News & Update

TDRI จี้รัฐเร่งปฏิรูปพลังงานสะอาด หวั่นสูญเสีย FDI กว่า 1.1 ล้านล้าน

การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดเป็นวาระสำคัญระดับโลก ด้วยเหตุผลที่ว่า พลังงานสะอาดหรือพลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะที่มาจาก แสงอาทิตย์ มีต้นทุนในการผลิต ถูกกว่า พลังงานที่มาจากฟอสซิล แล้ว เป็นที่ประจักษ์และใช้กัน ในหลายประเทศทั่วโลกและบางประเทศยังใช้เป็นพลังงานหลัก จึงทำให้ประเทศไทยต้องเร่งดำเนินการ หากล่าช้า เราจะสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขัน ดึงดูดการลงทุน และมูลค่าทางเศรษฐกิจ

นายสุวิทย์ ธรณินทร์พานิช ประธานกรรมการมูลนิธิพลังงานสะอาดเพื่อประชาชน (มพช.) กล่าวว่า มพช. ได้ร่วมกับภาคีเครือข่าย โดยให้สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ศึกษาและนำเสนอประเด็นที่สำคัญเพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมไทย โดยเฉพาะในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เข้าถึงพลังงานสะอาดได้อย่างเพียงพอและรวดเร็ว ซึ่งจะช่วยการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศและควบคู่ไปกับการมีสิ่งแวดล้อมที่ดี

ทั้งนี้ ภาคอุตสาหกรรมไทย โดยเฉพาะในเขต EEC ยังไม่สามารถเข้าถึงไฟฟ้าพลังงานสะอาดได้อย่างเพียงพอ ปัญหาหลักมาจากความล่าช้าในการเปิดเสรีตลาดไฟฟ้า (Third-Party Access: TPA) ทำให้ภาคเอกชนไม่สามารถเชื่อมต่อและใช้โครงข่ายไฟฟ้าของรัฐได้อย่างอิสระ ความไม่ชัดเจนของนโยบายด้านพลังงาน โดยแผนพลังงานชาติ (NEP) ไม่มีการประกาศใช้มานานกว่า 2 ปี สร้างความไม่แน่นอนในการลงทุนและการวางแผนสำหรับภาคธุรกิจ
ข้อจำกัดในการซื้อขายไฟฟ้าโดยตรง (Direct PPA) ยังคงจำกัดเฉพาะบางกลุ่ม เช่น Data Center ทำให้ภาคอุตสาหกรรมอื่น ๆ ไม่สามารถเข้าถึงได้

อย่างไรก็ตาม หากประเทศไทยยังคงชะลอการดำเนินการด้านพลังงานสะอาด จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงและรวดเร็วต่อประเทศ ดังนี้

1. ผลกระทบทางเศรษฐกิจ ต้นทุนการผลิตพุ่งสูงขึ้น ภาคอุตสาหกรรมต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้นจากการพึ่งพาไฟฟ้าแบบ Green Tariff (UGT) ซึ่งมีราคาสูงและไม่ยืดหยุ่นพอ กลไกการปรับราคาคาร์บอนข้ามพรมแดน (CBAM) โดยเฉพาะภาคการส่งออกจะถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียมคาร์บอน ทำให้เสียเปรียบในการแข่งขัน สูญเสียโอกาสการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เม็ดเงิน FDI  ที่เสี่ยงสูญเสีย TDRI ประเมินว่าไทยอาจสูญเสีย FDI ที่ต้องการพลังงานสะอาดสูงกว่า 1.1 ล้านล้านบาท

อีกทั้ง อุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ที่เสี่ยงสูญเสียโอกาส โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า, ดิจิทัล (รวมถึง Data Center) และเทคโนโลยีสีเขียว อาจสูญเสียโอกาสในส่วนนี้ มากถึง 7 แสนล้านบาท เนื่องจากนักลงทุนเหล่านี้มีนโยบายชัดเจนในการใช้พลังงานสะอาดและจะเลือกไปลงทุนในประเทศที่มีโครงสร้างพื้นฐานรองรับอย่างรวดเร็ว เช่น มาเลเซีย เวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์

