News & Update

‘ดิน’ ใน ‘ออสเตรเลีย’ ปล่อย ‘ก๊าซคาร์บอน’ ภัยคุกคามใหญ่ ตัวการทำ ‘โลกร้อน’

การศึกษาใหม่พบว่า ความร้อนและความแห้งแล้งที่รุนแรงขึ้นเนื่องจาก “วิกฤตสภาพภูมิอากาศ” จะทำให้ดินของ “ออสเตรเลีย” กลายเป็นแหล่งปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขนาดใหญ่ ที่จะทำให้ “ภาวะโลกร้อน” แย่ลงกว่าเดิม

แผ่นดินเป็นหนึ่งใน “แหล่งกักเก็บคาร์บอน” ที่สำคัญของโลก แต่เมื่อสภาพอากาศอุ่นขึ้น ดินก็สามารถกักเก็บคาร์บอนได้ลดลง และในบางกรณี ดินก็เริ่มปล่อยคาร์บอนบางส่วนกลับคืนสู่อากาศ ส่งผลให้วิกฤตสภาพภูมิอากาศโลกรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะดินใน “ออสเตรเลีย

“ดิน” คาย “ก๊าซคาร์บอน” ที่กักเก็บมานาน

การศึกษาใหม่ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature Portfolio Journal เตือนว่า ดินในออสเตรเลียอาจกลายเป็นหนึ่งในแหล่งปล่อยก๊าซคาร์บอนที่ใหญ่ที่สุด และไม่สามารถกักเก็บ “ก๊าซคาร์บอน” ได้ภายในสองทศวรรษข้างหน้า โดยจะทำให้เกิดมลภาวะคาร์บอนประมาณ 8.3% ของมลพิษทั้งหมด แม้ว่าเราจะสามารถควบคุม “ภาวะโลกร้อน” ได้อย่างดีที่สุดแล้วก็ตาม

นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเคอร์ติน ทำการจำลองสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อทำนายวิถีการเปลี่ยนแปลงในออสเตรเลีย โดยพบว่า ภายในปี 2588 ดินจะคายคาร์บอนมากกว่า 14% หากโลกยังคงปล่อยมลพิษคาร์บอนออกมาในปริมาณปัจจุบัน

ดินในออสเตรเลียกักเก็บคาร์บอนไว้ประมาณ 28 กิกะตัน โดย 70% ถูกเก็บไว้ในพื้นที่ราบอันกว้างใหญ่ แม้ว่าในตอนนี้ พื้นที่เหล่านี้บางส่วนสามารถกักเก็บคาร์บอนต่อไปได้ แต่การศึกษาพบว่าการชดเชยปริมาณคาร์บอนที่สูญเสียไปจากดินในพื้นที่ที่ไวต่อสภาพอากาศที่ร้อนกว่านั้นไม่เพียงพอ โดยสาเหตุหลักมาจากการทำการเกษตรกรรม และความอ่อนไหวในดินเมื่อมีอุณหภูมิสูงขึ้น เช่น พื้นที่ชายฝั่งทะเลและพื้นที่ราบสูง

จากแนวทางการจัดการที่ดินในปัจจุบัน รายงานคาดการณ์ว่าในช่วงปี 2563-2588 พื้นที่เกษตรกรรมจะสะสมคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 0.19 ตันต่อเฮกตาร์ต่อปี

“ถ้าหากเราหาทางทำให้ดินในพื้นที่เกษตรกรรมมีประสิทธิภาพการกักเก็บคาร์บอนเพิ่มขึ้น อัตราการปล่อยคาร์บอนของดินก็จะลดน้อยลง แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับภาวะโลกร้อนด้วยว่าจะรุนแรงขึ้นหรือไม่ ซึ่งถ้าหากสถานการณ์โลกร้อนรุนแรงขึ้น ดินก็อาจปล่อยคาร์บอนออกมาได้เช่นกัน และจะทำให้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแย่ลง” ศาสตราจารย์ราฟาเอล วิสคาร์รา รอสเซล ผู้นำการวิจัย ทีมกล่าวว่า

