions) แต่ต้องเป็นการ “ลบ” ของเก่าออกไปด้วย หรือที่เรียกว่า “การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นลบ” (Negative Emissions)

นี่คือที่มาของเทคโนโลยีที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น “เครื่องฟอกอากาศของโลก” อย่าง Direct Air Capture (DAC) หรือการดักจับคาร์บอนจากอากาศโดยตรง นวัตกรรมที่เปลี่ยนจากรับบทตั้งรับมาเป็นฝ่ายรุกในการดูดซับมลพิษออกจากท้องฟ้า บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกทุกมิติของ DAC ตั้งแต่กลไกทางเคมีที่ซับซ้อนไปจนถึงอภิมหาโปรเจกต์ระดับโลกที่กำลังเกิดขึ้นจริงในปี 2025

Direct Air Capture (DAC) คืออะไรและทำงานอย่างไร

Direct Air Capture (DAC) คือเทคโนโลยีวิศวกรรมขั้นสูงที่ออกแบบมาเพื่อดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) โดยตรงจากบรรยากาศ ไม่ใช่แค่จากปล่องควันโรงงาน หากเปรียบเทียบให้เห็นภาพ โรงงานดักจับคาร์บอนทั่วไป (CCS) เปรียบเสมือนการเอาถุงไปครอบท่อไอเสียรถยนต์ แต่ DAC คือเครื่องฟอกอากาศขนาดยักษ์ที่ตั้งอยู่ที่ไหนก็ได้บนโลกเพื่อดูดซับ CO2 ที่กระจายตัวเจือจางอยู่ในอากาศ

ความท้าทายทางวิศวกรรมของ DAC คือความเข้มข้นของ CO2 ในอากาศทั่วไปนั้นมีเพียงประมาณ 0.04% เท่านั้น ซึ่งเบาบางกว่าในควันจากโรงงานถึง 300 เท่า การจะดักจับสิ่งที่มีอยู่น้อยนิดให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงต้องอาศัยกระบวนการทางเคมีที่แม่นยำและทรงพลัง ปัจจุบันเทคโนโลยี DAC แบ่งออกเป็น 2 ระบบหลักที่ขับเคี่ยวกันในตลาดโลก

1 ระบบตัวทำละลายของเหลว (Liquid Solvent DAC)

ระบบนี้เป็นเทคโนโลยีรุ่นบุกเบิกและใช้ในโรงงานขนาดใหญ่ หลักการทำงานคล้ายกับการฟอกอากาศในระดับอุตสาหกรรม

  • การดักจับ พัดลมขนาดยักษ์จะดูดอากาศผ่านหอคอยที่มีสารละลายสารเคมี (เช่น โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์) ไหลผ่าน สารละลายนี้จะทำปฏิกิริยาเคมีผูกติดกับ CO2 กลายเป็นเกลือคาร์บอเนตเหลว และปล่อยอากาศบริสุทธิ์กลับคืนสู่ธรรมชาติ
  • การแยก ของเหลวที่จับ CO2 ไว้แล้วจะถูกส่งเข้าสู่กระบวนการที่สอง โดยทำปฏิกิริยากับแคลเซียมไฮดรอกไซด์ จนเกิดเป็นเม็ดของแข็งแคลเซียมคาร์บอเนต
  • การเผา เม็ดของแข็งจะถูกนำไปเผาด้วยความร้อนสูงถึง 900 องศาเซลเซียส เพื่อปลดปล่อย CO2 บริสุทธิ์ออกมาสำหรับนำไปเก็บหรือใช้งาน ส่วนสารเคมีที่เหลือจะถูกนำกลับไปหมุนเวียนใช้ใหม่
  • จุดเด่น เหมาะสำหรับการดักจับในปริมาณมหาศาลระดับล้านตัน (Megaton scale)
  • ข้อสังเกต ใช้น้ำเปลืองมากเนื่องจากการระเหย และต้องการพลังงานความร้อนสูง

2 ระบบตัวดูดซับของแข็ง (Solid Sorbent DAC)

เทคโนโลยีนี้กำลังมาแรงและเป็นที่นิยมในหมู่สตาร์ทอัพรุ่นใหม่ เพราะมีความยืดหยุ่นสูงกว่า

  • การดักจับ อากาศจะถูกดูดผ่านแผ่นกรองที่มีลักษณะคล้ายรังผึ้ง ซึ่งเคลือบด้วยสารเคมีพิเศษที่มีคุณสมบัติ “เหนียว” ต่อ CO2 โดยเฉพาะ เมื่อลมพัดผ่าน CO2 จะติดอยู่บนผิววัสดุเหมือนแมลงติดใยแมงมุม
  • การแยก เมื่อแผ่นกรองอิ่มตัว ระบบจะปิดผนึกเป็นห้องสุญญากาศและใช้ความร้อนระดับปานกลาง (ประมาณ 80 ถึง 120 องศาเซลเซียส) เพื่อทำให้ CO2 หลุดออกมา
  • จุดเด่น ใช้พลังงานต่ำกว่า สามารถใช้ความร้อนทิ้งจากโรงงานหรือพลังงานความร้อนใต้พิภพได้ และที่สำคัญคือ “แทบไม่ใช้น้ำ” หรือในบางกรณีสามารถผลิตน้ำออกมาเป็นผลพลอยได้ด้วย
  • ข้อสังเกต ความทนทานของวัสดุกรองอาจมีอายุการใช้งานจำกัด และต้องเปลี่ยนบ่อยกว่าระบบของเหลว

ทำไมโลกต้องพึ่งพา Negative Emissions

หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมเราไม่มุ่งเน้นแค่การปลูกป่า คำตอบคือ “คณิตศาสตร์ของสภาพภูมิอากาศ” ไม่เข้าข้างเราอีกต่อไป การจะบรรลุเป้าหมาย Net Zero หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 นั้น เราจำเป็นต้องกำจัดคาร์บอนออกจากอากาศให้ได้ปีละ 10,000 ล้านตัน (10 Gigatons)

ภาคอุตสาหกรรมบางประเภทเรียกว่า “Hard-to-abate sectors” หรือกลุ่มที่ลดการปล่อยได้ยากมาก เช่น อุตสาหกรรมการบิน การเดินเรือขนส่งสินค้า และการผลิตเหล็กหรือปูนซีเมนต์ เทคโนโลยีปัจจุบันยังไม่สามารถทำให้เครื่องบินข้ามทวีปใช้แบตเตอรี่ไฟฟ้าได้ ดังนั้น Negative Emissions จึงเข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญในการ “หักลบ” มลพิษที่ภาคส่วนเหล่านี้ยังคงปล่อยออกมา เพื่อให้สมการสุทธิกลายเป็นศูนย์

นอกจากนี้ DAC ยังมีข้อได้เปรียบที่เหนือกว่าวิธีธรรมชาติในแง่ของ “ความถาวร” (Permanence) ต้นไม้อาจถูกไฟไหม้หรือตาย ซึ่งจะปล่อยคาร์บอนกลับคืนสู่บรรยากาศ แต่ CO2 ที่ดักจับด้วย DAC และนำไปอัดลงในชั้นหินลึกใต้ดิน (Geological Storage) จะกลายเป็นหินและถูกกักเก็บไว้ได้นานนับพันหรือล้านปี

ตารางเปรียบเทียบ DAC vs ป่าไม้ vs เทคโนโลยีอื่น

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนว่าทำไมเราถึงต้องลงทุนในเทคโนโลยีราคาแพงอย่าง DAC แทนที่จะปลูกต้นไม้เพียงอย่างเดียว ตารางด้านล่างนี้ได้รวบรวมข้อมูลเปรียบเทียบประสิทธิภาพของแต่ละวิธี

ปัจจัยเปรียบเทียบDirect Air Capture (DAC)การปลูกป่า (Afforestation)Bioenergy with CCS (BECCS)
พื้นที่ที่ใช้ (Land Use)น้อยมาก (ประมาณ 0.012 ล้านเฮกตาร์ ต่อการดักจับ 1 พันล้านตัน) โรงงาน DAC กินพื้นที่น้อยแต่ประสิทธิภาพสูงมหาศาล (ต้องใช้พื้นที่เทียบเท่าประเทศขนาดใหญ่ เช่น เม็กซิโก เพื่อดักจับปริมาณเท่ากัน) อาจกระทบพื้นที่เกษตรกรรมปานกลางถึงมาก ต้องใช้พื้นที่ปลูกพืชพลังงานจำนวนมาก
การใช้น้ำ (Water Usage)ระบบของแข็ง (Solid) ใช้น้อยมาก หรือผลิตน้ำได้
ระบบของเหลว (Liquid) ใช้มาก (5-6 ตันน้ำ ต่อ 1 ตันคาร์บอน)
มาก ขึ้นอยู่กับชนิดพันธุ์ไม้และสภาพอากาศ อาจแย่งน้ำจากชุมชนมากที่สุด ต้องใช้น้ำในการปลูกพืชและการแปรรูป
ความถาวร (Permanence)สูงมาก (1,000+ ปี) เมื่ออัดลงหินปูนหรือชั้นหินบะซอลต์จะกลายเป็นแร่ธาตุถาวรต่ำถึงปานกลาง (10-100 ปี) เสี่ยงต่อไฟป่า โรคระบาด และการตัดไม้ทำลายป่าสูง หากมีการกักเก็บคาร์บอนใต้ดินอย่างถูกต้อง
ต้นทุนปัจจุบัน (ต่อตัน CO2)สูง ($600 – $1,000) แต่มีแนวโน้มลดลงเหลือ $150 ในอนาคตต่ำ ($10 – $50) แต่ต้นทุนอาจสูงขึ้นเมื่อพื้นที่เริ่มขาดแคลน**ปานกลาง ($100 – $200)** รายได้เสริมจากการขายไฟฟ้าช่วยลดต้นทุนสุทธิได้
สถานที่ตั้ง (Location)อิสระ ตั้งที่ไหนก็ได้ที่มีพลังงานสะอาดและแหล่งเก็บ ใกล้ทะเลทรายหรือพื้นที่รกร้างจำกัด ต้องมีดินและสภาพอากาศที่เหมาะสมจำกัด ต้องอยู่ใกล้แหล่งปลูกพืชและโครงสร้างพื้นฐาน