TDRI จี้รัฐเร่งปฏิรูปพลังงานสะอาด หวั่นสูญเสีย FDI กว่า 1.1 ล้านล้าน

2. ผลกระทบทางสังคม  การว่างงานเพิ่มขึ้นและความเหลื่อมล้ำสูงขึ้น การเปลี่ยนผ่านพลังงานที่ล่าช้า อาจทำให้ภาคธุรกิจเดิมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกจำนวนมากไม่สามารถปรับตัวได้ทัน ทำให้เกิดการว่างงาน โดยไม่มี “งานสีเขียว” มารองรับแรงงานที่ได้รับผลกระทบ

3. ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม การหันกลับไปใช้พลังงานฟอสซิล หากประเทศไทยไม่เร่งเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาด แต่ยังต้องการรักษาฐาน Data Center และภาคอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่ต้องการพลังงานสะอาด อาจส่งผลให้ภาคการผลิตต้องหันมาใช้ไฟฟ้าจากพลังงานฟอสซิลแทน ทำให้เป็นอุปสรรคสำคัญต่อเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศ    

ปัจจุบัน Data Center ที่เป็นผลจากการลงทุนจากต่างประเทศ มีความต้องการไฟฟ้าพลังงานสะอาดจำนวนมากถึงกว่า 5,000 (เมกะวัตต์ชั่วโมง) ซึ่งเป็นตัวเลขที่สะท้อนถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่ประเทศไทยต้องมีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานสะอาดที่พร้อมรองรับ ไม่เช่นนั้นนักลงทุนกลุ่มนี้จะย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้านทันที

เพื่อแก้ไขปัญหานี้และดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ มูลนิธิฯ จึงมีข้อเสนอมาตรการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนดังนี้ 1. เร่งเปิดเสรีตลาดไฟฟ้าและขยาย Direct PPA ทั่วประเทศ (หากรัฐพร้อม) อาทิ เปิด TPA เร่งเปิดให้เอกชนเชื่อมต่อและใช้ประโยชน์จากระบบสายส่งไฟฟ้าของรัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด, ขยาย Direct PPA: ขยายการซื้อขายไฟฟ้าโดยตรงระหว่างผู้ผลิตกับผู้ใช้รายใหญ่ให้ครอบคลุมภาคอุตสาหกรรมอื่น ๆ ไม่จำกัดเฉพาะ Data Center และยกเลิก UGT โดยเปิดให้เอกชนเป็นผู้ดำเนินการเอง เพราะภาครัฐไม่ทราบมาตรฐานที่ต่างชาติต้องการดีเท่า  ผู้ส่งออกและผู้ลงทุน

2. ใช้ พ.ร.บ. EEC เป็นกลไก “ทางรอด” ในระยะเร่งด่วน (หากรัฐยังช้า)
เนื่องจากแนวทางข้างต้นยังไม่มีความชัดเจนและอาจใช้เวลาในการดำเนินการ “ทางรอด” ที่สำคัญและรวดเร็วที่สุดสำหรับภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่ EEC คือการใช้กลไกตามพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก  พ.ศ. 2561 
(พ.ร.บ. EEC) มาเป็นเครื่องมือในการสร้างและจัดส่งไฟฟ้าพลังงานสะอาดโดยตรงจากแหล่งผลิตมายังภาคอุตสาหกรรม

อำนาจตามกฎหมาย พ.ร.บ. EEC มาตรา 6(3), 29, 30 และ 37(4) ให้อำนาจคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ในการพิจารณาอนุมัติใบอนุญาตพลังงาน หากเห็นว่าโครงการนั้นเอื้อประโยชน์ต่อประชาชนในพื้นที่ EEC และช่วยรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศดำเนินการได้ทันที กพอ. สามารถอนุมัติโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจได้ทันที ซึ่งเป็นอำนาจคู่ขนานกับ กกพ. เหมาะสำหรับโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วน เช่น การรองรับนักลงทุน Data Center และภาคอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่ต้องการพลังงานสะอาดอย่างเร่งด่วน

