กบง. ปรับสูตรดีเซล หลังราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) ปรับตัวสูงขึ้นมากจนกระทบต้นทุนไบโอดีเซล โดยกำหนดสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดาและน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 20 เพื่อช่วยเหลือประชาชน ป้องกันราคาพุ่ง เริ่ม 21 พฤศจิกายน นี้

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เพื่อพิจารณาแนวทางการกำหนดสัดส่วนของน้ำมันไบโอดีเซล B100 ในช่วงที่ราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) พุ่งสูงขึ้นมาก โดยภายหลังจากการประชุม นายพีระพันธุ์ฯ กล่าวว่า จากสถานการณ์ปัจจุบันที่ราคา CPO ที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาไบโอดีเซลอยู่ที่ประมาณ 48 บาทต่อลิตร หรือ 2 เท่าของราคาเนื้อน้ำมัน ทำให้ต้นทุนน้ำมันดีเซลเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย และจะส่งผลให้ราคาน้ำมันดีเซลที่ขายให้ประชาชนมีราคาสูงขึ้น ดังนั้น เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนและเพื่อให้การจัดการราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ที่ประชุม กบง. จึงมีมติเห็นชอบการกำหนดสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลดังนี้ น้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 5 และไม่สูงกว่าร้อยละ 7 โดยปริมาตร และน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 20 ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 19 และไม่สูงกว่าร้อยละ 20 โดยปริมาตร ซึ่งไม่ส่งผลกระทบต่อเครื่องยนต์แต่อย่างใด

ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 21 พฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป จนกว่า กบง. จะมีมติเปลี่ยนแปลง โดยมอบหมายให้ กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ออกประกาศ ธพ. เรื่อง กำหนดลักษณะและคุณภาพของน้ำมันดีเซล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. 2567 ให้สอดคล้องกับการกำหนดสัดส่วนการผสมไบโอดีเซล และ มอบหมายให้ กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) นำเสนอการกำหนดสัดส่วนการผสมไบโอดีเซล ต่อคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) เพื่อทราบต่อไป

Source : Energy News Center

หน่วยธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) รายงานสถานการณ์ตลาดน้ำมันประจำสัปดาห์วันที่ 7 – 11 ต.ค. 67 และแนวโน้มในสัปดาห์วันที่ 14 – 18 ต.ค. 67 โดยระบุว่าตลาดน้ำมันโลกยังคงกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่มีแนวโน้มยกระดับความรุนแรงเพิ่มขึ้น ด้าน OPEC ปรับลดคาดการณ์ความต้องการน้ำมันโลกปี 2567 และ 2568  

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 13 ต.ค. 67 โฆษกของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ พลตรี Patrick Ryder กล่าวว่าสหรัฐฯ จะส่งระบบป้องกันขีปนาวุธ Terminal High Altitude Area Defense (THAAD) พร้อมทหารสหรัฐฯ 100 นาย เพื่อดำเนินการติดตั้งระบบให้อิสราเอล เนื่องจากความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านอาจยกระดับเป็นสงครามระดับภูมิภาค หลังอิสราเอลมีแนวโน้มจะตอบโต้ที่ถูกอิหร่านยิงขีปนาวุธโจมตีเมื่อวันที่ 1 ต.ค. 67

ด้านกลุ่ม OPEC ปรับลดคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันโลกในปี 2567 ติดต่อกันเป็นครั้งที่ 3 โดยรายงานฉบับเดือน ต.ค. 67 ของ OPEC คาดการณ์ว่าอุปสงค์น้ำมันโลกปี 2567 จะเพิ่มขึ้น 1.93 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากปีก่อนหน้า อยู่ที่ 104.14 ล้านบาร์เรลต่อวัน (ลดลงจากคาดการณ์ครั้งก่อน 0.11 ล้านบาร์เรลต่อวัน) และในปี 2568 จะเพิ่มขึ้น 1.64 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากปีก่อนหน้า อยู่ที่ 105.78 ล้านบาร์เรลต่อวัน (ลดลงจากครั้งก่อน 0.20 ล้านบาร์เรลต่อวัน) เนื่องจากจีนหันไปใช้พลังงานทางเลือก ประกอบกับเศรษฐกิจจีนอ่อนแอ

สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีน (National Bureau of Statistics: NBS) รายงานว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index: CPI) ซึ่งบ่งชี้อัตราเงินเฟ้อในเดือน ก.ย. 67 อยู่ที่ +0.4% จากปีก่อนหน้า ต่ำสุดในรอบ 3 เดือน ขณะที่ดัชนีราคาผู้ผลิต (Producer Price Index: PPI) อยู่ที่ -2.8% จากปีก่อนหน้า ต่ำสุดในรอบ 6 เดือน

กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ (Bureau of Labor Statistics: BLS) รายงานว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index: CPI) ซึ่งบ่งชี้อัตราเงินเฟ้อในเดือน ก.ย. 67 อยู่ที่ +2.4% จากปีก่อนหน้า ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ก.พ. 64 ซึ่งอาจเป็นสัญญาณให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

Source : Energy News Center

กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เตรียมกันเงิน 140 ล้านบาท เริ่มทยอยจ่ายหนี้เงินต้นก้อนแรกให้แบงค์ ตั้งแต่ พ.ย. 2567 ชี้หนี้เงินต้นจะสูงขึ้นเรื่อยๆ จนยอดจ่ายสูงสุดไปอยู่ในเดือน ต.ค. 2568 จำนวน 3,000 ล้านบาท ก่อนจะค่อยๆ ลดลง เหตุกองทุนฯ ทยอยกู้ยืมเงินพยุงราคาดีเซลตั้งแต่ปี 2565 รวมยอดกู้ยืมทั้งสิ้น 105,333 ล้านบาท คาดใช้หนี้หมดในปี 2571 ส่งผลกระทบให้ผู้ใช้ดีเซลต้องเร่งจ่ายเงินเข้ากองทุนฯ และหากราคาน้ำมันโลกพุ่งสูงอาจจำเป็นต้องขยับราคาดีเซลขึ้นบ้าง   

ผู้สื่อข่าวศูนย์ข่าวพลังงาน (Energy News Center – ENC) รายงานว่า นับตั้งแต่เดือน พ.ย. 2567 ที่จะถึงนี้ จะครบกำหนดที่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจะต้องเริ่มทยอยชำระหนี้เงินต้นที่กู้ยืมมาจากสถาบันการเงิน รวมทั้งสิ้น 105,333 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2565-2566 ส่วนดอกเบี้ยก็ได้เริ่มจ่ายมาตั้งแต่กู้ยืมเงินครั้งแรกและจ่ายเป็นประจำ จำนวน 250 ล้านบาททุกเดือน

สำหรับยอดหนี้เงินต้นจะทยอยสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามวงเงินที่ทยอยกู้ยืมในแต่ละครั้ง โดยในเดือน พ.ย. 2567 ต้องเริ่มจ่ายหนี้เงินต้น 140 ล้านบาท และ เดือน ธ.ค. อยู่ที่ 278 ล้านบาท ส่วนปี 2568 ก็จะยังคงจ่ายสูงขึ้นอีก โดยเริ่มต้นเดือน ม.ค. จำนวน 800 ล้านบาท และทยอยสูงขึ้นไปถึงเดือน พ.ค. ที่ 1,400 ล้านบาท โดยยอดจะพุ่งสูงสุดในเดือน ต.ค. 2568 ที่ประมาณ 3,000 ล้านบาท และจากนั้นจะทยอยลดลงเรื่อยๆ  ซึ่งคาดว่าการชำระหนี้เงินต้นจะไปสิ้นสุดในปี 2571

ดังนั้นภารกิจสำคัญที่กองทุนฯ จะต้องเตรียมไว้สำหรับการชำระหนี้เงินต้นดังกล่าว ก็คือ คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) จะต้องเร่งเก็บเงินจากผู้ใช้น้ำมันดีเซลส่งเข้ากองทุนฯ เพื่อให้กองทุนฯ มีเงินไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง เพียงพอที่จะใช้ดูแลราคาน้ำมันและ LPG ในช่วงสถานการณ์ฉุกเฉิน และมีเงินเพียงพอจ่ายหนี้เงินต้นก้อนนี้ด้วย

