Highlight & Knowledge

รู้จักกับ “คาร์บอนเครดิตป่าไม้” คืออะไร? มีข้อกำหนดอะไรบ้าง

สำหรับบทความนี้ทางทีมงานจะนำทุกท่านไปรู้จักกับ “คาร์บอนเครดิตป่าไม้” กัน ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ได้รับความสนใจอย่างมาก เพราะโครงการนี้นอกจากจะช่วยในเรื่องของการลดก๊าซเรือนกระจกแล้ว ยังสามารถสร้างมูลค่าได้อีกด้วย

คาร์บอนเครดิตป่าไม้ คืออะไร?

คาร์บอนเครดิตป่าไม้ (Forest Carbon Credit) คือ หน่วยวัดปริมาณการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากกิจกรรมป่าไม้ เช่น การปลูกต้นไม้ บำรุงรักษาป่า อนุรักษ์ป่า ฟื้นฟูป่า เป็นต้น โดยกิจกรรมเหล่านี้จะช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์จากชั้นบรรยากาศ ทำให้ปริมาณก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศลดลง คาร์บอนเครดิตป่าไม้สามารถใช้เพื่อลดภาระการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมได้ โดยภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมสามารถซื้อคาร์บอนเครดิตจากโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคป่าไม้ (T-VER) ของกรมป่าไม้ เพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตนเอง โดยคาร์บอนเครดิตจากโครงการ T-VER มีหน่วยเป็น “ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2eq)”

ข้อกำหนดในการทำคาร์บอนเครดิตป่าไม้

สำหรับข้อกำหนดในการทำคาร์บอนเครดิตประเภทป่าไม้ เป็นไปตามหลักเกณฑ์และแนวทางของโครงการ T-VER ภาคป่าไม้ ของกรมป่าไม้ ดังนี้

คุณสมบัติของโครงการ

  1. ต้องเป็นโครงการที่ดำเนินการในพื้นทีป่าไม้ของประเทศไทย
  2. ต้องมีวัตถุประสงค์เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
  3. โครงการมีการออกแบบและดำเนินงานเป็นไปตามหลักเกณฑ์และแนวทางโครงโครงการ T-VER ภาคป่าไม้
  4. ต้องมีงบประมาณเพียงพอในการจ้างผู้ประเมินภายนอกเพื่อตรวจสอบปริมาณคาร์บอนเครดิต
  5. ต้องมีพื้นที่ขนาดใหญ่เพียงพอต่อการทำคาร์บอนเครดิตป่าไม้ให้มีต้นทุนต่อหน่วยสามารถซื้อขายเชิงการค้าได้
  6. ต้องได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องตามกฏหมายในการแสดงสิทธิการใช้ประโยชน์จากที่ดิน

ประเภทต้นไม้ที่สามารถทำคาร์บอนเครดิตป่าไม้ได้

  1. ไม้ยืนต้นที่มีเนื้อไม้และอายุยืนยาว มีความสูงเกิน 1.30 เมตรขึ้นไป และมีวงปี ตั้งแต่ 4.50 เซนติเมตรขึ้นไป ตัวอย่างไม้ยืนต้นที่มีเนื้อไม้และอายุยืนยาว ได้แก่ ไม้สัก ไม้ยาง ไม้มะฮอกกานี ไม้แดง เป็นต้น
  2. ต้นไม้ที่ไม่มีวงปี ได้แก่ ไผ่ ปาล์ม และ มะพร้าว เป็นต้น
  3. ประเภท Blue Carbon เช่น หญ้าทะเล พืชที่อยู่ในป่าชายเลน เป็นต้น

ทั้งนี้ ต้นไม้ที่ปลูกหรือปลูกเสริมในโครงการป่าไม้เพื่อรับรองคาร์บอนเครดิต ต้องเป็นไม้ที่ปลูกในพื้นที่ที่มีศักยภาพในการเพิ่มการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ เช่น พื้นที่ป่าเสื่อมโทรม พื้นที่ที่มีแนวโน้มจะมีการบุกรุกแผ้วถาง เป็นต้น

การปลูกต้นไม้/ปลูกป่า

  1. พื้นที่โครงการต้องเป็นพื้นที่ป่าไม้ที่มีสภาพพื้นที่เป็นป่า คือ มีความหนาแน่นเรือนยอดไม่น้อยกว่า 30% และต้นไม้เมื่อโตเต็มที่สูงเกิน 3 เมตร ไม้ที่ปลูกต้องเป็นไม้รอบตัดฟันยาว
  2. เป็นพื้นที่ที่มีแนวโน้มจะมีการเปลี่ยนแปลงจากพื้นที่ป่าเป็นพื้นที่ที่ไม่ใช่ป่า
  3. ก่อนเริ่มโครงการต้องไม่มีการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศป่าไม้ดั้งเดิม
  4. ในกรณีที่มีการปลูกเสริม ต้องคัดเลือกชนิดพันธุ์ไม้ที่เหมาะสมกับระบบนิเวศเดิมในพื้นที่
  5. มีเอกสารสิทธิ์หรือ ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