*ข้อมูลในตารางนี้แสดงให้เห็นว่า DAC ไม่ได้มาแทนที่การปลูกป่า แต่มาเพื่อปิดจุดอ่อนเรื่องพื้นที่และความถาวร ซึ่งเป็นข้อจำกัดหลักของวิธีธรรมชาติ

อัปเดตโครงการยักษ์ใหญ่และผู้นำตลาดโลก (2024-2025)

ปี 2025 ถือเป็นปีทองของการก้าวกระโดดจาก “โรงงานทดลอง” สู่ “อุตสาหกรรมเต็มรูปแบบ” มีโครงการที่น่าจับตามองดังนี้

1 Project Stratos (สหรัฐอเมริกา)

นี่คือโปรเจกต์เรือธงที่ทั่วโลกจับตามอง ดำเนินการโดยบริษัท Occidental Petroleum (1PointFive) ร่วมกับเทคโนโลยีจาก Carbon Engineering โรงงานนี้ตั้งอยู่ในรัฐเท็กซัส และมีกำหนดเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในช่วงกลางปี 2025

  • ความพิเศษ Stratos จะเป็นโรงงาน DAC ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีกำลังการผลิตในการดักจับ CO2 สูงถึง 500,000 ตันต่อปี ซึ่งมากกว่าโรงงานที่ใหญ่ที่สุดก่อนหน้านี้ถึง 100 เท่า
  • กลยุทธ์ ใช้ระบบ Liquid Solvent ที่ผ่านการพิสูจน์แล้ว และขาย “Carbon Removal Credit” ให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Amazon และ ANA All Nippon Airways

2 โรงงาน Mammoth (ไอซ์แลนด์)

บริหารงานโดย Climeworks บริษัทสัญชาติสวิสที่เป็นผู้บุกเบิกวงการ เริ่มเปิดดำเนินการเฟสแรกไปแล้วในปี 2024

  • ความพิเศษ ใช้เทคโนโลยี Solid Sorbent ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และใช้พลังงานความร้อนใต้พิภพ (Geothermal) ของไอซ์แลนด์ในการเดินเครื่อง 100% ทำให้เป็นกระบวนการที่สะอาดหมดจด
  • การเก็บ ก๊าซ CO2 ที่ดักจับได้จะถูกผสมกับน้ำและอัดลงไปในชั้นหินบะซอลต์ใต้ดินด้วยเทคโนโลยีของบริษัท Carbfix ซึ่งจะทำปฏิกิริยากลายเป็นหินภายในเวลาไม่ถึง 2 ปี

3 Project Cypress (รัฐหลุยเซียนา สหรัฐฯ)

เป็นโครงการที่ได้รับเงินทุนสนับสนุนมหาศาลจากกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ (DOE) ภายใต้งบประมาณ Infrastructure Law

  • ความร่วมมือ เป็นการจับมือกันระหว่าง Climeworks (ระบบ Solid) และ Heirloom สตาร์ทอัพมาแรงที่ใช้เทคโนโลยี Carbon Mineralization หรือการใช้หินปูนมาเป็นตัวดูดซับคาร์บอน ซึ่งเป็นวิธีที่ต้นทุนต่ำและขยายขนาดได้ง่าย
  • สถานะ อยู่ในช่วงเริ่มก่อสร้างและคาดว่าจะกลายเป็นศูนย์กลาง (Hub) ของการดักจับคาร์บอนแห่งใหม่ของโลก

เศรษฐศาสตร์และนโยบาย แรงขับเคลื่อนสำคัญ

เทคโนโลยีจะดีแค่ไหนก็ไปไม่รอดถ้าขาดแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ ในปี 2024-2025 เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของนโยบายรัฐบาลในหลายประเทศ

กฎหมาย Inflation Reduction Act (IRA) ของสหรัฐฯ

สหรัฐอเมริกาได้แก้เกมเรื่องต้นทุนที่สูงลิ่วของ DAC ด้วยการปรับปรุงมาตรา 45Q Tax Credit โดยในปี 2025 รัฐบาลสหรัฐฯ ยินดีจ่ายเครดิตภาษีให้สูงถึง $180 ต่อตัน สำหรับ CO2 ที่ดักจับจากอากาศและนำไปฝังกลบอย่างถาวร นโยบายนี้เปรียบเสมือนการเติมเชื้อเพลิงให้ไฟแห่งการลงทุนลุกโชน ทำให้ภาคเอกชนกล้าที่จะทุ่มเงินสร้างโรงงาน DAC เพราะเห็นจุดคุ้มทุนที่ชัดเจนขึ้น

ตลาดคาร์บอนเครดิตคุณภาพสูง (High-Quality Carbon Credits)

ตลาดคาร์บอนกำลังแบ่งเกรดชัดเจนขึ้น คาร์บอนเครดิตแบบเก่าที่เกิดจากการ “หลีกเลี่ยงการปล่อย” (Avoidance) เริ่มมีความน่าเชื่อถือน้อยลง ในขณะที่เครดิตจากการ “กำจัดคาร์บอน” (Removal) อย่าง DAC กำลังเป็นที่ต้องการของบริษัทระดับโลก เช่น Microsoft, Stripe และ Shopify ซึ่งยอมจ่ายในราคาสูงเพื่อแลกกับเครดิตที่ตรวจสอบได้จริงและถาวร

ความเคลื่อนไหวในเอเชีย

ญี่ปุ่นกำลังใช้เวที Expo 2025 Osaka เพื่อโชว์ศักยภาพเทคโนโลยี DAC โดยรัฐบาลญี่ปุ่นตั้งเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี Green Innovation และเริ่มมีการร่างนโยบายสนับสนุนคล้ายกับสหรัฐฯ เพื่อดึงดูดการลงทุนเข้าสู่ประเทศ

ความท้าทายที่ยังรอการแก้ไข

แม้ภาพฝันจะดูสวยงาม แต่ความจริงยังมีอุปสรรคก้อนโตขวางอยู่

  1. ความต้องการพลังงาน (Energy Intensity) DAC ต้องใช้พลังงานมหาศาล โดยเฉพาะพลังงานความร้อน หากโรงงาน DAC ต้องใช้ไฟฟ้าจากถ่านหินเพื่อมาดักจับคาร์บอน ก็เท่ากับเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ดังนั้น DAC จะสมเหตุสมผลก็ต่อเมื่อใช้พลังงานสะอาด (Renewable Energy) หรือพลังงานนิวเคลียร์เท่านั้น ซึ่งในหลายพื้นที่ พลังงานสะอาดยังมีจำกัดและต้องแย่งกันใช้กับภาคส่วนอื่น
  2. ต้นทุนที่ยังสูงเกินเอื้อม เป้าหมายของวงการคือการกดราคาให้ต่ำกว่า $100 ต่อตัน เพื่อให้แข่งขันได้ แต่ปัจจุบันยังอยู่ที่ระดับ $600+ ซึ่งต้องอาศัยการผลิตซ้ำๆ (Learning by doing) และการขยายขนาด (Economy of Scale) เพื่อลดต้นทุน เหมือนกับที่แผงโซลาร์เซลล์เคยทำได้สำเร็จในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา
  3. โครงสร้างพื้นฐาน การดักจับได้แล้วไม่ใช่จุดจบ เราต้องการท่อส่งก๊าซ (Pipeline) และแหล่งกักเก็บใต้ดินที่ปลอดภัย ซึ่งต้องอาศัยการสำรวจทางธรณีวิทยาและการยอมรับจากชุมชนในพื้นที่ ไม่เช่นนั้น CO2 ที่จับมาได้ก็ไม่มีที่ไป