ทั้งนี้จะส่งผลให้กองทุนฯ ไม่สามารถกลับไปชดเชยราคาดีเซลได้อีก ยกเว้นกรณีเกิดวิกฤติราคาพลังงานที่รุนแรง ซึ่งหากราคาน้ำมันโลกขยับสูงขึ้นในช่วงนี้ กองทุนฯ จะลดการเก็บเงินผู้ใช้ดีเซลเพื่อส่งเข้ากองทุนฯ ลง จนอาจเก็บเข้าต่ำสุดเหลือเพียง 50 สตางค์ต่อลิตร (ปัจจุบันเก็บอยู่ 1.66 บาทต่อลิตร) แต่หากราคายังขยับสูงขึ้นไปอีก กบน. อาจจำเป็นต้องขยับขึ้นราคาดีเซล แทนการนำเงินกองทุนฯ ไปชดเชยราคาดีเซล

อย่างไรก็ตามวันที่ 31 ต.ค. 2567 นี้ จะสิ้นสุดมาตรการตรึงราคาดีเซลไม่ให้เกิน 33 บาทต่อลิตร โดยปัจจุบันราคาจำหน่ายอยู่ที่ 32.94 บาทต่อลิตร ดังนั้น กบน. เตรียมจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาทบทวนราคาดีเซลอีกครั้งก่อนสิ้นสุดมาตรการดังกล่าวต่อไป

ทั้งนี้ กบน. ยังเฝ้าติดตามสถานการณ์การสู้รบในต่างประเทศที่มีผลกระทบต่อราคาน้ำมันโลก ซึ่ง กบน. เชื่อว่ายังดูแลราคาดีเซลในประเทศไทยได้ แต่เป็นห่วงราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) โลก เนื่องจากในช่วงปลายปีจะเข้าสู่ฤดูหนาว ทำให้หลายประเทศมีความต้องการ LPG จำนวนมากและราคาจะพุ่งสูงขึ้น ซึ่งหากกองทุนฯ ต้องชดเชยราคา LPG สูง จะส่งผลกระทบต่อฐานะกองทุนฯ ได้  

โดยปัจจุบันกองทุนฯ ยังมีเงินไหลเข้าจากผู้ผลิต LPG  5.94 ล้านบาทต่อวัน และเงินไหลเข้าจากผู้ใช้น้ำมัน 331 ล้านบาทต่อวัน รวมมีเงินไหลเข้ากองทุนฯ ประมาณ 337 ล้านบาทต่อวัน หรือ 10,110 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งเพียงพอดูแลเสถียรภาพราคาดีเซลและ LPG  รวมทั้งสามารถเก็บไว้ชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยให้สถาบันการเงินได้ แต่หากราคา LPG โลกขยับขึ้นแรงในช่วงปลายปี 2567 นี้ กบน. ก็จะพิจารณาแนวทางที่เหมาะสมกับกองทุนฯ ต่อไป แต่ยืนยันว่าราคา LPG จะยังคงจำหน่ายที่ 423 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม ไปจนถึง 31 ธ.ค. 2567 นี้ ตามมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.)

สำหรับสถานะเงินกองทุนน้ำมันฯ ล่าสุด ณ วันที่ 8 ต.ค. 2567 เงินกองทุนฯ ติดลบรวม -96,818 ล้านบาท ซึ่งมาจากบัญชีน้ำมันติดลบรวม -49,378 ล้านบาท และมาจากบัญชี LPG ติดลบรวม -47,440 ล้านบาท