หากการปล่อย “ก๊าซเรือนกระจก” ยังคงดำเนินต่อไปในอัตราปัจจุบัน อุณหภูมิของโลกจะสูงกว่า อุณหภูมิก่อนยุคอุตสาหกรรมมากกว่า 2 องศาภายในศตวรรษนี้  และจะส่งผลร้ายแรงและอาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อโลก

การที่ดินปล่อยคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศจะทำให้เกิดความร้อนทั่วโลกสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดการสูญเสียคาร์บอนในดินรุนแรงขึ้น “ถ้าเราไม่ฟื้นฟูดิน โลกของเราจะอุ่นขึ้น และเราจะสูญเสียคาร์บอนเพิ่มมากกว่าเดิม มันเลวร้ายมาก เราต้องทำทุกวิถีทางที่ทำได้ เพื่อลดการสูญเสีย คาร์บอนจากในให้น้อยที่สุด” ศ.วิสคาร์รา รอสเซล กล่าว

แก้ปัญหาดินปล่อย “ก๊าซคาร์บอน”

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางการคาดการณ์ที่เลวร้ายเหล่านี้ การศึกษาได้เสนอแนวทางแก้ไขบางอย่างที่อาจบรรเทาผลกระทบมที่เกิดจากการปล่อยคาร์บอนในดินได้ด้วย “การจัดการที่ดินอย่างยั่งยืน” ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติที่ออกแบบมาเพื่อปกป้องทรัพยากรธรรมชาติ เพิ่มผลผลิตทางการเกษตร และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การดายหญ้า และปลูกพืชพรรณพื้นเมืองเพิ่มขึ้นในพื้นที่ราบ 

การจัดการที่ดินอย่างยั่งยืน สามารถปรับปรุงสุขภาพดินได้อย่างมาก และเป็นการช่วยเพิ่มการกักเก็บคาร์บอนในดิน พร้อมเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพของระบบนิเวศอีกด้วย การปฏิบัติเหล่านี้สามารถนำไปสู่ดินที่มีสุขภาพดีขึ้น มีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้นและสามารถกักเก็บน้ำได้ดีขึ้น

นอกจากนี้จำเป็นต้องให้ความรู้กับชนเผ่าพื้นเมือง ให้สามารถจัดการการจัดการที่ดินอย่างยั่งยืน และสามารถนำมาปรับให้เข้ากับสภาพแวดล้อมในท้องถิ่น โดยเฉพาะ “การเผา” ที่เป็นวัฒนธรรมสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน แต่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพดิน ทำให้เกิดฝุ่นควัน และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมากที่เป็นอันตรายต่อระบบนิเวศ 

การเกษตรปฏิรูปเพื่อฟื้นฟูดิน นับเป็นการทำเกษตรกรรมช่วยปรับปรุงและฟื้นฟูระบบนิเวศอย่างยั่งยืน แนวทางนี้สามารถทำได้หลากหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการปลูกพืชคลุมดิน ลดการไถหน้าดิน การทำปุ๋ยหมัก และการปลูกพืชหมุนเวียนที่หลากหลาย ทั้งหมดนี้มุ่งเป้าไปที่การเพิ่มอินทรียวัตถุในดิน สามารถผลิตอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการมากขึ้น ลดการพึ่งพาปัจจัยการผลิตทางเคมี และทนทานต่อความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ

เกษตรกรที่ใช้เทคนิคเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการลดสภาพภูมิอากาศ โดยเปลี่ยนการเกษตรจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิไปสู่การกักเก็บสุทธิที่อาจเกิดขึ้น ด้วยการมุ่งเน้นไปที่บริการด้านสุขภาพดินและระบบนิเวศ

“เราจำเป็นต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าดินในพื้นที่ราบของออสเตรเลียสามารถรักษาปริมาณคาร์บอนไว้ได้ การจับและกักเก็บคาร์บอนจะต้องอาศัยวิทยาศาสตร์แบบสหวิทยาการ นวัตกรรม ความตระหนักรู้ทางวัฒนธรรม และนโยบายที่มีประสิทธิผล” ศ.วิสคาร์รา รอสเซล กล่าว

