Highlight & Knowledge

รู้จักโครงการ BAAC Carbon Credit ส่งเสริมการซื้อขายคาร์บอนเครดิต ร่วมกับธนาคารต้นไม้และชุมชนไม้มีค่า

โครงการ BAAC Carbon Credit เป็นโครงการของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ภายใต้แนวคิด “สร้างรายได้ให้ชุมชน คืนสู่ธรรมชาติ” โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมให้ชุมชนธนาคารต้นไม้สามารถขายคาร์บอนเครดิตเพื่อนำรายได้มาพัฒนาชุมชนและส่งเสริมการปลูกต้นไม้ต่อไป

โครงการ BAAC Carbon Credit

ธ.ก.ส. ผนึกกำลังชุมชนธนาคารต้นไม้และชุมชนไม้มีค่ากว่า 6,800 ชุมชน ขับเคลื่อนภารกิจซื้อ – ขายคาร์บอนเครดิตในโครงการ BAAC Carbon Credit พร้อมออกใบ Certificate มาตรฐาน T-VER จาก อบก. ตามโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program: T-VER) เริ่มจากการขึ้นทะเบียนโครงการ การตรวจนับจำนวนต้นไม้ การตรวจรับรองคาร์บอนเครดิตจากผู้ประเมินภายนอก (Validation and Verification Body: VVB) การรับรองปริมาณคาร์บอนเครดิตจากองค์กรบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) เพื่อนำปริมาณการกักเก็บดังกล่าวไปตอบโจทย์ความต้องการของหน่วยงานภาครัฐ เอกชน ที่มีเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์

นำร่องโครงการธนาคารต้นไม้บ้านท่าลี่และธนาคารต้นไม้บ้านแดง จังหวัดขอนแก่น จำนวนคาร์บอนเครดิต 453 ตันคาร์บอน  โดยขายกึ่ง CSR ในราคาตันละ 3,000 บาท คิดเป็นเงินรวม 1,359,000 บาท เมื่อหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน เกษตรกรในชุมชนจะมีรายได้ประมาณ 951,300 บาท โดยมีหลักการคำนวรคาร์บอนเครดิตดังนี้ ต้นไม้ 1 ต้น ช่วยสร้างปริมาณคาร์บอนเครดิตได้เฉลี่ย 9.5 กิโลกรัมคาร์บอนต่อปี พื้นที่ขนาด 1 ไร่ ปลูกต้นไม้ได้เฉลี่ย 100 ต้น/ไร่ จะได้ปริมาณคาร์บอนเครดิต 950 กิโลกรัมคาร์บอนต่อปี ณ ราคาขายกึ่ง CSR 3,000 บาทต่อตันคาร์บอน (อัตราคำนวณรายได้หลังหักค่าใช้จ่าย 70 : 30) เมื่อหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน เช่น ค่าขึ้นทะเบียนต้นไม้ในแต่ละต้น การตรวจนับและประเมิน การออกใบรับรอง เป็นต้น คิดเป็น ร้อยละ 30 ของมูลค่าการขาย ดังนั้น เกษตรกรจะได้รับผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายที่ร้อยละ 70 ของราคาขาย หรือประมาณ 2,000 บาทต่อไร่ต่อปี หรือกรณีปลูกต้นไม้แบบหัวไร่ปลายนา จะสามารถปลูกได้เฉลี่ย 40 ต้น/ไร่ คิดเป็น 380 กิโลกรัมคาร์บอนต่อไร่ต่อปี จะทำให้เกษตรกรมีรายได้จากการขายหลังหักค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 800 บาทต่อไร่ต่อปี

นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาแอปพลิเคชันธนาคารต้นไม้ (Tree Bank) พัฒนาโดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่ออำนวยความสะดวกในการบันทึกข้อมูลต้นไม้ของชุมชนธนาคารต้นไม้และชุมชนไม้มีค่า โดยแอปพลิเคชันนี้ช่วยให้ชุมชนสามารถบันทึกข้อมูลต้นไม้ได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว ถูกต้อง แม่นยำ ตรวจสอบได้ มีการติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่อง สามารถบันทึกข้อมูลต้นไม้ ประกอบด้วย ชนิดต้นไม้ อายุต้นไม้ ความสูงของต้นไม้ พิกัด GPS เป็นต้น คำนวณปริมาณคาร์บอนเครดิต ตรวจสอบข้อมูลต้นไม้ ติดตามประเมินผลการปลูกต้นไม้