Source : Energy News Center

เชื่อว่าหลายๆ คน จดจำโมเมนต์การเติมน้ำมันผิดวันได้เป็นอย่างดี ในวันที่เราเพิ่งเติมเต็มถัง กลับมีข่าวประกาศว่า “พรุ่งนี้น้ำมันลดราคา 30 สตางค์” หรือในวันที่เลิกงานช้าถึงบ้านดึก แล้วมาพบข่าวว่า “พรุ่งนี้น้ำมันขึ้น 60 สตางค์” แม้จะไม่ใช่มูลค่ามากมาย แต่ถ้าเลือกได้คงไม่มีใครอยากจ่ายแพงกว่าเดิมแน่ๆ ยังไม่รวมโมเมนต์หงุดหงิดกับราคาน้ำมันที่ถูกอ้างว่าขึ้นตามตลาดโลก แต่เวลาตลาดโลกลดลง ทำไมราคาน้ำมันในบ้านเรากลับยังเท่าเดิม จนทำให้คิดไปได้ว่า ผู้ค้าน้ำมันนึกอยากจะขึ้นก็ขึ้นใช่หรือไม่ ?

ประเด็นที่เกิดขึ้นนี้ จึงเป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ต้องการเร่งออกกฎหมายเพื่อมากำกับดูแลราคาน้ำมัน

แหล่งข่าวในกระทรวงพลังงาน มองว่า นับตั้งแต่ที่นายพีระพันธุ์ เข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้ 1 ปี เขาได้กลายเป็นรัฐมนตรีที่สร้างความแตกต่างไปจากอดีตรัฐมนตรีพลังงานในอดีตอย่างสิ้นเชิง แม้นายพีระพันธุ์จะมาจากสายกฎหมาย มิใช่ผู้บริหารระดับสูงจากบริษัทน้ำมัน และไม่มีประสบการณ์ด้านพลังงานมาก่อน แต่นายพีระพันธุ์สามารถใช้องค์ความรู้และความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายเข้ามาจัดการแก้ไขปัญหาพลังงานที่หมักหมมมาตลอดหลายสิบปี. โดยปัญหาราคาน้ำมันที่หมักหมมมาตลอดหลายสิบปี เป็นเพราะไม่มีใครสามารถรู้ราคาต้นทุนของน้ำมันเชื้อเพลิงมาก่อน ซึ่งเมื่อไม่รู้ต้นทุนที่แท้จริงก็ไม่สามารถกำหนดราคาที่เป็นธรรมได้ แต่กระทรวงพลังงานในยุคของนายพีระพันธุ์สามารถออกประกาศกระทรวงพลังงานที่กําหนดให้ผู้ค้าน้ำมันต้องแจ้งต้นทุน และมีผลบังคับใช้ในเดือนเมษายน 2567 ที่ผ่านมาแล้ว  

นอกจากประเทศไทยจะไม่เคยมีกฎหมายให้ผู้ค้าแจ้งต้นทุนราคาน้ำมันแล้ว เราก็ไม่เคยมีกฎหมายในการควบคุมการขึ้นลงของราคาน้ำมัน ซึ่งเรื่องนี้พี่น้องประชาชนเคยสงสัยกันมาตลอด สงสัยกันมานานแล้วว่า ทำไมกระทรวงพลังงานไม่ดูแลเลย นั่นเป็นเพราะกระทรวงพลังงานไม่มีกฎหมายอยู่ในมือจึงไม่มีอำนาจจะไปกำกับควบคุมการปรับราคาน้ำมันขึ้นหรือลงได้

ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีแต่กฎหมายในการอนุญาตให้ค้าน้ำมัน แต่ไม่มีกฎหมายในการกํากับดูแลราคาน้ำมัน ซึ่งเป็นเรื่องเหลือเชื่อมากๆ เพราะขนาดราคาค่าไฟฟ้า ยังมีคณะกรรมการกํากับกิจการพลังงาน เป็นผู้กํากับดูแลการปรับขึ้นราคาที่ต้องสมเหตุผล ขนาดการกํากับดูแลกิจการสื่อก็ยังมี กสทช. แต่ราคาน้ำมันไม่มีการกำกับดูแล และเป็นอย่างนี้มาหลายสิบปีแล้ว จึงทำให้กระทรวงพลังงานในยุคของนายพีระพันธุ์ ลุกขึ้นมาจัดทำร่างกฎหมายเพื่อกํากับดูแลการประกอบธุรกิจการค้าน้ำมันจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว เพื่อให้กระทรวงมีอำนาจในการดูแลราคาน้ำมัน สกัดกั้นบรรดาผู้ค้าน้ำมันที่ปรับราคาขึ้นลงตามอำเภอใจ หรืออ้างขึ้นราคาตามตลาดโลก แต่เวลาราคาตลาดโลกลดกลับไม่ลดราคาตาม