บทสรุป

Direct Air Capture ไม่ใช่ยาวิเศษที่จะมาแทนที่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เรายังจำเป็นต้องเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า เลิกใช้ถ่านหิน และประหยัดพลังงานเป็นอันดับแรก แต่ DAC คือ “ประกันชีวิต” กรมธรรม์สำคัญที่โลกต้องทำไว้ เพื่อจัดการกับมลพิษที่เราปล่อยเกินมาและไม่สามารถลดได้ด้วยวิธีปกติ

ในปี 2025 เรากำลังยืนอยู่บนรอยต่อของยุคสมัยที่มนุษย์ไม่ได้แค่เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับธรรมชาติ แต่กำลังใช้สติปัญญาและเทคโนโลยีเพื่อ “ซ่อมแซม” ธรรมชาติที่บุบสลาย การเติบโตของเทคโนโลยี Negative Emissions คือสัญญาณแห่งความหวังว่า แม้เราจะเคยทำลายโลกไปมากเพียงใด เราก็ยังมีหนทางและความมุ่งมั่นที่จะกอบกู้สมดุลคืนมา เพื่อส่งต่อโลกที่เย็นลงให้กับลูกหลานของเรา

ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกที่มุ่งสู่พลังงานสะอาด พลังงานแสงอาทิตย์ถือเป็นกุญแจสำคัญที่ถูกจับตามองมากที่สุด แต่ทว่าเทคโนโลยีโซลาร์เซลล์แบบซิลิคอนที่เราคุ้นเคยกันดีนั้นเริ่มเข้าใกล้ขีดจำกัดสูงสุดในการพัฒนา ทั้งในเรื่องของน้ำหนัก ความแข็งเกร็งที่ไม่สามารถโค้งงอได้ และกระบวนการผลิตที่ใช้พลังงานสูง นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของโครงการวิจัยระดับโลกที่มีชื่อว่า PEARL ซึ่งกำลังจะเข้ามาพลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์พลังงานด้วยนวัตกรรม “Flexible Perovskite Solar Cells” ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีการใช้วัสดุคาร์บอนมาเป็นตัวนำไฟฟ้าแทนโลหะ

บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกทุกรายละเอียดของโครงการ PEARL ตั้งแต่หลักการทำงาน ความก้าวหน้าล่าสุดในปี 2025 ไปจนถึงข้อมูลอ้างอิงจากแหล่งที่เชื่อถือได้ว่าทำไมนักวิจัยทั่วโลกถึงยกให้เทคโนโลยีนี้เป็นอนาคตของพลังงานที่จับต้องได้จริง

ทำความรู้จักกับโครงการ PEARL

ข้อมูลจากฐานข้อมูลโครงการวิจัยของสหภาพยุโรป (CORDIS) ระบุว่า PEARL คือโครงการวิจัยขนาดใหญ่ภายใต้การสนับสนุนของสหภาพยุโรปในกรอบ Horizon Europe ซึ่งชื่อ PEARL นั้นย่อมาจากเป้าหมายหลักของโครงการคือการพัฒนาโซลาร์เซลล์ Perovskite ที่มีความยืดหยุ่น ประสิทธิภาพสูง และมีความเสถียร โดยเปลี่ยนมาใช้วัสดุคาร์บอนที่มีต้นทุนต่ำในการนำกระแสไฟฟ้า

โครงการนี้เป็นการรวมตัวกันของพันธมิตรชั้นนำ 10 องค์กรทั่วยุโรป โดยมีผู้นำหลักอย่าง ศูนย์วิจัย TNO จากเนเธอร์แลนด์ ร่วมกับสถาบันวิจัย VTT จากฟินแลนด์ สถาบัน ICIQ จากสเปน และมหาวิทยาลัย Tor Vergata จากอิตาลี ซึ่งแต่ละหน่วยงานต่างระดมผู้เชี่ยวชาญระดับหัวกะทิเพื่อมาร่วมกันแก้ปัญหาคอขวดของเทคโนโลยีโซลาร์เซลล์ในปัจจุบัน

ภารกิจหลักที่ท้าทายขีดจำกัด

เป้าหมายของ PEARL นั้นมีความทะเยอทะยานและชัดเจน โดยเอกสารข้อเสนอโครงการได้ระบุเกณฑ์ความสำเร็จไว้ในระดับที่สูงมาก เพื่อให้มั่นใจว่าเทคโนโลยีนี้จะสามารถนำไปใช้งานได้จริงในเชิงพาณิชย์ สิ่งที่โครงการมุ่งหวังประกอบด้วย

  • การสร้างประสิทธิภาพการเปลี่ยนพลังงาน (Efficiency) ให้สูงกว่า 25 เปอร์เซ็นต์
  • การลดต้นทุนการผลิตให้ต่ำกว่า 0.30 ยูโรต่อวัตต์ (EUR/Wp)
  • การสร้างความเสถียรในการใช้งานระยะยาวที่เหนือกว่ามาตรฐาน IEC
  • การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตให้เหลือน้อยกว่า 0.01 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง

หัวใจสำคัญของเทคโนโลยี: Perovskite และ วัสดุคาร์บอนนำกระแสไฟ

เพื่อให้เข้าใจว่าทำไม PEARL ถึงเป็นนวัตกรรมที่น่าจับตามอง เราจำเป็นต้องทำความเข้าใจองค์ประกอบหลักสองส่วนที่เปรียบเสมือนหัวใจและกระดูกสันหลังของเทคโนโลยีนี้

ภาพที่ 1: ภาพจำลองเซลล์ต้นแบบ Perovskite แบบยืดหยุ่นที่ใช้วัสดุคาร์บอนสีดำในการนำไฟฟ้า (ที่มา: จำลองจากงานวิจัยในโครงการ PEARL)

1 Perovskite วัสดุเปลี่ยนโลก Perovskite คือโครงสร้างผลึกที่มีการจัดเรียงตัวแบบพิเศษ ซึ่งมีคุณสมบัติในการดูดซับแสงและเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้าได้อย่างยอดเยี่ยม ข้อดีที่เหนือกว่าซิลิคอนคือ Perovskite สามารถผลิตได้ในรูปแบบของ “สารละลาย” หรือหมึกพิมพ์ ทำให้เราสามารถพิมพ์แผงโซลาร์เซลล์ลงบนวัสดุต่าง ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นพลาสติกหรือแผ่นโลหะบาง ๆ ส่งผลให้แผงโซลาร์เซลล์มีน้ำหนักเบาและโค้งงอได้

2 วัสดุคาร์บอนนำกระแสไฟ (Carbon Conductor) ทางเลือกใหม่ที่ยั่งยืนกว่า ในแผงโซลาร์เซลล์ทุกชนิด จำเป็นต้องมีวัสดุที่ทำหน้าที่เปรียบเสมือน “ถนน” เพื่อให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านไปใช้งานได้ งานวิจัยจากสถาบัน ICIQ และโครงการ PEARL ชี้ให้เห็นปัญหาของเทคโนโลยีเดิมที่มักใช้โลหะมีค่าอย่างทองคำ (Gold) หรือเงิน (Silver) มาสร้างถนนสายนี้ ซึ่งนอกจากจะมีราคาแพงแล้ว โลหะเหล่านี้ยังมักจะทำปฏิกิริยาเคมีกับชั้น Perovskite ทำให้แผงเสื่อมสภาพเร็ว

โครงการ PEARL จึงแก้ปัญหาด้วยการใช้ “วัสดุคาร์บอน” มาทำหน้าที่เป็นตัวนำกระแสไฟแทน ซึ่งมีข้อดีมหาศาลดังนี้

  • ราคาถูกและหาได้ง่าย คาร์บอนมีต้นทุนต่ำกว่าทองคำและเงินอย่างเทียบกันไม่ได้ ช่วยลดต้นทุนรวมของแผงโซลาร์เซลล์ได้อย่างมหาศาล
  • ความเสถียรสูง คาร์บอนมีความทนทานต่อปฏิกิริยาเคมี ไม่ไปทำลายชั้น Perovskite
  • กันความชื้น วัสดุคาร์บอนที่ใช้มักมีคุณสมบัติกันน้ำ ซึ่งช่วยทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันความชื้นไม่ให้เข้าไปทำลายเซลล์ภายในได้อีกชั้นหนึ่ง

นวัตกรรมการผลิตแบบม้วนต่อม้วน (Roll-to-Roll Manufacturing)

อีกหนึ่งความโดดเด่นของโครงการ PEARL คือกระบวนการผลิต โดยทางศูนย์วิจัย TNO และ VTT ซึ่งเชี่ยวชาญด้านระบบการผลิตขั้นสูง ได้นำเสนอกระบวนการที่เรียกว่า Roll-to-Roll (R2R)

ภาพที่ 2: ภาพจำลองกระบวนการผลิตแบบ Roll-to-Roll ในห้องคลีนรูม ที่กำลังพิมพ์ชั้นวัสดุคาร์บอนลงบนแผ่นพลาสติก (ที่มา: จำลองจากเทคโนโลยีของสถาบัน VTT/TNO)

