โลกของเรากำลังเดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญทางประวัติศาสตร์ เมื่อคำว่า “ภาวะโลกร้อน” (Global Warming) ดูจะเบาบางเกินไปที่จะอธิบายปรากฏการณ์สุดขั้วที่เราเผชิญอยู่ จนสหประชาชาติต้องนิยามใหม่ว่าเป็นยุค “โลกเดือด” (Global Boiling) แม้ทั่วโลกจะตื่นตัวกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกผ่านการใช้รถยนต์ไฟฟ้าหรือพลังงานแสงอาทิตย์ แต่ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ล่าสุดชี้ชัดว่า “แค่ลดการปล่อยใหม่นั้นยังไม่พอ”
ทำไมถึงไม่พอ คำตอบอยู่ที่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ปริมาณมหาศาลที่มนุษย์ปล่อยสะสมไว้ในชั้นบรรยากาศตลอด 200 ปีที่ผ่านมา ก๊าซเหล่านี้ยังคงวนเวียนและทำหน้าที่กักเก็บความร้อนต่อไป แม้ว่าวันนี้เราจะหยุดโรงงานทุกแห่งและหยุดรถทุกคันในโลกทันที อุณหภูมิโลกก็จะยังคงสูงขึ้นต่อไปอีกนาน ดังนั้นโจทย์ใหญ่ของมนุษยชาติจึงเปลี่ยนไป ไม่ใช่แค่การหยุดปล่อย (Zero Emissions) แต่ต้องเป็นการ “ลบ” ของเก่าออกไปด้วย หรือที่เรียกว่า “การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นลบ” (Negative Emissions)
นี่คือที่มาของเทคโนโลยีที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น “เครื่องฟอกอากาศของโลก” อย่าง Direct Air Capture (DAC) หรือการดักจับคาร์บอนจากอากาศโดยตรง นวัตกรรมที่เปลี่ยนจากรับบทตั้งรับมาเป็นฝ่ายรุกในการดูดซับมลพิษออกจากท้องฟ้า บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกทุกมิติของ DAC ตั้งแต่กลไกทางเคมีที่ซับซ้อนไปจนถึงอภิมหาโปรเจกต์ระดับโลกที่กำลังเกิดขึ้นจริงในปี 2025
Direct Air Capture (DAC) คืออะไรและทำงานอย่างไร
Direct Air Capture (DAC) คือเทคโนโลยีวิศวกรรมขั้นสูงที่ออกแบบมาเพื่อดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) โดยตรงจากบรรยากาศ ไม่ใช่แค่จากปล่องควันโรงงาน หากเปรียบเทียบให้เห็นภาพ โรงงานดักจับคาร์บอนทั่วไป (CCS) เปรียบเสมือนการเอาถุงไปครอบท่อไอเสียรถยนต์ แต่ DAC คือเครื่องฟอกอากาศขนาดยักษ์ที่ตั้งอยู่ที่ไหนก็ได้บนโลกเพื่อดูดซับ CO2 ที่กระจายตัวเจือจางอยู่ในอากาศ

ความท้าทายทางวิศวกรรมของ DAC คือความเข้มข้นของ CO2 ในอากาศทั่วไปนั้นมีเพียงประมาณ 0.04% เท่านั้น ซึ่งเบาบางกว่าในควันจากโรงงานถึง 300 เท่า การจะดักจับสิ่งที่มีอยู่น้อยนิดให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงต้องอาศัยกระบวนการทางเคมีที่แม่นยำและทรงพลัง ปัจจุบันเทคโนโลยี DAC แบ่งออกเป็น 2 ระบบหลักที่ขับเคี่ยวกันในตลาดโลก
1 ระบบตัวทำละลายของเหลว (Liquid Solvent DAC)