แหล่งข่าวมองว่า ภารกิจที่ท้าทายในเรื่องน้ำมันนั้น ก็คือ การผลักดันกฎหมายเรื่องสํารองน้ำมันของประเทศ เพราะที่ผ่านมาหลายสิบปี ประเทศไทยไม่เคยมีการสํารองน้ำมันของประเทศเลย ที่อ้างอิงหรือระบุว่ามีนั้นมิใช่สํารองน้ำมันของประเทศ แต่เป็นสํารองน้ำมันของผู้ค้าน้ำมัน ซึ่งนั่นเท่ากับว่า เราปล่อยให้คนทั้งประเทศและเสถียรภาพทางพลังงานทั้งหมดตกอยู่ในมือของบรรดาผู้ค้าน้ำมัน ดังนั้นการจัดทำระบบสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์เพื่อความมั่นคงของประเทศ หรือ SPR (Strategic Petroleum Reserve) จึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันให้อยู่ในระดับที่รัฐบาลสามารถควบคุมราคาได้เอง และหากสามารถผลักดันการสำรองน้ำมันของประเทศได้ นายพีระพันธุ์ก็ยังมีแผนที่จะนำน้ำมันสำรองมาดูแลแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแทนการใช้กลไกของกองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ประเทศไทยมีน้ำมันสำรอง และให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเปลี่ยนน้ำมันสำรองนี้มาเป็นสินทรัพย์ของกองทุน เพื่อให้การบริหารจัดการราคาน้ำมันของกองทุนน้ำมันกลายเป็นการสร้างทรัพย์สินของประเทศให้เพิ่มพูน กองทุนน้ำมันจะไม่ต้องแบกหนี้สินจากการตรึงราคาน้ำมัน และมิใช่ภาระหนี้สินของประเทศอีกต่อไป

สำหรับเรื่องพลังงานไฟฟ้า นายพีระพันธุ์ ก็กำลังผลักดันกฎหมายกำกับดูแลการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคา เพื่อให้ประชาชนสามารถผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ได้ง่ายขึ้น เพราะการติดตั้งในปัจจุบันมีความยุ่งยากทั้งเรื่องขออนุญาตและการติดตั้ง ซึ่งสาเหตุก็มาจากการที่ไม่มีกฎหมาย ซึ่งพอไม่มีกฎหมาย บรรดากระทรวงและ หน่วยงานต่างๆ ก็บอกว่าเป็นอํานาจของหน่วยงานตนเองหมดเลย ประชาชนก็ต้องวิ่งไปขออนุญาตทุกที่ เสียเวลาเสียค่าใช้จ่าย และสร้างความยุ่งยากกว่าจะได้ติดตั้ง แต่หากกฎหมายของกระทรวงพลังงานเสร็จเรียบร้อย จะเปรียบเสมือนการปลดล็อกให้ประชาชนสามารถติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์บนหลังคา หรือในพื้นที่บ้านได้สะดวกและง่ายขึ้น