ประโยชน์ของการ ขายคาร์บอนเครดิตในโครงการ BAAC Carbon Credit

  • เพิ่มรายได้ให้กับชุมชนธนาคารต้นไม้ เพื่อนำไปพัฒนาชุมชนและส่งเสริมการปลูกต้นไม้ต่อไป
  • สนับสนุนให้ภาครัฐและภาคเอกชนบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์
  • ช่วยลดปัญหาภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

โครงการ BAAC Carbon Credit เป็นหนึ่งในโครงการที่ ธ.ก.ส. ดำเนินการเพื่อส่งเสริมให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างยั่งยืน ในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงยุทธศาสตร์ชาติด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

รู้จักกับชุมชนธนาคารต้นไม้

ชุมชนธนาคารต้นไม้ เป็นชุมชนที่ดำเนินกิจกรรมการปลูกต้นไม้ตามแนวทางพระราชดำริ “ปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง” ในที่ดินของตนเองและชุมชน ภายใต้การสนับสนุนของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ชุมชนธนาคารต้นไม้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มพื้นที่ป่าไม้และสร้างความหลากหลายทางชีวภาพ ช่วยลดปัญหาภาวะโลกร้อน ภัยแล้ง และปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมอื่นๆ เพิ่มรายได้และสร้างความมั่นคงให้กับชุมชน และส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ การดำเนินงานของชุมชนธนาคารต้นไม้ ดำเนินการโดยชุมชนเป็นหลัก โดยมี ธ.ก.ส. ทำหน้าที่สนับสนุนและส่งเสริมการดำเนินงานของชุมชน ดังนี้

  • ส่งเสริมให้ประชาชนปลูกต้นไม้ในที่ดินของตนเองและชุมชนตามแนวพระราชดำริ ปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง
  • ประเมินมูลค่าต้นไม้ยืนต้นที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจเพื่อเป็นเงินออม เป็นทรัพย์ เป็นหลักทรัพย์ เป็นหลักประกัน ใช้กับรัฐและสถาบันการเงินที่รัฐกำหนด
  • ส่งเสริมให้ประชาชนปลูกต้นไม้อย่างเป็นระบบ มีความโปร่งใส ชัดเจน ถูกต้อง ตรวจสอบได้ มีการติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่อง
photo : freepik

ปัจจุบัน โครงการธนาคารต้นไม้ มีสมาชิกเข้าร่วมโครงการกว่า 6,800 ชุมชนทั่วประเทศ ครอบคลุมพื้นที่กว่า 40 ล้านไร่ มีการบันทึกข้อมูลต้นไม้กว่า 100 ล้านต้น

ประโยชน์ของชุมชนธนาคารต้นไม้ มีดังนี้

  • เพิ่มพื้นที่ป่าไม้และสร้างความหลากหลายทางชีวภาพ
  • ช่วยลดปัญหาภาวะโลกร้อน ภัยแล้ง และปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมอื่นๆ
  • เพิ่มรายได้และสร้างความมั่นคงให้กับชุมชน
  • ส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ

ชุมชนธนาคารต้นไม้ เป็นรูปแบบหนึ่งของการขับเคลื่อนการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยอาศัยพลังของชุมชนในการร่วมกันปลูกต้นไม้และดูแลรักษาป่าไม้ ซึ่งจะเป็นการสร้างความมั่นคงด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้กับชุมชนและประเทศชาติในระยะยาว

รู้จักกับชุมชนไม้มีค่า

ชุมชนไม้มีค่า เป็นชุมชนที่ดำเนินกิจกรรมการปลูกต้นไม้ไม้มีค่าในที่ดินของตนเองและชุมชน ภายใต้การสนับสนุนของหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมป่าไม้ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นต้น ชุมชนไม้มีค่า มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มพื้นที่ป่าไม้และสร้างความหลากหลายทางชีวภาพ ช่วยลดปัญหาภาวะโลกร้อน ภัยแล้ง และปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมอื่นๆ เพิ่มรายได้และสร้างความมั่นคงให้กับชุมชน และส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ

photo : freepik

การดำเนินงานของชุมชนไม้มีค่า ดำเนินการโดยชุมชนเป็นหลัก โดยมีหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทำหน้าที่สนับสนุนและส่งเสริมการดำเนินงานของชุมชน ดังนี้