ลองจินตนาการถึงโรงพิมพ์หนังสือพิมพ์ที่มีกระดาษม้วนใหญ่วิ่งผ่านลูกกลิ้งเพื่อพิมพ์ข้อความและรูปภาพด้วยความเร็วสูง กระบวนการผลิตของ PEARL ก็มีลักษณะคล้ายกัน โดยใช้วัสดุฐานรอง (Substrate) ที่เป็นพลาสติกยืดหยุ่นม้วนยาว วิ่งผ่านเครื่องเคลือบที่ทำหน้าที่ “พิมพ์” ชั้นของ Perovskite และวัสดุคาร์บอนนำกระแสไฟลงไปอย่างต่อเนื่อง

วิธีการนี้ทำให้สามารถผลิตแผงโซลาร์เซลล์ได้ในปริมาณมากด้วยความรวดเร็ว (High Throughput) และใช้พลังงานในการผลิตต่ำกว่าแบบเดิมมาก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ราคาของโซลาร์เซลล์ชนิดนี้ถูกลงจนทุกคนสามารถเข้าถึงได้

ตารางเปรียบเทียบเทคโนโลยีโซลาร์เซลล์

เพื่อให้เห็นภาพความแตกต่างและจุดเด่นของเทคโนโลยี PEARL ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ตารางด้านล่างนี้จะเปรียบเทียบคุณสมบัติระหว่าง โซลาร์เซลล์ซิลิคอนทั่วไป โซลาร์เซลล์ Perovskite แบบดั้งเดิม และ โซลาร์เซลล์ Perovskite ที่ใช้วัสดุคาร์บอนนำไฟฟ้าของ PEARL

หัวข้อเปรียบเทียบโซลาร์เซลล์ซิลิคอน (Silicon)Perovskite ดั้งเดิม (Standard)Perovskite คาร์บอน (PEARL Project)
วัสดุนำไฟฟ้าเงิน / อลูมิเนียมทองคำ / เงินคาร์บอน (Carbon)
ความยืดหยุ่นแข็ง เปราะ หักง่ายยืดหยุ่นได้ (ขึ้นอยู่กับฐานรอง)ยืดหยุ่นสูง โค้งงอได้
กระบวนการผลิตอุณหภูมิสูง / สุญญากาศSpin Coating (เหมาะกับแล็บ)Roll-to-Roll (อุตสาหกรรม)
ต้นทุนการผลิตปานกลาง – สูงสูง (เนื่องจากใช้ทอง/เงิน)ต่ำมาก
ความเสถียรสูงมาก (25 ปี+)ต่ำ (เสื่อมสภาพจากความชื้น)สูงขึ้น (คาร์บอนช่วยกันความชื้น)
น้ำหนักหนัก (ต้องมีกระจก)เบาเบามาก
ผลกระทบสิ่งแวดล้อมใช้พลังงานผลิตสูงกังวลเรื่องสารตะกั่ว/ตัวทำละลายต่ำ (เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมกว่า)

ความคืบหน้าล่าสุดและก้าวสำคัญในปี 2024-2025

จากการติดตามรายงานความคืบหน้าของโครงการ PEARL พบว่าในปี 2024 ทีมวิจัยประสบความสำเร็จในการปรับปรุงสูตรเคมีของ Perovskite และชั้นนำพาประจุ (Transport Layers) ให้เข้ากันได้ดีกับวัสดุคาร์บอน โดยทางสถาบัน ICIQ ได้เผยแพร่งานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าการปรับแต่งพื้นผิวระดับโมเลกุล (Surface Engineering) สามารถลดแรงต้านทานระหว่างชั้นวัสดุ ทำให้การไหลของกระแสไฟฟ้าดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ผลลัพธ์ที่ได้คือ เซลล์ต้นแบบที่มีประสิทธิภาพ (Efficiency) สูงแตะระดับ 20-21 เปอร์เซ็นต์ สำหรับเซลล์แบบยืดหยุ่น ซึ่งถือเป็นก้าวกระโดดครั้งสำคัญ เพราะโดยปกติแล้ววัสดุคาร์บอนมักจะมีปัญหาเรื่องการนำไฟฟ้าที่ด้อยกว่าโลหะเล็กน้อย แต่ PEARL สามารถพัฒนาจนเอาชนะข้อจำกัดนี้ได้

นอกจากนี้ ทีมวิจัยยังได้ทดสอบความทนทานตามมาตรฐาน ISOS protocols พบว่าเซลล์ยังคงทำงานได้ดีแม้ผ่านการทดสอบในสภาวะเร่งความเสื่อม (Damp-heat conditions) นานกว่า 1,000 ชั่วโมง ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันว่าเทคโนโลยีนี้พร้อมแล้วที่จะก้าวออกจากห้องแล็บไปสู่โลกความเป็นจริง

การประยุกต์ใช้งานในโลกอนาคต

ด้วยคุณสมบัติที่ เบา บาง และ โค้งงอได้ ของโซลาร์เซลล์จากโครงการ PEARL ทำให้ขอบเขตการใช้งานของมันกว้างไกลกว่าแผงโซลาร์เซลล์แบบเดิมอย่างมาก

1 อาคารประหยัดพลังงานยุคใหม่ (BIPV) Saule Technologies หนึ่งในพันธมิตรภาคเอกชนของโครงการ ได้นำเสนอแนวคิดการนำแผ่น Perovskite ไปติดตั้งบนระแนงกันแดด (Sun Breakers) หรือกระจกหน้าต่างตึกสูง ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยบังแดด แต่ยังผลิตไฟฟ้าให้กับอาคารได้โดยตรง

2 ยานยนต์ไฟฟ้าและระบบขนส่ง หลังคารถยนต์ไฟฟ้า ตัวถังรถบรรทุก หรือแม้แต่ปีกเครื่องบินโดรน สามารถติดตั้งแผ่น Flexible Perovskite เพื่อช่วยชาร์จไฟเพิ่มระยะทางการวิ่งได้ โดยไม่เพิ่มน้ำหนักให้กับยานพาหนะมากจนเกินไป

3 อุปกรณ์พกพาและ Internet of Things (IoT) อุปกรณ์เซนเซอร์อัจฉริยะต่าง ๆ ที่ต้องติดตั้งในพื้นที่ห่างไกล สามารถใช้พลังงานจากแสงสว่างภายในอาคาร (Indoor Light) ผ่านแผง Perovskite ซึ่งมีความไวต่อแสงสูงกว่าซิลิคอน ทำให้สามารถทำงานได้แม้ในที่แสงน้อย

บทสรุป

โครงการ PEARL คือบทพิสูจน์ที่สำคัญว่าเทคโนโลยีพลังงานสะอาดกำลังก้าวไปอีกขั้น การผสมผสานระหว่างวัสดุอัจฉริยะอย่าง Perovskite ความแข็งแกร่งทนทานของวัสดุคาร์บอนนำกระแสไฟ และกระบวนการผลิตที่รวดเร็วแบบ Roll-to-Roll กำลังจะทลายกำแพงข้อจำกัดเดิม ๆ ของโซลาร์เซลล์ลงอย่างสิ้นเชิง ความสำเร็จของโครงการนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยให้เรามีพลังงานราคาถูกใช้ แต่ยังช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมโลกได้อย่างยั่งยืน ตามเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนที่ทั่วโลกกำลังมุ่งไป

ท่ามกลางวิกฤต “โลกเดือด” (Global Boiling) ที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ ปี 2025 นี้ได้กลายเป็นหมุดหมายที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์สิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจของประเทศไทย จากเดิมที่เคยวางเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ไว้ไกลถึงปี 2065 แต่ด้วยแรงกดดันจากเวทีโลกและภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ใกล้ตัวเข้ามา ทำให้ในปี 2025 นี้ รัฐบาลไทยได้ตัดสินใจ “ขยับเป้าหมาย” ให้เร็วขึ้น พร้อมทั้งบังคับใช้กฎหมายและกลไกราคาคาร์บอนอย่างเป็นรูปธรรม บทความนี้จะพาผู้อ่านไปเจาะลึกทุกมิติของ Thailand Net Zero 2025 จุดเปลี่ยนที่จะกำหนดทิศทางของประเทศไปตลอดศตวรรษนี้

1. นิยามใหม่และความเข้าใจที่ถูกต้อง Net Zero vs Carbon Neutrality

ก่อนที่จะลงลึกถึงมาตรการใหม่ในปี 2025 เราจำเป็นต้องทำความเข้าใจคำศัพท์สำคัญสองคำที่มักถูกใช้สลับกัน ซึ่งมีความหมายและระดับความเข้มข้นที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality)

คือ การที่ปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เข้าสู่ชั้นบรรยากาศ เท่ากับปริมาณที่ถูกดูดซับกลับคืนมา โดยอาจใช้วิธีการปลูกป่าหรือซื้อคาร์บอนเครดิตมาชดเชย แต่เป้าหมายนี้มักโฟกัสเฉพาะ “คาร์บอนไดออกไซด์” เท่านั้น ไม่รวมก๊าซเรือนกระจกตัวอื่น ๆ

การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero)