และนอกจากการออกกฎหมายให้เข้าถึงพลังงานแสงอาทิตย์ได้ง่ายขึ้นแล้ว กระทรวงพลังงานก็กำลังหาทางช่วยให้ประชาชนเข้าถึงการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในราคาที่ถูกลง ด้วยการพัฒนาระบบต่างๆ ให้มีคุณภาพสูงแต่มีราคาถูกลง ได้แก่ ระบบแบตเตอรี่สำรอง เพราะการใช้ไฟฟ้าในตอนกลางคืนที่ไม่มีแสงแดด จะต้องใช้แบตเตอรี่เก็บสํารองที่มีราคาแพงมาก กระทรวงพลังงานจึงได้มีการตั้งคณะกรรมการโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อประชาชน ซึ่งมีการประชุมมาอย่างต่อเนื่อง โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการทดสอบแผงโซลาร์เซลล์ระบบอินเวอร์เตอร์ และระบบแบตเตอรี่สำรอง ซึ่งทั้งหมดต้องผ่านการตรวจสอบจากหน่วยงานผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้ชุดผลิตและสำรองไฟฟ้าที่มีมาตรฐานและความปลอดภัย โดยโจทย์สำคัญที่สุดคือจะต้องทำให้มีราคาที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้  

Source : Energy News Center

ตั้งแต่ต้นปี 2567 ถึงปัจจุบัน ราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศไทยมีการปรับขึ้น-ลง เฉลี่ยราว 4 – 6 ครั้งต่อเดือน ตามกลไกราคาในตลาดโลก ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของราคาในตลาดการค้าเสรีเช่นนี้ อาจทำให้ผู้ใช้น้ำมันรู้สึกว่าราคาน้ำมันมีการปรับขึ้นเรื่อย ๆ แต่ในความเป็นจริง หากเปรียบเทียบราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศไทยกับประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน จะเห็นได้ว่าราคาขายปลีกน้ำมันของไทยนั้นอยู่ระดับกลางๆ โดยมีทั้งแพงกว่าและถูกกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค ด้วยปัจจัยหลัก คือ แหล่งทรัพยากรน้ำมันดิบของแต่ละประเทศและนโยบายของภาครัฐที่แตกต่างกัน

เมื่อเปรียบเทียบราคาน้ำมันเบนซินของไทยกับ 10 ประเทศอาเซียน โดยข้อมูลของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงงาน (สนพ.) ณ วันที่ 16 ก.ย. 2567 ประเทศที่มีราคาน้ำมันเบนซินแพงที่สุดเป็นอันดับ 1 ได้แก่ สิงคโปร์ ราคาอยู่ที่ 74.17 บาทต่อลิตร อันดับ 2 ได้แก่ เมียนมา ราคา 50.80 บาทต่อลิตร 3. สปป.ลาว ราคาอยู่ที่ 45.53 บาทต่อลิตร 4. กัมพูชา ที่ 37.71 บาทต่อลิตร 5. ไทย 35.35 บาทต่อลิตร 6. ฟิลิปปินส์ 31.07 บาทต่อลิตร 7. อินโดนีเซีย 31.04 บาทต่อลิตร 8. เวียดนาม ราคาอยู่ที่ 26.62 บาทต่อลิตร 9. มาเลเซีย 15.84 บาทต่อลิตร และ 10. บรูไน 13.60 บาทต่อลิตร

ส่วนราคาน้ำมันดีเซล ข้อมูลจาก สนพ. ณ วันที่ 16 ก.ย. 2567 ประเทศที่มีราคาน้ำมันดีเซลแพงที่สุดอันดับ 1 ยังคงเป็นสิงคโปร์ ราคาอยู่ที่ 67.27 บาทต่อลิตร 2. เมียนมา 41.50 บาทต่อลิตร 3. ไทย จำหน่ายอยู่ที่ 32.94 บาทต่อลิตร 4. อินโดนีเซีย 31.86 บาทต่อลิตร 5. กัมพูชา 31.56 บาทต่อลิตร 6. สปป.ลาว 29.83 บาทต่อลิตร 7. ฟิลิปปินส์ 28.11 บาทต่อลิตร 8. เวียดนาม 23.27 บาทต่อลิตร 9. มาเลเซีย 23.26 บาทต่อลิตร และ 10. บรูไน 7.96 บาทต่อลิตร

ที่มา: สำนักงานนโยบายและแผนพลังงงาน (สนพ.)