ระบบนี้เป็นเทคโนโลยีรุ่นบุกเบิกและใช้ในโรงงานขนาดใหญ่ หลักการทำงานคล้ายกับการฟอกอากาศในระดับอุตสาหกรรม
- การดักจับ พัดลมขนาดยักษ์จะดูดอากาศผ่านหอคอยที่มีสารละลายสารเคมี (เช่น โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์) ไหลผ่าน สารละลายนี้จะทำปฏิกิริยาเคมีผูกติดกับ CO2 กลายเป็นเกลือคาร์บอเนตเหลว และปล่อยอากาศบริสุทธิ์กลับคืนสู่ธรรมชาติ
- การแยก ของเหลวที่จับ CO2 ไว้แล้วจะถูกส่งเข้าสู่กระบวนการที่สอง โดยทำปฏิกิริยากับแคลเซียมไฮดรอกไซด์ จนเกิดเป็นเม็ดของแข็งแคลเซียมคาร์บอเนต
- การเผา เม็ดของแข็งจะถูกนำไปเผาด้วยความร้อนสูงถึง 900 องศาเซลเซียส เพื่อปลดปล่อย CO2 บริสุทธิ์ออกมาสำหรับนำไปเก็บหรือใช้งาน ส่วนสารเคมีที่เหลือจะถูกนำกลับไปหมุนเวียนใช้ใหม่
- จุดเด่น เหมาะสำหรับการดักจับในปริมาณมหาศาลระดับล้านตัน (Megaton scale)
- ข้อสังเกต ใช้น้ำเปลืองมากเนื่องจากการระเหย และต้องการพลังงานความร้อนสูง
2 ระบบตัวดูดซับของแข็ง (Solid Sorbent DAC)
เทคโนโลยีนี้กำลังมาแรงและเป็นที่นิยมในหมู่สตาร์ทอัพรุ่นใหม่ เพราะมีความยืดหยุ่นสูงกว่า
- การดักจับ อากาศจะถูกดูดผ่านแผ่นกรองที่มีลักษณะคล้ายรังผึ้ง ซึ่งเคลือบด้วยสารเคมีพิเศษที่มีคุณสมบัติ “เหนียว” ต่อ CO2 โดยเฉพาะ เมื่อลมพัดผ่าน CO2 จะติดอยู่บนผิววัสดุเหมือนแมลงติดใยแมงมุม
- การแยก เมื่อแผ่นกรองอิ่มตัว ระบบจะปิดผนึกเป็นห้องสุญญากาศและใช้ความร้อนระดับปานกลาง (ประมาณ 80 ถึง 120 องศาเซลเซียส) เพื่อทำให้ CO2 หลุดออกมา
- จุดเด่น ใช้พลังงานต่ำกว่า สามารถใช้ความร้อนทิ้งจากโรงงานหรือพลังงานความร้อนใต้พิภพได้ และที่สำคัญคือ “แทบไม่ใช้น้ำ” หรือในบางกรณีสามารถผลิตน้ำออกมาเป็นผลพลอยได้ด้วย
- ข้อสังเกต ความทนทานของวัสดุกรองอาจมีอายุการใช้งานจำกัด และต้องเปลี่ยนบ่อยกว่าระบบของเหลว
ทำไมโลกต้องพึ่งพา Negative Emissions
หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมเราไม่มุ่งเน้นแค่การปลูกป่า คำตอบคือ “คณิตศาสตร์ของสภาพภูมิอากาศ” ไม่เข้าข้างเราอีกต่อไป การจะบรรลุเป้าหมาย Net Zero หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 นั้น เราจำเป็นต้องกำจัดคาร์บอนออกจากอากาศให้ได้ปีละ 10,000 ล้านตัน (10 Gigatons)
ภาคอุตสาหกรรมบางประเภทเรียกว่า “Hard-to-abate sectors” หรือกลุ่มที่ลดการปล่อยได้ยากมาก เช่น อุตสาหกรรมการบิน การเดินเรือขนส่งสินค้า และการผลิตเหล็กหรือปูนซีเมนต์ เทคโนโลยีปัจจุบันยังไม่สามารถทำให้เครื่องบินข้ามทวีปใช้แบตเตอรี่ไฟฟ้าได้ ดังนั้น Negative Emissions จึงเข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญในการ “หักลบ” มลพิษที่ภาคส่วนเหล่านี้ยังคงปล่อยออกมา เพื่อให้สมการสุทธิกลายเป็นศูนย์