ตัวอย่างโครงการที่สามารถเข้าร่วมคาร์บอนเครดิตป่าไม้ได้

  1. โครงการปลูกป่าในพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม
  2. โครงการอนุรักษ์ป่าต้นน้ำ
  3. โครงการฟื้นฟูป่าชายเลน
  4. โครงการปลูกป่าเพื่อเป็นแหล่งอาหารและที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า

การคำนวณและการขายคาร์บอนเครดิต

สำหรับการคำนวณจะทำโดยผู้ประเมินภายนอกเพื่อตรวจสอบความใช้ได้ และทวนสอบปริมาณคาร์บอนเครดิต สำหรับคาร์บอนเครดิตที่ผลิตได้จากโครงการป่าไม้ สามารถจำหน่ายได้ในตลาดคาร์บอน โดยภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมสามารถซื้อคาร์บอนเครดิตจากโครงการป่าไม้ เพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตนเองได้เช่นกัน

เดือน พฤศจิกายน 2566 มีโครงการที่ได้รับการรับรองปริมาณคาร์บอนเครดิตป่าไม้ (T-VER) ภาคป่าไม้ ทั้งสิ้น 6 โครงการ ปริมาณคาร์บอนเครดิตเท่ากับ 118,915 tCO2eq โดยโครงการที่ได้รับการรับรองคาร์บอนเครดิตป่าไม้มากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่

  1. โครงการการปลูกป่าอย่างยั่งยืน ณ วัดหนองจระเข้ ตําบลบ้านนา อําเภอแกลง จังหวัดระยอง ปริมาณคาร์บอนเครดิต 1,254 tCO2eq
  2. โครงการป่านิเวศระยองวนารมย์ กลุ่ม ปตท. ปริมาณคาร์บอนเครดิต 1,074 tCO2eq
  3. โครงการอนุรักษ์ป่าต้นน้ำบ้านแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ปริมาณคาร์บอนเครดิต 852 tCO2eq

โครงการที่ได้รับการรับรองปริมาณคาร์บอนเครดิตป่าไม้ ส่วนใหญ่เป็นโครงการปลูกป่าในพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมหรือพื้นที่ที่มีแนวโน้มจะมีการบุกรุกแผ้วถาง โดยโครงการเหล่านี้จะช่วยเพิ่มพื้นที่ป่าไม้และเพิ่มการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ในระบบนิเวศ สำหรับผู้ที่สนใจก็สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. 

Photo credit : freepik

เทคโนโลยี CCS (Carbon Capture and Storage) คืออะไร? ดีต่อเรา ดีต่อโลกอย่างไรบ้าง

ทั่วโลกต่างก็มีแผนการปรับเปลี่ยนประเทศของตัวเองเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อค์ไซค์ให้เป็นศูนย์ ซึ่งประเทศไทยเองก็มีการวางแผน และตั้งเป้าหมายเรื่องนี้เหมือนกัน และคาดว่าจะไปถึงเป้าหมายได้ภายในปี 2065 ซึ่งเป็นความจำเป็นที่ต้องไปให้ถึงเป้าหมายให้ได้ เพื่อดำรงไว้ซึ่งความร่วมมือในด้านต่างๆ กับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ทั้งเรื่องของความสัมพันธ์…

StoreDot แบตเตอรี่สำหรับรถ EV ชาร์จจาก 10% ไป 80% ได้ใน 10 นาที

StoreDot EV Battery คือแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าชนิดใหม่ ที่ถูกพัฒนาโดยบริษัท StoreDot สตาร์ทอัพสัญชาติอิสราเอล มีความพิเศษกว่าแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นเดิมๆ ที่เด่นชัดมากทึ่สุดคือ ความเร็วในการชาร์จแบตจาก…

สินเชื่อบ้านเบอร์ 5 ดอกเบี้ยต่ำเฉลี่ย 3 ปีแรก เพียง 2.76% ผ่อนได้นานสูงสุด 40 ปี

วันนี้ทางทีมงานของพาทุกท่านมารู้จักกับ สินเชื่อบ้านเบอร์ 5 กัน ซึ่งเป็นโปรโมชั่นล่าสุดจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ร่วมกับกฟผ. สำหรับบ้านที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานเบอร์ 5 มีจุดเด่นที่ดอกเบี้ยต่ำ เฉลี่ย 3…