อาจมีข้อสังเกตว่าราคาขายปลีกน้ำมันที่มาเลเซีย ซึ่งมีพรมแดนติดกับประเทศไทย ทำไมจึงถูกกว่าไทยมากนัก โดยมีราคาน้ำมันดีเซลต่างกันกว่า 5 บาทต่อลิตร ส่วนราคาน้ำมันกลุ่มเบนซิน (ของไทยคือแก๊สโซฮอล์ 95) ก็ต่างกันเกือบ 21 บาทต่อลิตร

สาเหตุที่เป็นเช่นนั้น เนื่องจากปัจจัยด้านธรณีวิทยาที่มีผลต่อแหล่งทรัพยากรปิโตรเลียมและนโยบายรัฐที่แตกต่างกัน โดยประเทศไทยแม้มีแหล่งน้ำมันดิบ แต่ไม่ได้มีขนาดใหญ่เหมือนมาเลเซีย น้ำมันดิบที่ผลิตได้ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ของคนในประเทศ ต้องนำเข้าน้ำมันดิบจากต่างประเทศถึง 90% ของความต้องการใช้ ในขณะที่มาเลเซียเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันดิบ นอกจากนี้ ยังมีการเก็บภาษีและเงินนำส่งเข้ากองทุนต่าง ๆ ตามนโยบายของภาครัฐ ที่ต่างกันอีกด้วย

โดยโครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมันของไทยจะแบ่งเป็น

1. ราคาเนื้อน้ำมัน (ราคาหน้าโรงกลั่น) คิดเป็นประมาณ 60 – 70% ของราคาขายปลีกน้ำมัน อ้างอิงตามราคาน้ำมันสำเร็จรูปตลาดกลางสิงคโปร์ ที่เป็นตลาดกลางการค้าน้ำมันของภูมิภาคเอเชีย ซึ่งเป็นตลาดซื้อขายน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดของภูมิภาค และราคาดังกล่าวไม่ใช่ราคาที่ประกาศโดยประเทศสิงคโปร์ หรือ โรงกลั่นสิงคโปร์ สำหรับประเทศไทยราคาน้ำมันส่วนนี้ จะมีต้นทุนค่าการปรับปรุงคุณภาพ เพื่อปรับให้สอดคล้องกับมาตรฐานของประเทศไทย ค่าขนส่ง ค่าประกันภัย  และอื่นๆ ทั้งนี้หลักการอ้างอิงราคาดังกล่าวเป็นไปตามแนวทางเดียวกับประเทศในภูมิภาค อาทิ มาเลเซีย ออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม อินโดนีเซีย อินเดีย เป็นต้น

2. ภาษีและกองทุน คิดเป็นประมาณ 25 – 30% ของราคาขายปลีกน้ำมัน ประกอบด้วย ภาษีสรรพสามิต ภาษีเทศบาล ภาษีมูลค่าเพิ่ม เงินนำส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดยภาครัฐเป็นผู้กำหนดและบริหารอัตราการจัดเก็บ และ

3. ค่าการตลาด คิดเป็นประมาณ 5% ของราคาน้ำมัน เป็นผลตอบแทนก่อนหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ของสถานีบริการ โดยสถานีบริการมีค่าใช้จ่ายที่ต้องรับผิดชอบ เช่น เงินลงทุนก่อสร้างสถานี ค่าจ้างพนักงาน ค่าน้ำค่าไฟ ค่าใช้จ่ายด้านความปลอดภัยตามที่กฎหมายกำหนด ของเจ้าของสถานีบริการและผู้ค้าน้ำมัน ดังนั้น ค่าการตลาดจึงยังไม่ใช่กำไรสุทธิของสถานีบริการและผู้ค้าน้ำมัน