นอกจากนี้ DAC ยังมีข้อได้เปรียบที่เหนือกว่าวิธีธรรมชาติในแง่ของ “ความถาวร” (Permanence) ต้นไม้อาจถูกไฟไหม้หรือตาย ซึ่งจะปล่อยคาร์บอนกลับคืนสู่บรรยากาศ แต่ CO2 ที่ดักจับด้วย DAC และนำไปอัดลงในชั้นหินลึกใต้ดิน (Geological Storage) จะกลายเป็นหินและถูกกักเก็บไว้ได้นานนับพันหรือล้านปี
ตารางเปรียบเทียบ DAC vs ป่าไม้ vs เทคโนโลยีอื่น
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนว่าทำไมเราถึงต้องลงทุนในเทคโนโลยีราคาแพงอย่าง DAC แทนที่จะปลูกต้นไม้เพียงอย่างเดียว ตารางด้านล่างนี้ได้รวบรวมข้อมูลเปรียบเทียบประสิทธิภาพของแต่ละวิธี
| ปัจจัยเปรียบเทียบ | Direct Air Capture (DAC) | การปลูกป่า (Afforestation) | Bioenergy with CCS (BECCS) |
| พื้นที่ที่ใช้ (Land Use) | น้อยมาก (ประมาณ 0.012 ล้านเฮกตาร์ ต่อการดักจับ 1 พันล้านตัน) โรงงาน DAC กินพื้นที่น้อยแต่ประสิทธิภาพสูง | มหาศาล (ต้องใช้พื้นที่เทียบเท่าประเทศขนาดใหญ่ เช่น เม็กซิโก เพื่อดักจับปริมาณเท่ากัน) อาจกระทบพื้นที่เกษตรกรรม | ปานกลางถึงมาก ต้องใช้พื้นที่ปลูกพืชพลังงานจำนวนมาก |
| การใช้น้ำ (Water Usage) | ระบบของแข็ง (Solid) ใช้น้อยมาก หรือผลิตน้ำได้ ระบบของเหลว (Liquid) ใช้มาก (5-6 ตันน้ำ ต่อ 1 ตันคาร์บอน) | มาก ขึ้นอยู่กับชนิดพันธุ์ไม้และสภาพอากาศ อาจแย่งน้ำจากชุมชน | มากที่สุด ต้องใช้น้ำในการปลูกพืชและการแปรรูป |
| ความถาวร (Permanence) | สูงมาก (1,000+ ปี) เมื่ออัดลงหินปูนหรือชั้นหินบะซอลต์จะกลายเป็นแร่ธาตุถาวร | ต่ำถึงปานกลาง (10-100 ปี) เสี่ยงต่อไฟป่า โรคระบาด และการตัดไม้ทำลายป่า | สูง หากมีการกักเก็บคาร์บอนใต้ดินอย่างถูกต้อง |
| ต้นทุนปัจจุบัน (ต่อตัน CO2) | สูง ($600 – $1,000) แต่มีแนวโน้มลดลงเหลือ $150 ในอนาคต | ต่ำ ($10 – $50) แต่ต้นทุนอาจสูงขึ้นเมื่อพื้นที่เริ่มขาดแคลน | **ปานกลาง ($100 – $200)** รายได้เสริมจากการขายไฟฟ้าช่วยลดต้นทุนสุทธิได้ |
| สถานที่ตั้ง (Location) | อิสระ ตั้งที่ไหนก็ได้ที่มีพลังงานสะอาดและแหล่งเก็บ ใกล้ทะเลทรายหรือพื้นที่รกร้าง | จำกัด ต้องมีดินและสภาพอากาศที่เหมาะสม | จำกัด ต้องอยู่ใกล้แหล่งปลูกพืชและโครงสร้างพื้นฐาน |
*ข้อมูลในตารางนี้แสดงให้เห็นว่า DAC ไม่ได้มาแทนที่การปลูกป่า แต่มาเพื่อปิดจุดอ่อนเรื่องพื้นที่และความถาวร ซึ่งเป็นข้อจำกัดหลักของวิธีธรรมชาติ
อัปเดตโครงการยักษ์ใหญ่และผู้นำตลาดโลก (2024-2025)
ปี 2025 ถือเป็นปีทองของการก้าวกระโดดจาก “โรงงานทดลอง” สู่ “อุตสาหกรรมเต็มรูปแบบ” มีโครงการที่น่าจับตามองดังนี้
1 Project Stratos (สหรัฐอเมริกา)