การสร้างโครงข่ายไฟฟ้าใหม่  ภาคเอกชนสามารถลงทุนสร้างโครงข่ายไฟฟ้าพลังงานสะอาดของตนเอง ภายใต้กรอบของ พ.ร.บ. EEC เพื่อจัดส่งไฟฟ้าสะอาดโดยตรง ซึ่งเป็น “ทางรอด” ที่สอดคล้องกับทิศทางเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และพลังงานสะอาดของประเทศอย่างแท้จริง

ทั้งนี้ ไฟฟ้าสะอาดไม่ใช่แค่เรื่องภาพลักษณ์องค์กร แต่เป็น “หัวใจ” ของความสามารถในการแข่งขัน และ “เครื่องมือสำคัญ” ในการอยู่รอดของธุรกิจอย่างยั่งยืนขององค์กร รวมถึงการรักษาและเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้ประเทศ ถึงเวลาแล้วที่รัฐต้อง “ฟังเสียงภาคธุรกิจ” และ “สนับสนุนโดยไม่สร้างอุปสรรคเพิ่ม” การเปิดให้เอกชนเข้าถึงระบบสายส่งหรือการสร้างระบบโครงข่ายไฟฟ้าใหม่เพื่อจ่ายไฟสะอาดให้ตนเอง เป็นหนทางที่เร็วที่สุดในการแก้ไขปัญหาเร่งด่วน และรับรองว่าประเทศไทยจะไม่สูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจและนักลงทุนให้กับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งพร้อมเดินหน้าด้านพลังงานสะอาดอย่างเต็มที่

ดังนั้น ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องร่วมมือกันออกแบบแนวทางการบริหารจัดการเพื่อลดผลกระทบต่อสังคมอย่างเหมาะสมและเป็นธรรม เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดของประเทศไทยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

Source : กรุงเทพธุรกิจ

จีนใช้พลังงาน ‘ไฮโดรเจน’ ลดปล่อยคาร์บอนในอุตสาหกรรมหนัก

เมื่อไม่นานนี้ คณะนักวิทยาศาสตร์ของจีนและสหรัฐฯ เผยแพร่ผลการประเมินการใช้พลังงานไฮโดรเจนสะอาดของภาคอุตสาหกรรมหนักและการขนส่งหนักของจีนในอนาคต ซึ่งระบุว่าพลังงานไฮโดรเจนสะอาดสามารถลดการปล่อยคาร์บอนอย่างมีนัยสำคัญ

พีระพันธุ์ แจงสภาฯเตรียมเสนอกฎหมายควบคุมกิจการน้ำมัน พร้อมเร่งส่งเสริมใช้โซลาร์เซลล์ทั้งภาคประชาชนและเกษตรกร

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ” ชี้แจงสภาผู้แทนราษฎรเตรียมออกกฎหมายควบคุมกิจการน้ำมัน เร่งส่งเสริมการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ทั้งภาคประชาชนและเกษตรกรเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายค่าไฟฟ้าไปพร้อมกับการทำให้ไทยบรรลุเป้าหมาย Net Zero วันนี้ (31…

“สุพัฒนพงษ์” ลั่นค่าไฟ 4.77 บาท/หน่วย รัฐบาลรักษาการเปลี่ยนแปลงไม่ได้

“สุพัฒนพงษ์” ยอมรับว่าค่าไฟฟ้างวด พ.ค.-ส.ค. 66 ที่ กกพ.เห็นชอบไปแล้วที่เฉลี่ย 4.77 บาท/หน่วยไม่สามารถเปลี่ยนได้เพราะเป็นรัฐบาลรักษาการ แต่พร้อมเสนอดูแลค่าไฟกลุ่มเปราะบางโดยจะขอความเห็นชอบทั้ง ครม.และส่ง…