คือ เป้าหมายที่ท้าทายกว่ามาก เพราะหมายถึงการจัดการกับก๊าซเรือนกระจก “ทุกชนิด” (เช่น มีเทน ไนตรัสออกไซด์) ให้มีความสมดุลระหว่างการปล่อยและการดูดซับ หัวใจสำคัญของ Net Zero คือต้องลดการปล่อยให้เหลือศูนย์จริงๆ หรือน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วค่อยหาทางดูดซับส่วนที่เหลืออันน้อยนิดนั้นทิ้งไป ไม่ใช่แค่การปล่อยแล้วหามาจ่ายชดเชย

2. ปี 2025 จุดเปลี่ยนนโยบายชาติ จาก 2065 สู่ 2050

ในปี 2025 นี้ เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายที่ถือเป็น “Big Bang” ของวงการพลังงานและสิ่งแวดล้อมไทย จากการประชุมและมติคณะรัฐมนตรีล่าสุด รัฐบาลไทยได้ประกาศปรับแผน NDC 3.0 (Nationally Determined Contributions) โดยมีสาระสำคัญคือการ “เร่งเป้าหมาย Net Zero ให้เร็วขึ้น 15 ปี”

ตารางต่อไปนี้แสดงให้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างแผนเดิมและแผนใหม่ที่เริ่มใช้ในปี 2025

ตารางเปรียบเทียบเป้าหมายด้านภูมิอากาศของไทย (ฉบับอัปเดต 2025)

หัวข้อเปรียบเทียบแผนเดิม (ประกาศ ณ COP26)แผนใหม่ (NDC 3.0 ปี 2025)
เป้าหมาย Carbon Neutralityภายในปี 2050คงเดิม หรือ เร่งขึ้นในบางภาคส่วน
เป้าหมาย Net Zeroภายในปี 2065ภายในปี 2050 (เร่งเร็วขึ้น 15 ปี)
เป้าหมายระยะสั้น (ปี 2030-2035)ลดก๊าซเรือนกระจก 30 ถึง 40%ลดก๊าซเรือนกระจก 47% (ภายในปี 2035)
กลไกบังคับภาคสมัครใจ (Voluntary)ภาคบังคับ (Mandatory) ด้วย พ.ร.บ.
ราคาคาร์บอนซื้อขายกันเองในตลาดสมัครใจภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) และระบบ ETS

การปรับเป้าหมาย Net Zero มาเป็นปี 2050 นี้ เป็นผลมาจากแรงกดดันทางการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะมาตรการ CBAM ของสหภาพยุโรป และร่างกฎหมาย Clean Competition Act ของสหรัฐฯ ซึ่งหากไทยไม่ปรับตัว สินค้าส่งออกจะถูกกีดกันทางการค้าอย่างมหาศาล

3. กฎหมายและกลไกราคา ภาษีคาร์บอนเริ่มแล้ว!

สิ่งที่ทำให้ปี 2025 แตกต่างจากปีก่อนๆ คือ “การบังคับใช้จริง” ผ่านเครื่องมือทางการเงินและกฎหมาย 2 ฉบับหลัก ที่ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจและประชาชนโดยตรง

3.1 ภาษีคาร์บอน (Carbon Tax)

ในปี 2025 กรมสรรพสามิตได้เริ่มนำร่องเก็บภาษีคาร์บอน โดยใช้วิธีคำนวณจากค่าสัมประสิทธิ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Factor) ของสินค้าประเภทน้ำมันและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม

  • อัตราเริ่มต้น ประมาณ 200 บาทต่อตันคาร์บอน (หรือเทียบคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า)
  • รูปแบบการเก็บ ไม่ได้เก็บจากประชาชนที่หน้าปั๊มโดยตรง แต่จะแฝงอยู่ในโครงสร้างภาษีสรรพสามิตน้ำมัน เพื่อให้ผู้ผลิตและผู้นำเข้าเชื้อเพลิงฟอสซิลตระหนักถึงต้นทุนทางสิ่งแวดล้อม

3.2 พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change Act)

นี่คือกฎหมายแม่บทที่หลายฝ่ายรอคอย ในปี 2025 ร่างกฎหมายนี้ได้ผ่านกระบวนการพิจารณาที่เข้มข้น และมีผลในการสร้างกลไกสำคัญ ได้แก่

  1. กองทุนภูมิอากาศ (Climate Fund) เงินทุนสนับสนุนผู้ประกอบการเพื่อปรับเปลี่ยนเครื่องจักรและเทคโนโลยี
  2. ระบบซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (ETS – Emission Trading Scheme) บังคับให้โรงงานขนาดใหญ่และผู้ปล่อยมลพิษสูง ต้องมีการจำกัดเพดานการปล่อยก๊าซ หากปล่อยเกินต้องซื้อสิทธิจากผู้ที่ปล่อยต่ำกว่า

4. การปฏิวัติภาคพลังงาน (Energy Transition)

ภาคพลังงานเป็นจำเลยสำคัญของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุด ในปี 2025 แผนพลังงานชาติ (National Energy Plan) ฉบับใหม่ได้ถูกนำมาปฏิบัติใช้อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อสอดรับกับเป้าหมาย Net Zero 2050

พลังงานหมุนเวียนต้องเกินครึ่ง

สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด (Renewable Energy) ถูกปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีเป้าหมายให้มากกว่า 50% ของกำลังการผลิตใหม่

  • Solar Power มีการปลดล็อกกฎระเบียบ Solar Rooftop ภาคประชาชน ให้ขายไฟคืนเข้าระบบได้ง่ายขึ้นและในราคาที่จูงใจ
  • Wind Energy โครงการกังหันลมขนาดใหญ่ทั้งบนบกและนอกชายฝั่งได้รับการอนุมัติเพิ่มขึ้น
  • Hydrogen เริ่มมีการนำไฮโดรเจนมาผสมกับก๊าซธรรมชาติ (Hydrogen Blending) ในโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิลเดิม เพื่อลดการปล่อยคาร์บอน

ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เข้าสู่ยุค EV 3.5

ปี 2025 เป็นช่วงรอยต่อสำคัญของมาตรการ EV 3.5 ที่รัฐบาลให้เงินอุดหนุนต่อเนื่อง แต่ลดจำนวนลงจากมาตรการ EV 3.0 เพื่อเน้นให้เกิดการผลิตในประเทศ (Local Production) อย่างแท้จริง ค่ายรถยนต์ต่างๆ ที่เคยเซ็นสัญญาไว้ เริ่มเดินสายพานการผลิตรถ EV ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการในปีนี้ ทำให้ไทยก้าวเข้าสู่การเป็น Hub การผลิต EV ของอาเซียนอย่างเต็มตัว

5. ภาคธุรกิจกับการปรับตัว Survival of the Greenest

ในปี 2025 คำว่า ESG (Environment, Social, Governance) ไม่ใช่แค่เรื่องของการสร้างภาพลักษณ์ (CSR) อีกต่อไป แต่คือ “ใบอนุญาตในการทำธุรกิจ”

ผลกระทบจาก CBAM และ Global Supply Chain

คู่ค้าต่างประเทศ โดยเฉพาะยุโรปและอเมริกา เริ่มบังคับให้ซัพพลายเออร์ไทยต้องส่งรายงาน Carbon Footprint อย่างละเอียด ธุรกิจ SMEs ที่ปรับตัวไม่ทันเริ่มสูญเสียคำสั่งซื้อ ในขณะที่ธุรกิจที่ติดตั้งโซลาร์เซลล์ เปลี่ยนมาใช้รถขนส่งไฟฟ้า และมีระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) กลับได้รับโอกาสเติบโต

ตารางสิ่งที่ภาคธุรกิจต้องทำทันทีในปี 2025

ขั้นตอน (Step)สิ่งที่ต้องดำเนินการ (Action)
1. Carbon Footprintประเมินปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร (CFO) และผลิตภัณฑ์ (CFP) เพื่อให้ทราบสถานะปัจจุบัน
2. Reduction Planวางแผนลดการปล่อย เช่น เปลี่ยนหลอดไฟ LED ติดตั้ง Solar Roof เปลี่ยนรถผู้บริหารเป็น EV
3. Offsetหากลดสุดความสามารถแล้วยังเหลือ ให้ซื้อ Carbon Credit คุณภาพสูงมาชดเชย
4. Disclosureเปิดเผยข้อมูลในรายงานความยั่งยืน (Sustainability Report) อย่างโปร่งใสตามมาตรฐานสากล

6. ภาคเกษตรและพื้นที่สีเขียว ทางรอดของไทย

ไทยมีจุดแข็งคือภาคเกษตรกรรม แต่ก็เป็นแหล่งปล่อยก๊าซมีเทน (Methane) มหาศาลจากการทำนา ในปี 2025 โครงการ “ข้าวรักษ์โลก” หรือการทำนาเปียกสลับแห้ง (Wet and Dry Rice Farming) ได้รับการขยายผลไปทั่วประเทศ เทคนิคนี้ช่วยลดการปล่อยก๊าซมีเทนได้กว่า 70% และชาวนายังสามารถขายคาร์บอนเครดิตจากส่วนที่ลดได้ เป็นรายได้เสริมอีกทางหนึ่ง