ขณะที่มาเลเซีย มีแหล่งน้ำมันดิบขนาดใหญ่ที่สามารถผลิตได้มากเกินความต้องการของประเทศ จึงสามารถส่งออกน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติส่วนที่เหลือ ทำให้มีรายได้กลับเข้าประเทศ นอกจากนี้มาเลเซียยังมีการใช้เงินงบประมาณของรัฐมาอุดหนุนราคาขายปลีกน้ำมัน เนื่องจากมาเลเซียมีรายได้จากการส่งออกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ รวมถึงค่าภาคหลวง ค่าสัมปทานต่าง ๆ ทำให้นอกจากมาเลเซียจะไม่ต้องเก็บภาษีต่างๆ แล้ว ยังนำเงินรายได้มาอุดหนุนราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศ จึงสามารถขายน้ำมันให้แก่ประชาชนได้ในราคาถูก

นอกจากนี้ ที่ผ่านมามาเลเซียได้อุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลแบบเหวี่ยงแห (Blanket Subsidy) โดยกำหนดราคาขายปลีกที่ 2.15 ริงกิต/ลิตร (ประมาณ 16.88 บาทต่อลิตร) โดยดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2523 – 9 มิ.ย. 2567 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนในประเทศ โดยในปี 2566 เพียงปีเดียวรัฐบาลมาเลเซียใช้งบประมาณอุดหนุนราคาดีเซลไปถึงประมาณ 1.43 หมื่นล้านริงกิต (ประมาณ 1.12 แสนล้านบาท)

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่วันที่ 10 มิ.ย. 2567 รัฐบาลมาเลเซียได้ยกเลิกนโยบายดังกล่าว โดยปล่อยราคาดีเซลลอยตัวตามกลไกตลาด ภายใต้เพดานที่กำหนดไว้ที่ 3.35 ริงกิตต่อลิตร (ประมาณ 26.30 บาทต่อลิตร) และยังคงใช้มาตรการช่วยเหลือ หรืออุดหนุนราคาแบบกำหนดกลุ่มเป้าหมาย (ช่วยเหลือเฉพาะกลุ่ม) โดยจะแจกเงินกลุ่มเป้าหมายที่ใช้น้ำมันดีเซลกว่า 3 หมื่นราย เข้าบัญชีคนละ 200 ริงกิตต่อเดือน (ประมาณ 1,500 บาทต่อเดือน) และอุดหนุนกลุ่มธุรกิจบางประเภท เช่น ขนส่งสาธารณะ และประมง ส่วนพื้นที่ที่รัฐบาลปล่อยลอยตัวราคาดีเซล คือ พื้นที่บนคาบสมุทรมลายู (ฝั่งที่ติดกับไทย) และผลจากมาตรการดังกล่าว คาดว่าจะลดการใช้เงินงบประมาณได้ 4 พันล้านริงกิตต่อปี (3.1 หมื่นล้านบาทต่อปี)

จะเห็นได้ว่าขนาดมาเลเซียซึ่งมีแหล่งน้ำมันดิบขนาดใหญ่ ยังไม่สามารถอุดหนุนราคาขายปลีกน้ำมันได้ตลอดไป เพราะจะกลายเป็นภาระหนักให้กับรัฐบาล เช่นเดียวกับประเทศไทย ที่ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลมานาน ทำให้เงินกองทุนน้ำมัน (ในส่วนของบัญชีน้ำมัน) ติดลบกว่า 6 หมื่นล้านบาท (ส่วนภาพรวมกองทุนฯ ติดลบรวม 1.1 แสนล้านบาท จากการชดเชยราคาดีเซลและก๊าซหุงต้ม) ดังนั้นมาตรการอุดหนุนราคาขายปลีกน้ำมันจึงเป็นมาตรการที่ไม่ยั่งยืน และประเทศไทยที่เป็นผู้นำเข้าน้ำมันดิบกว่า 90% ของความต้องการใช้ จึงควรพิจารณานโยบายช่วยเหลือราคาขายปลีกน้ำมันเฉพาะบางกลุ่มจึงจะเหมาะสมกว่า เพื่อไม่เป็นภาระต่องบประมาณของประเทศ อีกทั้งการอุดหนุนราคาขายปลีกน้ำมันนี้ยังไม่ก่อให้เกิดการประหยัดและการใช้อย่างคุ้มค่า และส่งผลให้ไม่บรรลุเป้าหมายการลด CO2 ของประเทศอีกด้วย

Source : Energy News Center