  • ส่งเสริมให้ประชาชนปลูกต้นไม้ไม้มีค่าในที่ดินของตนเองและชุมชน
  • ประเมินมูลค่าต้นไม้ไม้มีค่าเพื่อเป็นเงินออม เป็นทรัพย์ เป็นหลักทรัพย์ เป็นหลักประกัน ใช้กับรัฐและสถาบันการเงินที่รัฐกำหนด
  • ส่งเสริมให้ประชาชนปลูกต้นไม้อย่างเป็นระบบ มีความโปร่งใส ชัดเจน ถูกต้อง ตรวจสอบได้ มีการติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่อง

ปัจจุบัน โครงการชุมชนไม้มีค่า มีสมาชิกเข้าร่วมโครงการกว่า 20,000 ชุมชนทั่วประเทศ ครอบคลุมพื้นที่กว่า 26 ล้านไร่ มีการบันทึกข้อมูลต้นไม้กว่า 1,000 ล้านต้น

ความแตกต่างระหว่างชุมชนธนาคารต้นไม้และชุมชนไม้มีค่า

ชุมชนธนาคารต้นไม้และชุมชนไม้มีค่า มีวัตถุประสงค์ที่เหมือนกัน คือ การส่งเสริมให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยอาศัยพลังของชุมชนในการร่วมกันปลูกต้นไม้และดูแลรักษาป่าไม้ แต่มีความแตกต่างในด้านประเภทของต้นไม้ที่ปลูก ชุมชนธนาคารต้นไม้เน้นการปลูกต้นไม้หลากหลายชนิดตามแนวทางพระราชดำริ “ปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง” ในขณะที่ชุมชนไม้มีค่าเน้นการปลูกต้นไม้ไม้มีค่าที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ ชุมชนธนาคารต้นไม้ยังได้รับการสนับสนุนจาก ธ.ก.ส. ในการจัดทำระบบฐานข้อมูลและประเมินมูลค่าต้นไม้เพื่อใช้เป็นเงินออม เป็นทรัพย์ เป็นหลักทรัพย์ เป็นหลักประกัน ในขณะที่ชุมชนไม้มีค่าได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมป่าไม้ เป็นต้น

ปัจจุบันมีชุมชนเข้าร่วมโครงการจำนวน 6,814 ชุมชน มีต้นไม้ขึ้นทะเบียนกว่า 12.4 ล้านต้น มีสมาชิก 124,071 คน มูลค่าต้นไม้ในโครงการกว่า 43,000 ล้านบาท และมีการเตรียมประเมินมูลค่าต้นไม้เพื่อใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันในปี 2566 คิดเป็นมูลค่ากว่า 760 ล้านบาท สำหรับหน่วยงานที่สนใจซื้อขายคาร์บอนเครดิต หรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติมก็สามารถติดต่อได้ที่ ฝ่ายพัฒนาลูกค้าและชนบท ธ.ก.ส. สำนักงานใหญ่ 2346 ถนนพหลโยธิน แขวงเสนานิคม เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900 หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ Call Center 02 555 0555

การเสวนา “ขนส่งไทยฝ่าวิกฤตน้ำมันแพง รถไฟฟ้าคือทางรอดหรือทางร่วง”

หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, มูลนิธิพลังงานสะอาดเพื่อประชาชน, สมาคมพลังงานหมุนเวียนไทย (อาร์อี100), สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ, หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และ…

รู้จัก “ขยะกำพร้า” ขยะที่นำไปเป็นเชื้อเพลิงสร้างพลังงานได้

ด้วยปริมาณขยะที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การเปลี่ยนรูปแบบการซื้อขายสินค้าจากหน้าร้าน มาเป็นแบบออนไลน์ที่ทำให้มีปริมาณการใช้วัสดุห่อหุ้มสินค้า กล่องพัสดุ รวมถึงพวกวัสดุปิดกล่องต่างๆ มากมาย ซึ่งเป็นตัวก่อให้เกิดขยะเป็นจำนวนมาก รวมถึงวัสดุต่างๆ…

Leave a Reply