นอกจากนี้ นโยบายการเพิ่มพื้นที่สีเขียวเพื่อเป็นแหล่งดูดซับคาร์บอน (Carbon Sink) ยังคงดำเนินการอย่างเข้มข้น โดยเน้นการปลูกป่าเศรษฐกิจที่ตัดขายไม้ได้แต่ต้องมีการปลูกทดแทน เพื่อสร้างวงจรการดูดซับที่ยั่งยืน

7. ความท้าทายที่ต้องก้าวข้าม

แม้ปี 2025 จะมีการประกาศเป้าหมายที่ดูสวยหรู แต่ในทางปฏิบัติ ไทยยังเผชิญความท้าทายใหญ่หลวง

  1. เสถียรภาพทางการเมือง นโยบาย Net Zero ต้องการความต่อเนื่องยาวนาน 20-30 ปี การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลบ่อยครั้งอาจทำให้นโยบายสะดุด
  2. ต้นทุนการเงิน (Green Finance) การเปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยีสะอาดต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล ดอกเบี้ยสำหรับ Green Loan จำเป็นต้องถูกกว่าปกติเพื่อจูงใจ SMEs
  3. การฟอกเขียว (Greenwashing) เมื่อกระแสแรง ธุรกิจบางรายอาจเคลมเกินจริง โดยไม่ได้ลดการปล่อยก๊าซจริง ภาครัฐและผู้บริโภคต้องช่วยกันตรวจสอบ

บทสรุป อนาคตเริ่มที่วันนี้

Thailand Net Zero 2025 ไม่ใช่แค่ชื่อแคมเปญสวยหรู แต่คือ “สัญญาณเตือนภัย” และ “โอกาสครั้งสุดท้าย” ที่ประเทศไทยจะปรับตัวเข้าสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ ปี 2025 คือปีแห่งการเริ่มต้นบังคับใช้กฎหมายจริง เก็บภาษีจริง และเปลี่ยนเป้าหมายให้ท้าทายขึ้นเป็น Net Zero 2050

สำหรับผู้อ่านทุกท่าน ไม่ว่าจะเป็นภาคธุรกิจหรือประชาชนทั่วไป การเริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในวันนี้ เช่น การเลือกใช้สินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การลดขยะ หรือการหันมาใช้พลังงานสะอาด ไม่ได้ทำเพื่อช่วยโลกเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการช่วย “กระเป๋าสตางค์” และ “สุขภาพ” ของตัวท่านเองให้อยู่รอดได้ในโลกยุคใหม่ที่กติกากำลังเปลี่ยนไป

อนาคตไม่ได้วัดกันที่ใครหาเงินได้มากที่สุด แต่วัดกันที่ใครทิ้งภาระไว้ให้โลกน้อยที่สุด

COP30 คือชื่อที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางเมื่อเรากล่าวถึงการต่อสู้กับวิกฤตสภาพภูมิอากาศโลก แต่แท้จริงแล้วคำนี้หมายถึงอะไร มีความสำคัญต่อชีวิตของเราอย่างไร และทำไมการประชุมที่กำลังจะเกิดขึ้นท่ามกลาง “ป่าอเมซอน” จึงเป็นวาระที่สำคัญที่สุดแห่งทศวรรษ บทความนี้จะอธิบายทุกอย่างเกี่ยวกับ COP30 ในภาษาที่เข้าใจง่าย เพื่อให้คุณไม่พลาดทุกการเปลี่ยนแปลงระดับโลก

COP30 คืออะไร

คำว่า COP30 เป็นชื่อย่อที่ทุกคนต้องรู้จัก โดยย่อมาจาก “Conference of the Parties 30การประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 30

กล่าวอย่างง่ายคือ เป็น การประชุมประจำปีครั้งที่ 30 ของประเทศสมาชิกที่เข้าร่วมใน กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) ซึ่งเป็นองค์กรหลักที่ทำหน้าที่ดูแลและกำหนดทิศทางการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศโลก

  • COP เป็นเวทีอะไร COP คือเวทีสูงสุดในการตัดสินใจด้านสภาพภูมิอากาศโลก เป็นที่ที่ผู้นำจากเกือบ 200 ประเทศ (เรียกว่า ‘ภาคี’ หรือ ‘Parties’) มารวมตัวกันเพื่อ เจรจา ทบทวน และ กำหนดกลไก เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก
  • ความสำคัญของเลข 30 ตัวเลข 30 หมายถึงเป็นการประชุมครั้งที่ 30 นับตั้งแต่มีการลงนามในกรอบอนุสัญญา UNFCCC เมื่อปี 1992

ทำไมต้องมีการประชุม COP

จุดประสงค์หลักของการประชุม COP ทุกครั้งคือการทำให้มั่นใจว่าประเทศต่างๆ ทั่วโลกจะร่วมกันปฏิบัติตามเป้าหมายที่ตกลงกันไว้ใน ความตกลงปารีส (Paris Agreement) ซึ่งเป็นข้อตกลงสำคัญทางกฎหมายระหว่างประเทศที่กำหนดไว้ในปี 2015

เป้าหมายหลักที่ COP ต้องผลักดัน

  • จำกัดอุณหภูมิโลก รักษาอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 2.0 C เหนือระดับยุคก่อนอุตสาหกรรม และพยายามอย่างยิ่งที่จะจำกัดการเพิ่มขึ้นไว้ที่ 1.5 C เท่านั้น ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ถือว่าเป็น “เส้นตาย” ที่จะช่วยหลีกเลี่ยงผลกระทบร้ายแรงที่สุดได้
  • เสริมสร้างการปรับตัว เสริมสร้างความสามารถของประเทศที่เปราะบางในการ ปรับตัว (Adaptation) ต่อผลกระทบที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เช่น ภัยแล้ง น้ำท่วม หรือระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น
  • สนับสนุนเงินทุน ทำให้เกิดการไหลเวียนของเงินทุน (Climate Finance) ไปสู่การลดก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนา

ทำไม COP30 ต้องจัดขึ้นที่ “ป่าที่สำคัญที่สุดในโลก”

การประชุม COP30 มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 10 ถึง 21 พฤศจิกายน 2025 ณ เมืองเบเลง (Belém) ประเทศบราซิล ซึ่งตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำอเมซอน

การเลือกสถานที่นี้มีความหมายเชิงสัญลักษณ์และเป็นยุทธศาสตร์อย่างยิ่ง

ความหมายคำอธิบายความสำคัญ
ปอดของโลกป่าอเมซอนเป็น ป่าฝนที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นแหล่งดูดซับคาร์บอนที่สำคัญที่สุดของโลก หากป่าถูกทำลายต่อไป โลกจะสูญเสียกลไกธรรมชาติในการดูดซับก๊าซเรือนกระจก
วาระแห่งป่าไม้บราซิลต้องการใช้โอกาสนี้ในการนำประเด็น การปกป้องป่าเขตร้อน และ ความหลากหลายทางชีวภาพ มาเป็นวาระหลักของการแก้ไขวิกฤตสภาพภูมิอากาศ แทนที่จะเน้นแต่เรื่องเชื้อเพลิงฟอสซิล
ความเร่งด่วนเป็นการนำผู้นำโลกมาสู่จุดศูนย์กลางของวิกฤต เพื่อให้เห็นสภาพความเป็นจริงของพื้นที่ที่กำลังได้รับผลกระทบจาก การทำลายป่า และ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยตรง
สิทธิของชนพื้นเมืองการประชุมที่นี่เป็นการยกระดับเสียงของ ชนพื้นเมือง ซึ่งเป็นผู้พิทักษ์ป่าตัวจริง ให้เข้ามามีบทบาทในการเจรจาระดับโลก

วาระสำคัญและเดิมพันที่โลกต้องจับตาใน COP30

COP30 ถูกขนานนามว่าเป็น “โอกาสสุดท้าย” ที่จะทำให้โลกกลับเข้าสู่เส้นทางของการจำกัดอุณหภูมิโลกไว้ที่ 1.5 C โดยมีสามประเด็นหลักที่มีเดิมพันสูงมาก

1. การเงินภูมิอากาศใหม่ (NCQG) ทุนก้อนโตเพื่อโลกสีเขียว

นี่คือวาระที่ร้อนแรงที่สุดใน COP30 เนื่องจากจะต้องมีการสรุป “เป้าหมายทางการเงินร่วมกันที่กำหนดปริมาณใหม่” หรือ NCQG (New Collective Quantified Goal) ซึ่งเป็นเงินทุนที่ประเทศพัฒนาแล้วต้องให้การสนับสนุนแก่ประเทศกำลังพัฒนา เพื่อใช้ในการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศและการเปลี่ยนผ่านพลังงานหลังปี 2025