นี่คือโปรเจกต์เรือธงที่ทั่วโลกจับตามอง ดำเนินการโดยบริษัท Occidental Petroleum (1PointFive) ร่วมกับเทคโนโลยีจาก Carbon Engineering โรงงานนี้ตั้งอยู่ในรัฐเท็กซัส และมีกำหนดเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในช่วงกลางปี 2025
- ความพิเศษ Stratos จะเป็นโรงงาน DAC ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีกำลังการผลิตในการดักจับ CO2 สูงถึง 500,000 ตันต่อปี ซึ่งมากกว่าโรงงานที่ใหญ่ที่สุดก่อนหน้านี้ถึง 100 เท่า
- กลยุทธ์ ใช้ระบบ Liquid Solvent ที่ผ่านการพิสูจน์แล้ว และขาย “Carbon Removal Credit” ให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Amazon และ ANA All Nippon Airways

2 โรงงาน Mammoth (ไอซ์แลนด์)
บริหารงานโดย Climeworks บริษัทสัญชาติสวิสที่เป็นผู้บุกเบิกวงการ เริ่มเปิดดำเนินการเฟสแรกไปแล้วในปี 2024
- ความพิเศษ ใช้เทคโนโลยี Solid Sorbent ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และใช้พลังงานความร้อนใต้พิภพ (Geothermal) ของไอซ์แลนด์ในการเดินเครื่อง 100% ทำให้เป็นกระบวนการที่สะอาดหมดจด
- การเก็บ ก๊าซ CO2 ที่ดักจับได้จะถูกผสมกับน้ำและอัดลงไปในชั้นหินบะซอลต์ใต้ดินด้วยเทคโนโลยีของบริษัท Carbfix ซึ่งจะทำปฏิกิริยากลายเป็นหินภายในเวลาไม่ถึง 2 ปี
3 Project Cypress (รัฐหลุยเซียนา สหรัฐฯ)
เป็นโครงการที่ได้รับเงินทุนสนับสนุนมหาศาลจากกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ (DOE) ภายใต้งบประมาณ Infrastructure Law
- ความร่วมมือ เป็นการจับมือกันระหว่าง Climeworks (ระบบ Solid) และ Heirloom สตาร์ทอัพมาแรงที่ใช้เทคโนโลยี Carbon Mineralization หรือการใช้หินปูนมาเป็นตัวดูดซับคาร์บอน ซึ่งเป็นวิธีที่ต้นทุนต่ำและขยายขนาดได้ง่าย
- สถานะ อยู่ในช่วงเริ่มก่อสร้างและคาดว่าจะกลายเป็นศูนย์กลาง (Hub) ของการดักจับคาร์บอนแห่งใหม่ของโลก
เศรษฐศาสตร์และนโยบาย แรงขับเคลื่อนสำคัญ
เทคโนโลยีจะดีแค่ไหนก็ไปไม่รอดถ้าขาดแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ ในปี 2024-2025 เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของนโยบายรัฐบาลในหลายประเทศ
กฎหมาย Inflation Reduction Act (IRA) ของสหรัฐฯ
สหรัฐอเมริกาได้แก้เกมเรื่องต้นทุนที่สูงลิ่วของ DAC ด้วยการปรับปรุงมาตรา 45Q Tax Credit โดยในปี 2025 รัฐบาลสหรัฐฯ ยินดีจ่ายเครดิตภาษีให้สูงถึง $180 ต่อตัน สำหรับ CO2 ที่ดักจับจากอากาศและนำไปฝังกลบอย่างถาวร นโยบายนี้เปรียบเสมือนการเติมเชื้อเพลิงให้ไฟแห่งการลงทุนลุกโชน ทำให้ภาคเอกชนกล้าที่จะทุ่มเงินสร้างโรงงาน DAC เพราะเห็นจุดคุ้มทุนที่ชัดเจนขึ้น
ตลาดคาร์บอนเครดิตคุณภาพสูง (High-Quality Carbon Credits)