นอกจากวิธีข้างต้นแล้ว ในตอนนี้ออสเตรเลียมีที่เกี่ยวกับการชดเชยคาร์บอนในดินที่ลงทะเบียนภายใต้หน่วยงานกำกับดูแลพลังงานสะอาด จำนวน 530 โครงการ นับตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา แต่มีเพียง 7 โครงการเท่านั้นที่มีการขายคาร์บอนเครดิต โดยสามารถทำยอดขายรวมกันไปได้ 254,913 หน่วย มูลค่ามากกว่า 8 ล้านดอลลาร์ ขณะที่อีก 10 โครงการถูกเพิกถอนโดยสมัครใจ

กำไรจากการกักเก็บดินยังถูกนำมาใช้เพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในฟาร์ม หรือเรียกว่า “คาร์บอนอินเซ็ต” (carbon insetting) อีกทั้งยังมียังมีการประมูลวัวสายพันธุ์ดี 700 ตัว ถูกประมูลแบบปลอดคาร์บอน

ขณะที่ โฆษกจากกรมสิ่งแวดล้อมกล่าวว่า “การจัดทำบัญชีเรือนกระจกระดับชาติ” สามารถวัดการเปลี่ยนแปลงของคาร์บอนในดิน อันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิและปริมาณน้ำฝนได้ ถูกนำใช้ในการติดตามและวัดความคืบหน้าการเข้าสู่ Net Zero ของออสเตรเลีย 

นอกจากนี้รัฐบาลได้ลงทุน 40 ล้านดอลลาร์ ในการพัฒนาเทคโนโลยีต้นทุนต่ำ สำหรับการตรวจวัดคาร์บอนในดินได้อย่างแม่นยำ

ที่มา: EarthScience DailyThe GuardianThe Independent

Source : กรุงเทพธุรกิจ

เนื้อหาน่าสนใจ :  นักวิชาการชี้ขึ้นค่าไฟกระทบภาคธุรกิจ จากนี้ 3 เดือนมีโอกาสเห็นสินค้าราคาแพง

กฟผ. เชื่อมระบบส่งไฟฟ้าแรงสูง 500 กิโลโวลต์ลงสู่ภาคใต้ เพิ่มศักยภาพการส่งจ่ายไฟฟ้ากว่าสองเท่า

กฟผ. เริ่มจ่ายไฟฟ้าผ่านสายส่งไฟฟ้าระดับแรงดัน 500 kV เส้นแรกของภาคใต้ เพิ่มศักยภาพการส่งจ่ายไฟฟ้าจากภาคกลางสู่ภาคใต้สูงขึ้นกว่า 2 เท่า สร้างความมั่นคงระบบไฟฟ้าภาคใต้ พร้อมรองรับเศรษฐกิจฟื้นตัวหลังโควิด-19…

ฝ่าโลกร้อน “เนื้อสัตว์ทางเลือก” กับ “ความกระหาย” ของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้น

ฝ่าวิกฤติโลกร้อน “เนื้อสัตว์ทางเลือก” กับ “ความกระหาย” ของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้นจาก 1 พันล้านดอลลาร์ในปี 2019 เป็น 5 พันล้านดอลลาร์ในปี…

พพ.เดินหน้าพร้อมใช้กฎหมาย BEC คุมอาคารใหม่ ดัดแปลง 2,000 ตร.ม.ขึ้นไป

พพ.เดินหน้าพร้อมใช้กฎหมาย BEC คุมอาคารใหม่-ดัดแปลงขนาด 2,000 ตร.ม.ขึ้นไป ย้ำกระทบต้นทุนน้อย คืนทุนเร็ว คุ้มค่าระยะยาว ชูเป็นกฎหมายสำคัญช่วยประหยัดพลังงานในภาคอาคารอย่างน้อยร้อยละ 10…

Leave a Reply