“โลกเดือด” ได้เข้ามาเเทนที่ “โลกร้อน” ขณะที่ประเทศไทย เร่งรับมือ เตรียมทางรอดสำหรับ “ปรากฎการณ์เอลนีโญ” ที่กระทบไทย
ยุค “โลกเดือด” หรือ Global Boiling กำลังเข้ามาแทนที่ ยุค “โลกร้อน” เพิ่มระดับความรุนแรงกว่าเดิมเรียกว่า “หายนะของโลก” ได้เลย นี่คือตามคำกล่าวของ “อันโตนิโอ กูเตียเรส” เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ที่เพิ่งประกาศไม่นาน เห็นได้จากอุณภูมิโลกสูงขึ้นเมื่อเดือนกรกฎาคม จนถูกบันทึกเป็นประวัติศาสตร์โลก และมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เชื่อได้ว่า ผลกระทบจะแพร่กระจายไปทุกพื้นที่ของโลกใบนี้
ขณะเดียวกัน พื้นที่ส่วนใหญ่ของยุโรปได้เผชิญกับคลื่นความร้อนแผ่ปกคลุม ทำให้สภาพอากาศร้อนจัด อุณหภูมิสูงกว่า 40 องศาเซลเซียส จนเกิดไฟป่าในหลายประเทศ โดยเฉพาะที่กรีซ เกิดไฟป่ารุนแรง เเละล่าสุด ไฟป่าฮาวาย เเม้ยังไม่มีการระบุถึงสาเหตุเเต่ก็มีการตั้งคำถามว่า “โลกร้อน” เป็นต้นเหตุหรือไม่
ขณะที่โลกเผชิญปรากฎการณ์เอลนีโญมาแล้ว 5 ครั้ง ไล่มาตั้งแต่ ปี 2515-2516 ปี 2525-2526 ปี 2534-2535 ปี 2540-2541 ปี 2558-2559 ปี 2566-2567 (เริ่ม ต.ค.นี้) และมีแนวโน้มที่จะรุนแรงมากขึ้น คาดสร้างความเสียหายต่อภาคเกษตรไทยรวมราว 48,000 ล้านบาท จากข้อมูล ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับประเทศไทย ล่าสุด 16 ส.ค.66 คณะกรรมการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ประชุมเตรียมความพร้อม รับมืออิทธิพลจาก ปรากฏการณ์ “เอลนีโญ” จากปริมาณฝนที่ตกน้อยในหลายพื้นที่ และแหล่งน้ำมีปริมาณน้ำจำกัดโดยเฉพาะ น้ำอุปโภคบริโภค แม้ปัจจุบันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการตาม “12 มาตรการรับมือฤดูฝน” อย่างต่อเนื่องและเต็มที่ จึงยังคงต้องเฝ้าระวังพื้นที่ที่มีความเสี่ยงขาดแคลนน้ำ ซึ่งอาจส่งผลกระทบและก่อให้เกิดปัญหาภัยแล้ง อย่างรุนแรงได้ และขณะเดียวกันปรากฏการณ์เอ็นโซ่ (ENSO) อยู่ในสภาวะเอลนีโญ และจะมีแนวโน้มที่มีความรุนแรงมากขึ้นในช่วงเดือน ต.ค.-ธ.ค.66 ทำให้ประเทศไทยช่วงเดือน ก.ค.-ก.ย.66 จะมีปริมาณฝนต่ำกว่าปกติ
โดยพิจารณาเห็นชอบ (ร่าง) มาตรการรับมือฤดูฝนปี 2566 เพิ่มเติมเพื่อรองรับสถานการณ์ “เอลนีโญ” 3 มาตรการที่สำคัญ
- มาตรการที่ 1 จัดสรรน้ำให้เป็นไปตามลำดับความสำคัญที่คณะกรรมการลุ่มน้ำกำหนด เกี่ยวกับการวางแผนการระบายน้ำ
- มาตรการที่ 2 ควบคุมการเพาะปลูกข้าวนาปีต่อเนื่อง (ตลอดช่วงฤดูฝน) และให้มีการประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ให้กับเกษตรกร
- มาตรการที่ 3 เพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำ (ตลอดช่วงฤดูฝน) ได้แก่ การใช้น้ำภาคการเกษตร เช่น การปลูกพืชใช้น้ำน้อย การปรับปรุงระบบการให้น้ำพืช และการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการน้ำ เป็นต้น รวมถึงการประหยัดน้ำของทุกภาคส่วน ส่งเสริมให้โรงงานอุตสาหกรรมใช้ระบบ 3R เพื่อลดการใช้น้ำจากแหล่งต่างๆ และการลดการสูญเสียน้ำในระบบประปา และระบบชลประทาน
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. กำชับ สทนช.และหน่วยงานต่างๆ เร่งประชาสัมพันธ์ สร้างความเข้าใจให้ประชาชน รับทราบสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วถึง ทันเวลา เพื่อเตรียมความพร้อมและจัดลำดับความสำคัญในการใช้น้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภค อย่างเพียงพอของประชาชนเป็นอันดับเเรก รวมถึงพื้นที่ EEC ที่มีความสำคัญ รณรงค์ขอให้ประชาชน เกษตรกรและทุกภาคส่วนร่วมกันใช้น้ำอย่างประหยัด คุ้มค่า
Source : ฐานเศรษฐกิจ