ตลาดคาร์บอนกำลังแบ่งเกรดชัดเจนขึ้น คาร์บอนเครดิตแบบเก่าที่เกิดจากการ “หลีกเลี่ยงการปล่อย” (Avoidance) เริ่มมีความน่าเชื่อถือน้อยลง ในขณะที่เครดิตจากการ “กำจัดคาร์บอน” (Removal) อย่าง DAC กำลังเป็นที่ต้องการของบริษัทระดับโลก เช่น Microsoft, Stripe และ Shopify ซึ่งยอมจ่ายในราคาสูงเพื่อแลกกับเครดิตที่ตรวจสอบได้จริงและถาวร
ความเคลื่อนไหวในเอเชีย
ญี่ปุ่นกำลังใช้เวที Expo 2025 Osaka เพื่อโชว์ศักยภาพเทคโนโลยี DAC โดยรัฐบาลญี่ปุ่นตั้งเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี Green Innovation และเริ่มมีการร่างนโยบายสนับสนุนคล้ายกับสหรัฐฯ เพื่อดึงดูดการลงทุนเข้าสู่ประเทศ

ความท้าทายที่ยังรอการแก้ไข
แม้ภาพฝันจะดูสวยงาม แต่ความจริงยังมีอุปสรรคก้อนโตขวางอยู่
- ความต้องการพลังงาน (Energy Intensity) DAC ต้องใช้พลังงานมหาศาล โดยเฉพาะพลังงานความร้อน หากโรงงาน DAC ต้องใช้ไฟฟ้าจากถ่านหินเพื่อมาดักจับคาร์บอน ก็เท่ากับเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ดังนั้น DAC จะสมเหตุสมผลก็ต่อเมื่อใช้พลังงานสะอาด (Renewable Energy) หรือพลังงานนิวเคลียร์เท่านั้น ซึ่งในหลายพื้นที่ พลังงานสะอาดยังมีจำกัดและต้องแย่งกันใช้กับภาคส่วนอื่น
- ต้นทุนที่ยังสูงเกินเอื้อม เป้าหมายของวงการคือการกดราคาให้ต่ำกว่า $100 ต่อตัน เพื่อให้แข่งขันได้ แต่ปัจจุบันยังอยู่ที่ระดับ $600+ ซึ่งต้องอาศัยการผลิตซ้ำๆ (Learning by doing) และการขยายขนาด (Economy of Scale) เพื่อลดต้นทุน เหมือนกับที่แผงโซลาร์เซลล์เคยทำได้สำเร็จในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา
- โครงสร้างพื้นฐาน การดักจับได้แล้วไม่ใช่จุดจบ เราต้องการท่อส่งก๊าซ (Pipeline) และแหล่งกักเก็บใต้ดินที่ปลอดภัย ซึ่งต้องอาศัยการสำรวจทางธรณีวิทยาและการยอมรับจากชุมชนในพื้นที่ ไม่เช่นนั้น CO2 ที่จับมาได้ก็ไม่มีที่ไป
บทสรุป
Direct Air Capture ไม่ใช่ยาวิเศษที่จะมาแทนที่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เรายังจำเป็นต้องเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า เลิกใช้ถ่านหิน และประหยัดพลังงานเป็นอันดับแรก แต่ DAC คือ “ประกันชีวิต” กรมธรรม์สำคัญที่โลกต้องทำไว้ เพื่อจัดการกับมลพิษที่เราปล่อยเกินมาและไม่สามารถลดได้ด้วยวิธีปกติ
ในปี 2025 เรากำลังยืนอยู่บนรอยต่อของยุคสมัยที่มนุษย์ไม่ได้แค่เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับธรรมชาติ แต่กำลังใช้สติปัญญาและเทคโนโลยีเพื่อ “ซ่อมแซม” ธรรมชาติที่บุบสลาย การเติบโตของเทคโนโลยี Negative Emissions คือสัญญาณแห่งความหวังว่า แม้เราจะเคยทำลายโลกไปมากเพียงใด เราก็ยังมีหนทางและความมุ่งมั่นที่จะกอบกู้สมดุลคืนมา เพื่อส่งต่อโลกที่เย็นลงให้กับลูกหลานของเรา




