  • มูลค่าที่คาดการณ์ เป้าหมายใหม่นี้คาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง $1.3$ ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายเดิม ($100$ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) หลายเท่าตัว
  • เดิมพัน หากไม่มีข้อตกลงที่ชัดเจนและมีมูลค่าเพียงพอ ประเทศกำลังพัฒนาจะไม่สามารถดำเนินงานตามแผนลดก๊าซเรือนกระจก (NDC) ได้อย่างเต็มที่ ทำให้เป้าหมาย 1.5 C ล้มเหลว

2. กองทุนป่าไม้และความหลากหลายทางชีวภาพ

บราซิลจะผลักดันให้มีการยอมรับและสนับสนุนกลไกทางการเงินใหม่เพื่อปกป้องป่าเขตร้อนโดยเฉพาะ

  • Tropical Forest Forever Facility (TFFF) คาดว่าจะมีการเปิดตัวและระดมทุนสำหรับ “กองทุนเพื่อป่าเขตร้อนตลอดไป” (TFFF) อย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นรูปแบบการลงทุนระยะยาวเพื่อตอบแทนประเทศที่สามารถอนุรักษ์ป่าไว้ได้อย่างยั่งยืน
  • ความสำคัญ กองทุนนี้จะช่วยให้ประเทศกำลังพัฒนามีทางเลือกในการ “รักษ์ป่า” แทนที่จะ “ตัดป่า” เพื่อเศรษฐกิจ

3. The Reality Test ของ NDC และแผนลดก๊าซ

ประเทศสมาชิกต้องนำเสนอแผนลดก๊าซเรือนกระจกฉบับใหม่ที่เรียกว่า NDC 3.0 (Nationally Determined Contribution) ซึ่งเป็นแผนที่ต้องมีความทะเยอทะยานและสอดคล้องกับความต้องการของเป้าหมาย 1.5 C

การประเมิน COP30 จะประเมินว่าแผน NDC ที่ยื่นมานั้น “เพียงพอ” หรือไม่ หากยังไม่เพียงพอ โลกจะถูกกดดันให้ต้องเพิ่มความเข้มข้นของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเร่งด่วน

ประเทศไทยกับการก้าวเข้าสู่ COP30 กับความมุ่งมั่นผ่าน NDC 3.0

ประเทศไทยในฐานะภาคีของ UNFCCC กำลังเตรียมพร้อมสำหรับการเข้าร่วม COP30 โดยมีแผนงานสำคัญที่ต้องนำไปสู่การเจรจาต่อรองและนำเสนอต่อประชาคมโลก ซึ่งคือ การปรับปรุงและยกระดับแผนลดก๊าซเรือนกระจก (NDC) เป็นฉบับที่ 3 หรือ NDC 3.0

NDC 3.0 คืออะไร

NDC (Nationally Determined Contribution) คือ พันธกรณีของแต่ละประเทศ ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อบรรลุเป้าหมายของความตกลงปารีส โดยประเทศไทยได้กำหนดเป้าหมายใน NDC 3.0 ที่มีความท้าทายมากขึ้น ดังนี้

เป้าหมายสำคัญใน NDC 3.0 (ร่าง)คำอธิบาย
เป้าหมายการลดก๊าซประเทศไทยตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิรวม ไม่ต่ำกว่า 40% ภายในปี 2030 (เทียบกับกรณีปกติ)
เป้าหมายระยะยาวยืนยันการบรรลุ ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 และ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065
การดำเนินการแบบมีเงื่อนไขแผนงานจะแบ่งเป็น การดำเนินการโดยไม่มีเงื่อนไข (Unconditional) ที่ทำได้ด้วยทรัพยากรภายในประเทศ และ การดำเนินการแบบมีเงื่อนไข (Conditional) ที่ขึ้นอยู่กับการสนับสนุนจากต่างประเทศในด้านเงินทุน เทคโนโลยี และการเสริมสร้างขีดความสามารถ
ภาคส่วนสำคัญเน้นการลดก๊าซในภาคส่วนหลัก ได้แก่ พลังงาน (การใช้พลังงานหมุนเวียนและประสิทธิภาพพลังงาน) ขนส่ง (ยานยนต์ไฟฟ้า) และ อุตสาหกรรม รวมถึงการเพิ่มพื้นที่ป่าเพื่อ การดูดซับคาร์บอน

การนำเสนอ NDC 3.0 ในเวที COP30 เป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นของไทยต่อประชาคมโลก และเป็นโอกาสสำคัญในการเรียกร้อง การสนับสนุนจากต่างประเทศ ทั้งในด้านเทคโนโลยีและเงินทุน เพื่อให้สามารถดำเนินการตามเป้าหมายแบบมีเงื่อนไขได้อย่างเต็มศักยภาพ ซึ่งจะช่วยให้ไทยสามารถเร่งการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำได้อย่างรวดเร็ว

บทสรุป

COP30 ที่บราซิล จึงเป็นมากกว่าการประชุม แต่เป็น วาระแห่งการลงมือปฏิบัติ ที่ต้องเปลี่ยนคำมั่นสัญญาให้เป็นความจริง ที่สุดแล้ว อนาคตของโลกจะขึ้นอยู่กับว่า ผู้นำระดับโลกจะสามารถหลอมรวมความแตกต่างและใช้โอกาสสุดท้ายนี้ในการสร้างความก้าวหน้าที่เป็นรูปธรรมในเรื่อง การเงินภูมิอากาศ และ การปกป้องป่าไม้ อันเป็นหัวใจสำคัญของการรักษาโลกที่สามารถอยู่อาศัยได้สำหรับคนรุ่นต่อไป รวมถึงการแสดงความมุ่งมั่นผ่านแผน NDC 3.0 ของแต่ละประเทศ

ในปัจจุบัน ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ ภาวะโลกร้อน ได้ทวีความรุนแรงจนกลายเป็นวิกฤตที่ส่งผลกระทบต่อทุกชีวิตบนโลก ไม่ว่าจะเป็นภัยแล้งรุนแรง น้ำท่วมฉับพลัน พายุที่รุนแรงขึ้น หรือคลื่นความร้อนที่คร่าชีวิตผู้คนจำนวนมาก การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกเกิดจากการสะสมของ ก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas หรือ GHG) ที่ถูกปล่อยออกมาจากกิจกรรมของมนุษย์ โดยเฉพาะการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล

ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ระบุชัดเจนว่า หากเราต้องการจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส ตามข้อตกลงปารีส โลกจะต้องบรรลุเป้าหมาย Net Zero Emissions หรือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ให้ได้ภายในปี ค.ศ. 2050 นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทุกภาคส่วนทั่วโลกต้องร่วมมือกัน

Net Zero 2050 คืออะไร สำคัญอย่างไรต่อโลกใบนี้

Net Zero 2050 ไม่ได้หมายถึงการหยุดปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด แต่หมายถึงการสร้าง สมดุลสุทธิเป็นศูนย์ ระหว่างปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศ กับปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ถูกดูดซับหรือกำจัดออกจากชั้นบรรยากาศ

ความแตกต่างระหว่าง Carbon Neutrality และ Net Zero

แม้จะมีความหมายใกล้เคียงกัน แต่ก็มีความแตกต่างที่สำคัญในเชิงปฏิบัติ

แนวคิดเป้าหมายหลักขอบเขตการปล่อยก๊าซเรือนกระจกวิธีการบรรลุเป้าหมาย
ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality)ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์เน้นเฉพาะ คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2)เน้นการชดเชย (Offsetting) ส่วนใหญ่ด้วยการซื้อ คาร์บอนเครดิต โดยไม่จำเป็นต้องลดการปล่อยในสัดส่วนที่มาก
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero)ปล่อย ก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด (GHG ทั้ง 7 ชนิด) สุทธิเป็นศูนย์ครอบคลุม GHG ทุกชนิด และ ทุกขอบเขต (Scope 1, 2, และ 3)ต้องลดการปล่อยให้ได้มากที่สุด (อย่างน้อย 90%) ก่อน จากนั้นจึงชดเชยส่วนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วยมาตรการกำจัดคาร์บอน

Net Zero จึงเป็นเป้าหมายที่ครอบคลุมและท้าทายกว่า โดยมีจุดเน้นสำคัญคือ การลดการปล่อย ก๊าซเรือนกระจกให้ถึงขีดสุดก่อนการชดเชย

แผนที่นำทางประเทศไทยสู่ Net Zero 2050

เดิมประเทศไทยตั้งเป้าหมายบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี ค.ศ. 2050 และบรรลุ Net Zero ในปี ค.ศ. 2065 แต่เพื่อตอบสนองต่อวิกฤตโลกที่รุนแรงขึ้น รัฐบาลได้ประกาศ เร่งเป้าหมาย ให้เร็วขึ้น โดยมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี ค.ศ. 2050 และ Net Zero ภายในปี ค.ศ. 2065 การปรับตัวนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสามารถในการแข่งขันทางการค้าของประเทศ โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญกับมาตรการทางการค้าที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยคาร์บอน เช่น ภาษีคาร์บอนข้ามพรมแดน (CBAM) ของสหภาพยุโรป

กลยุทธ์สำคัญเพื่อขับเคลื่อน Net Zero

การบรรลุเป้าหมาย Net Zero ต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในหลายภาคส่วน โดยมีกลยุทธ์หลักดังนี้

ภาคส่วนมาตรการและกลยุทธ์ตัวอย่างการดำเนินการ
พลังงานDecarbonization การลดคาร์บอนในภาคพลังงาน* เพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจาก พลังงานหมุนเวียน * หยุดใช้ถ่านหิน และลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลตามแผน * ส่งเสริมการใช้ ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และรถไฮบริด
อุตสาหกรรมการปรับปรุงประสิทธิภาพและเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยี* ส่งเสริมการลงทุนใน อุตสาหกรรมสีเขียว * สนับสนุนการใช้เทคโนโลยี การดักจับ กักเก็บ และใช้ประโยชน์คาร์บอน (CCUS) * ใช้ระบบบริหารจัดการพลังงานอัตโนมัติ (BAS) ในโรงงาน
การใช้ที่ดินและป่าไม้การเพิ่มการดูดซับคาร์บอนตามธรรมชาติ* ฟื้นฟูและปลูกป่า เพิ่มขึ้นเพื่อเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอน * ส่งเสริมการเกษตรที่ยั่งยืนและลดการปล่อย ก๊าซมีเทน
การเงินและกฎหมายการสร้างแรงจูงใจและกลไกสนับสนุน* ผลักดัน ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ * ส่งเสริมการเข้าถึง สินเชื่อสีเขียว และ พันธบัตรสีเขียว

Quick Big Win ของกระทรวงพลังงาน จิ๊กซอว์สำคัญสู่สังคมคาร์บอนต่ำ

เพื่อตอบสนองต่อเป้าหมาย Net Zero และบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชน กระทรวงพลังงาน ได้เร่งผลักดันนโยบาย Quick Big Win ซึ่งเป็นมาตรการเร่งด่วนที่มุ่งเน้นการ ลดค่าใช้จ่าย ด้านพลังงานให้กับประชาชนไปพร้อมกับการ เพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาด อย่างรวดเร็ว

นโยบายนี้ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างผลกระทบที่รวดเร็ว (Quick) และมีขนาดใหญ่ (Big Win) โดยมีองค์ประกอบสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ดังตารางสรุปโครงการหลัก

โครงการหลักเป้าหมายด้านประชาชนและเศรษฐกิจเป้าหมายด้าน Net Zero และพลังงานสะอาด
โซลาร์เซลล์สูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ลดต้นทุนค่าสูบน้ำให้เกษตรกร (ลดค่าไฟ/ค่าน้ำมันดีเซล) สร้างรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระดับชุมชนส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดในภาคเกษตรกรรม ลดการพึ่งพาน้ำมันเชื้อเพลิง
โซลาร์ลอยน้ำ (Floating Solar) ในเขื่อน กฟผ.ลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าในภาพรวม ทำให้ค่าไฟฟ้าของประเทศถูกลงและมีเสถียรภาพเป็นการผลิตไฟฟ้าสะอาดที่ไม่ปล่อยคาร์บอน มีกำลังการผลิตขนาดใหญ่ถึง 1,638 เมกะวัตต์
มาตรการลดหย่อนภาษีโซลาร์ในครัวเรือนลดภาระค่าไฟฟ้าในครัวเรือนลงได้ประมาณ 50% พร้อมสิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษีกระตุ้นให้ครัวเรือนหันมาผลิตและใช้พลังงานสะอาดเอง ลดความต้องการไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิล
สัญญาซื้อขายไฟฟ้าโดยตรง (Direct PPA)เพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้ผู้ประกอบการ สามารถเข้าถึงไฟฟ้าสะอาดได้โดยตรง ในราคาที่แข่งขันได้ส่งเสริมการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนในภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่ม ศูนย์ข้อมูล (Data Center)

ผลจากการขับเคลื่อน Quick Big Win นี้ คาดว่าจะช่วยกระตุ้นการลงทุนในระบบเศรษฐกิจกว่า 700,000 ล้านบาท และที่สำคัญคือช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 10 ล้านตันต่อปี ซึ่งเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ช่วยให้ประเทศไทยก้าวสู่เป้าหมาย Net Zero ได้เร็วยิ่งขึ้น

นวัตกรรมและเทคโนโลยี ตัวเร่งสู่ Net Zero

ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและนวัตกรรม หรือที่เรียกว่า Climate Tech มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยให้บรรลุเป้าหมาย Net Zero ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

เทรนด์เทคโนโลยีสำคัญเพื่ออนาคตคาร์บอนต่ำ

  • พลังงานหมุนเวียนและโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) การพัฒนาแผงโซลาร์เซลล์และกังหันลมที่มีประสิทธิภาพสูง รวมถึงการสร้างโครงข่ายไฟฟ้าที่สามารถบริหารจัดการพลังงานสะอาดที่มีความผันผวนได้อย่างมีเสถียรภาพ
  • ไฮโดรเจนสีเขียว (Green Hydrogen) การผลิตไฮโดรเจนโดยใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงสะอาดและสามารถใช้ทดแทนเชื้อเพลิงฟอสซิลในภาคอุตสาหกรรมและการขนส่งขนาดใหญ่ได้
  • เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage หรือ CCS) เป็นกระบวนการดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากแหล่งกำเนิด เช่น ปล่องควันโรงงาน แล้วนำไปกักเก็บไว้ใต้ดินอย่างถาวร หรือนำไปใช้ประโยชน์ต่อ (CCU)
  • การแปลงเป็นระบบไฟฟ้า (Electrification) การเปลี่ยนไปใช้ไฟฟ้าแทนเชื้อเพลิงฟอสซิลในภาคส่วนต่างๆ เช่น การใช้ปั๊มความร้อน (Heat Pump) แทนหม้อไอน้ำที่ใช้ก๊าซ และการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า

โอกาสทางธุรกิจและความยั่งยืน

การเปลี่ยนผ่านสู่ Net Zero ไม่ใช่แค่ภาระหน้าที่ แต่คือ โอกาสทางธุรกิจ ครั้งใหญ่ นักลงทุนและผู้บริโภคทั่วโลกให้ความสำคัญกับ ESG (Environment, Social, and Governance) มากขึ้น องค์กรที่ปรับตัวสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำจะได้รับความเชื่อมั่น ลดต้นทุนพลังงานในระยะยาว และสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ องค์กรเหล่านี้จะได้เปรียบทางการค้าในอนาคต เมื่อมาตรการการเก็บภาษีคาร์บอนถูกบังคับใช้จริงจังในหลายประเทศ

การมีส่วนร่วมของทุกคน คือหัวใจสำคัญ

การบรรลุเป้าหมาย Net Zero 2050 เป็นภารกิจระดับโลกที่ต้องอาศัยการร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ใช่เพียงแค่รัฐบาลและองค์กรขนาดใหญ่เท่านั้น แต่รวมถึง ประชาชนทุกคน ด้วย เราสามารถเริ่มต้นได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคและการใช้ชีวิตประจำวัน

  • ลดการใช้พลังงานไฟฟ้า หันมาใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง
  • ส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด เช่น การติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้าน
  • ลดการสร้างขยะ และเลือกใช้สินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
  • เลือกการเดินทาง ที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ เช่น รถสาธารณะ รถไฟฟ้า หรือจักรยาน

ทิศทางแห่งอนาคตที่ยั่งยืน

ภารกิจ Net Zero 2050 คือการเดินทางครั้งสำคัญของมนุษยชาติ ที่ต้องการการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ พลังงาน และวิถีชีวิตครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ มันคือเป้าหมายที่เกิดจากความจำเป็นทางวิทยาศาสตร์ในการจำกัดวิกฤตสภาพภูมิอากาศ และเป็น โอกาสทางยุทธศาสตร์ ที่จะเปลี่ยนประเทศไทยให้เป็น ผู้นำด้านเศรษฐกิจสีเขียว

การขับเคลื่อนที่เข้มข้นของภาครัฐ โดยเฉพาะนโยบาย Quick Big Win ของกระทรวงพลังงาน ได้แสดงให้เห็นถึงความจริงจังในการสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรมและรวดเร็ว

ความสำเร็จของ Net Zero จะไม่เกิดขึ้นได้ด้วยมาตรการจากรัฐบาลเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัย พลังร่วม ของทุกภาคส่วน ทั้งภาคธุรกิจที่สร้างนวัตกรรม ภาคนโยบายที่สร้างแรงจูงใจ และ ภาคประชาชน ที่ลงมือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน

Net Zero 2050 จึงไม่ใช่แค่ตัวเลขในแผนงาน แต่คือ อนาคตของคนรุ่นถัดไป การตัดสินใจและลงมือทำในวันนี้ จะเป็นมรดกที่กำหนดความอยู่รอดและความมั่งคั่งของประเทศไทยในเวทีโลก ภารกิจนี้เรียกร้องให้เราทุกคนก้าวข้ามความท้าทาย และร่วมกันสร้างโลกที่สมดุลและยั่งยืนอย่างแท้จริง

Photo : Freepik